ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 7-2

ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 7-2

ใครบางคนจับต้นคอของเขาให้ยกขึ้นก่อนจะยื่นยาที่อยู่ในกระเป๋ามาตรงหน้า ปีเตอร์ที่รับรู้ว่านั่นหมายความว่าอะไรพยักหน้าอย่างยากลำบาก ยาเม็ดถูกส่งเข้ามา และน้ำก็ไหลเข้ามาในปากตาม ปีเตอร์หอบหายใจอยู่พักหนึ่งหลังจากกลืนยาเข้าไปอย่างยากลำบาก

“มีเรื่องอะไรน่ะ แล้วนั่นใครเหรอ”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”

“ดูเหมือนจู่ๆ เขาก็ล้มลงไปเลยน่ะ”

เขาได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังอยู่รอบตัว สายตาที่เบลอก็ค่อยๆ กลับมาชัดเจน

“คุณพอจะตั้งสติได้ไหมคะ ได้ยินเสียงฉันหรือเปล่า”

เขาได้ยินเสียงของผู้หญิงที่เขาชนเมื่อสักครู่นี้ โชคดีจังเลยนะที่เราชนกับผู้หญิงที่ใจดี

ปีเตอร์พยักหน้า เขารู้สึกว่าตอนนี้หลอดลมของเขาค่อยๆ โล่งขึ้น ตอนนั้นเองเขาก็ได้เห็นหน้าของผู้หญิงที่เขาชน

เธอคือเมลินดา เธอคือหัวหน้าทีมเชียร์ลีดเดอร์ที่ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษเท่านั้น เธอยังเชี่ยวชาญภาษาเกาหลีด้วย

“ให้เรียกรถฉุกเฉินให้ไหมคะ”

“ไม่เป็นไรครับ…”

ปีเตอร์ตอบกลับไปอย่างยากลำบาก

“เธอโอเคไหม”

เขาได้ยินเสียงของผู้ชายที่นุ่มนวลจากทางด้านหลัง เมลินดาพยักหน้าพลางยิ้ม

“ฉันโดนชนนิดเดียวเอง”

“โล่งอกไปทีนะที่ไม่ได้บาดเจ็บ”

และตอนนี้ปีเตอร์ก็ได้รู้แล้วว่าคนที่รองคอของเขาไว้ไม่ใช่เมลินดา ขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยแขนเสื้อที่คว้าเอาไว้เหมือนกับสะบัดออก

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

คราวนี้น้ำเสียงนุ่มนวลของเด็กหนุ่มถูกส่งมาทางปีเตอร์ หัวใจที่ทำให้สงบลงได้อย่างยากลำบากเริ่มเต้นตึกตักอีกครั้ง

“ยาที่หยิบออกมาจากกระเป๋าถูกใช่ไหมครับ”

“…ครับ”

แม้จะตอบคำถามแต่ปีเตอร์ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เขาอายที่ตัวเองล้มตรงหน้าอีกฝ่ายมากกว่าความจริงที่ว่าตนล้มบนถนนเสียอีก

“ลุกไหวไหมครับ”

ฟิลลิปถามอีกครั้ง ทันทีที่ปีเตอร์พยักหน้า ฟิลลิปก็เพิ่มแรงไปที่มือที่รองคอของเขาไว้และช่วยพยุงเข้าขึ้น เมลินดาช่วยหยิบข้าวของที่หล่นออกมาใส่เข้าไปในกระเป๋าให้อีกครั้ง สายตาของฟิลลิปที่มองหญิงสาวที่ทั้งสวยและใจดีนั้นอบอุ่นมาก เขาช่วยปัดฝุ่นที่ติดเสื้อของเมลินดาให้พร้อมกับถามเธออย่างอ่อนโยนอีกครั้งว่าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า

“อื้อ ฉันไม่เป็นอะไร”

“ก็ฉันเป็นห่วงนี่นา ฉันวิ่งมาหาเพราะเธอล้มเลยนะ”

ปีเตอร์มองภาพของคนสองคนที่กำลังคุยกันอย่างอ่อนโยนอย่างเหม่อลอย ภาพของคนสองคนที่แค่ยืนข้างกันเฉยๆ ก็มีพลังที่งดงามเหลือล้นดึงดูดสายตาของคนที่ผ่านไปมา ปีเตอร์คิดว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก แต่ในขณะที่คิดแบบนั้นเขาก็ปวดใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

เขาสะพายกระเป๋าอีกครั้ง เมลินดาถามเขาอย่างใจดีอีกครั้งว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ เหรอ

“ไม่เป็นไรแล้วครับ จริงๆ ครับ”

แม้เขาจะถูกสอนมาว่าจะต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกขอบคุณในความใจดีของคนอื่นอยู่เสมอ แต่ในเวลานี้ปีเตอร์กลับไม่รู้สึกขอบคุณในความใจดีของเธอเลยสักนิด ยิ่งอยู่ข้างๆ คนทั้งคู่ ตัวเขาที่อ่อนแอและไม่ได้เรื่องก็ยิ่งรู้สึกอาย

เขาอายถึงขนาดที่หวังให้ตัวเองละลายหายไปกับพื้นทั้งๆ แบบนั้นเลยด้วยซ้ำ ด้วยรู้สึกว่าตัวเองกระจอกมาก

“อ้อ เดี๋ยวครับ”

ปีเตอร์หยุดเหมือนถูกแช่แข็งอยู่กับที่ เพราะเสียงของฟิลลิปที่เรียกเขาไว้

“เหมือนจะทำนี่หล่นนะ”

ฟิลลิปยื่นกระดาษเขียนจดหมายสีส้มให้ปีเตอร์ ปีเตอร์รีบแย่งกระดาษเขียนจดหมายนั้นมายัดใส่กระเป๋า ถ้าอีกฝ่ายได้อ่านจดหมายของเจนนี่ เขาต้องรู้สึกได้แน่ว่ามันเป็นกระดาษแบบเดียวกัน ยิ่งเป็นจดหมายที่เขียนด้วยภาษาเกาหลีแล้วล่ะก็…

มันไม่ใช่จดหมายที่เราเขียนสักหน่อย เราก็แค่ช่วยแปลให้เท่านั้นเอง…เพราะฉะนั้นเราก็แค่ทำตามคำขอร้องของเพื่อน…

ปีเตอร์นึกถึงข้ออ้างต่างๆ มากมายในหัว เพราะเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะถามเกี่ยวกับจดหมาย เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับจดหมายรักจนปลายนิ้วแข็งทื่อ แต่ฟิลลิปกลับไม่ถามอะไรเลย เขาแค่โอบไหล่ของเมลินดาและหายเข้าไปในตัวตึกเท่านั้น และคนที่เคยล้อมปีเตอร์เอาไว้ก็เริ่มเดินไปตามทางของตัวเองทีละคนสองคน

ปีเตอร์ที่เหลืออยู่คนเดียวยืนใจลอยบนทางเดินพลางคิดว่าตนไม่อาจรู้ได้เลยว่าเหตุผลของความเจ็บปวดจางๆ ที่รู้สึกในใจตอนนี้คืออะไร

และกระดาษเขียนจดหมายสีส้มในกระเป๋าก็ทำให้เขาลำบากใจอย่างหนัก

***

“ดีไซน์ล่ะ”

“ไม่รู้สินะ เพราะฉันเป็นผู้หญิงมีเสน่ห์ตรงหน้าอกที่ใหญ่ ก็น่าจะต้องเลือกสไตล์ที่ช่วยเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งในร่างกายหรือเปล่า”

“แล้วสีล่ะ”

“สีเงินเป็นไง สีเงินไม่เหมาะกับฉันเหรอ”

“พวกสีน้ำเงินก็น่าจะเหมาะนะ”

“แน่นอน”

คนสองคนที่นั่งคุยนั่นคุยนี่ข้างกันในห้องเล็กๆ กำลังหยิบดินสอสีขึ้นมาวาดเสื้อผ้าแบบต่างๆ

“น่าจะต้องเป็นสีที่เข้ากับเจ้าชายแหละ ฉันอยากให้เจ้าชายผูกไทด์สีเดียวกับชุดราตรีที่ฉันใส่”

มือของปีเตอร์ที่ใช้ดินสอสีสีฟ้าน้ำทะเลระบายสีอยู่นั้นหยุดไปพักหนึ่ง

“เขายัง…ตอบกลับมาอยู่ตลอดหรือเปล่า”

“แน่นอนสิ จะอ่านไหมล่ะ”

“ไม่ล่ะ”

“นายนี่แปลกชะมัดเลย ทำไมถึงไม่ยอมอ่านกันนะ”

“แล้วทำไมฉันต้องอ่านจดหมายของคนอื่นด้วยล่ะ เธอที่คิดจะเอาของแบบนั้นมาให้ฉันอ่านทั้งหมดแปลกกว่าอีก”

ปีเตอร์จงใจบ่นพึมพำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ยังมีจดหมายตอบกลับจากฟิลลิปมาอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้เจนนี่มาหาปีเตอร์ให้เขาช่วยแปลจดหมายให้เกือบจะสองวันครั้ง ปีเตอร์ช่วยแปลจดหมายของเธอโดยไม่บ่นอะไร

แม้จะเป็นเรื่องที่ทำให้เขาต้องโต้รุ่ง เพราะถ้ามีคำศัพท์ที่เขาไม่รู้ เขาก็ต้องไปหาในพจนานุกรม แต่เขาก็ตั้งใจเขียนจดหมายมาก แม้ว่าหลังจากวันนั้นเขาจะไม่อ่านจดหมายตอบกลับอีกเลยก็ตาม เพราะความเจ็บในหัวใจที่ลุกลามนั้นค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เขานึกถึงภาพของฟิลลิปที่ยืนข้างกับเมลินดา

“ยังไงซะเจ้าชายก็ต้องตกหลุมรักฉันอย่างแน่นอน เขาบอกว่าเขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เป็นพรหมลิขิตกับฉันนะ เขาบอกว่าถ้าไม่ได้อ่านจดหมายของฉัน เขาจะนอนไม่หลับเลย แถมเขายังบอกอีกว่าเขาอ่านจดหมายของฉันวันละครั้งก่อนนอน!”

“ฉันจะท่องเรื่องนั้นได้อยู่แล้ว”

ทุกครั้งที่มาหาปีเตอร์ เจนนี่มักจะเล่าเนื้อหาที่เขียนไว้ในจดหมายชนิดที่ว่าเล่าแล้วเล่าอีกให้ฟังอย่างละเอียด

ยิ่งเวลาผ่านไป ความฝันของเจนนี่ในสถานการณ์ที่เหลือเวลาอีกสิบห้าวันจะถึงงานพรอมแบบนี้ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เธอบอกว่าเธอจะใส่ชุดราตรีที่เหมาะกับเธออย่างไร้ที่ติ และเลิกกินช็อกโกแลตที่ชอบถึงขนาดนั้นด้วย เจนนี่เชื่ออย่างไม่สงสัยเลยว่าตัวเองจะได้เป็นคู่เดตในงานพรอมของฟิลลิปจริงๆ

“เจ้าชายจะมารับฉันที่หน้าบ้านหรือเปล่า เขาจะต้องเอารถที่ยอดเยี่ยมมารับแน่เลย”

“เขามีใบขับขี่เหรอ”

“แน่นอนสิ ฉันเล่าไปหรือยังว่าพ่อของเจ้าชายเป็นชนชั้นสูงเชื้อสายอังกฤษ ไม่เจ๋งเหรอ ฉันว่าโรแมนติกออก”

“เขาอาจจะ…มีคู่เดตคนอื่นก็ได้นี่”

“เป็นแบบนั้นได้ด้วยเหรอ เขาส่งจดหมายแลกเปลี่ยนกับฉันอย่างร้อนแรงถึงขนาดนี้เลยนะ”

“แต่…ถ้า…ถ้าฟิลลิปคบกับคนอื่นอยู่ล่ะ เธอจะทำยังไง”

ปีเตอร์ถามอย่างระมัดระวัง เจนนี่เดาะลิ้นพร้อมกับมองเขาด้วยสายตาสมเพช

“ทำไมนายถึงทำให้เสียเรื่องอยู่เรื่อยเลยนะ ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก”

“ถ้าเกิด…ช่างเถอะ”

เจนนี่หรี่ตาพลางเร่งปีเตอร์ที่พยายามจะพูดอะไรบางอย่างก่อนจะปิดปากไป

“อะไร ถ้าเกิดอะไร”

“เปล่า”

“ว่าไงล่ะ นายกำลังจะพูดอะไร”

ปีเตอร์ครุ่นคิดว่าเขาควรจะพูดหรือไม่พูดดี เขาน่าจะต้องเริ่มเล่าตั้งแต่เรื่องที่ฟิลลิปโผล่หน้ามาที่สมาคมนักเรียนชาวเกาหลีโพ้นทะเลที่เดียวกับตนบ้างเป็นบางครั้ง แล้วเขาจะต้องเล่าเรื่องที่เจออีกฝ่ายโดยบังเอิญขณะที่ไปซื้อส้มด้วยหรือเปล่า แล้วเขาไม่ต้องบอกเรื่องที่อีกฝ่ายกับเมลินดาช่วยเขาไว้ตอนที่เขาล้มตรงถนนก่อนหน้านี้ไม่นานได้ไหม

ปีเตอร์แยกแยะไม่ได้จนลังเลไปสักพัก ในที่สุดเขาก็เปิดปากพูดเหมือนกับตัดสินใจอย่างแน่วแน่ได้แล้ว

“คือว่าฟิลลิปน่ะ…”

ตอนนั้นเองแม่ของเขาก็เคาะประตูพร้อมกับเรียกชื่อปีเตอร์

“ปีเตอร์!”

“ครับ เข้ามาได้เลยครับ”

“เอาไว้กินระหว่างทำงานกันนะจ๊ะ”

แม่วางคุกกี้กับน้ำมะนาวไว้บนโต๊ะ

“ทั้งสองคนทำอะไรกันอยู่เหรอ”

“กำลังช่วยเลือกชุดราตรีงานพรอมของเจนนี่กันอยู่ครับ”

“โอ้ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ แม่เองก็ชอบตอนนั้นเหมือนกัน”

แม่ที่เป็นผู้หญิงเหมือนกันนึกถึงเรื่องในอดีตพลางทำเหมือนกับฝัน

“แล้วเลือกคู่เดตงานพรอมหรือยัง จะไปกับปีเตอร์หรือเปล่า”

“เปล่าค่ะ หนูมีเจ้าชายที่จะไปด้วยอยู่แล้ว”

“จริงเหรอ เสียดายจัง แม่ว่าจะถ่ายรูปหนูกับปีเตอร์ให้สักหน่อย จริงสิ มีจดหมายจ่าหน้าถึงลูกมาส่งด้วย จากหนังสือพิมพ์อะไรสักอย่างหรือเปล่านะ”

“จากหนังสือพิมพ์เหรอครับ”

ปีเตอร์เอียงคอด้วยความสงสัยพร้อมรับซองจดหมายที่แม่ยื่นมาให้ เขาไม่มีของที่จะได้รับจากหนังสือพิมพ์ แต่บนซองมีชื่อของเขาเขียนอยู่จริงๆ

“คืออะไรน่ะ ของเพื่อการโฆษณาหรือเปล่า”

“เปิดดูสิ”

ไม่รู้ทำไมเจนนี่ที่อยู่ข้างๆ ถึงเร่งปีเตอร์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น ปีเตอร์ใช้มีดสำหรับเปิดซองจดหมายเปิดซองพร้อมกับเหลือบมองเจนนี่ เธอพูดว่า ‘ลองเปิดดูเร็วๆ’ พลางเร่งปีเตอร์

มีกระดาษหนึ่งแผ่นใส่อยู่ในซอง

“ต้นฉบับของท่าน…”

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ปีเตอร์ก็เบิกตามองเจนนี่

“เร็วสิ! อ่านต่อ!”

“ต้นฉบับอะไรเหรอจ๊ะ มันคืออะไรน่ะ รีบอ่านเร็วเข้า”

แม้แต่แม่ของปีเตอร์ก็ยังชี้นิ้วสั่งให้เขารีบอ่านส่วนต่อไปของจดหมายด้วยสีหน้าตื่นเต้น ปีเตอร์อ่านจดหมายอย่างตะกุกตะกัก

“เราได้อ่านต้นฉบับของท่านเรียบร้อยแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ นิยายของท่านได้รับรางวัลในสาขาเรื่องสั้นในงานนิทรรศรวมผลงานครั้งนี้…”

ตาของปีเตอร์เบิกกว้าง เขาไล่สายตาอ่านเนื้อหาในจดหมายอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เขาเช็กชื่อที่เขียนอยู่บนซองจดหมายด้วย ถูกต้องแล้ว จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายถึงตนอย่างแน่นอน แต่เขาจำไม่ได้เลยว่าตนได้ส่งต้นฉบับไปที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ด้วย

“ลูกเขียนนิยายเหรอ แล้วนิยายเรื่องนั้นก็ได้รับรางวัลด้วยเหรอ”

แม่ที่ไม่รู้ความจริงว่าลูกชายเขียนหนังสือเอ่ยถามด้วยความตกใจ

“ก็เขียนนะครับ…แต่ผมว่าผมไม่เคยส่งต้นฉบับไปที่นี่…”

ต้องมีอะไรบางอย่างผิดพลาดแน่นอน ปีเตอร์คิดว่าอาจมีความผิดพลาดจนทำให้จดหมายถูกส่งมาผิดก็ได้ ตอนนั้นเองเจนนี่ก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“ฉันส่งไปเองแหละ”

“ว่าไงนะ”

“ก็สำนักพิมพ์นั้นไม่ยอมติดต่อกลับมานี่นา ฉันก็เลยลองส่งไปที่หนังสือพิมพ์ดู เพราะฉันเห็นว่าจะมีการจัดนิทรรศการรวมผลงานการเขียนนิยายในหนังสือพิมพ์น่ะ อืม ถึงความจริงฉันจะไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ แต่กางหนังสือพิมพ์เอาไว้ตอนกินแยมเฉยๆ ก็เถอะ ฉันบอกแล้วไงว่าสำนักพิมพ์นั้นน่ะตาบอด เขาถึงไม่ยอมรับนิยายที่ยอดเยี่ยมของนาย! ดังนั้นฉันก็แค่ลองส่งไปที่อื่นเท่านั้นเอง”

ปีเตอร์ไม่สามารถหุบปากที่อ้าค้างลงได้ และมองหน้าของเจนนี่สลับกับจดหมาย

“นายโกรธเหรอที่ฉันส่งนิยายของนายไปตามใจชอบ”

“…เปล่า”

“แล้วทำไมถึงไม่ดีใจล่ะ”

พอเห็นอีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง ปีเตอร์ก็กะพริบตาอยู่สองสามครั้งด้วยสีหน้ามึนงงก่อนจะตอบคำถาม

“…เพราะฉันดีใจมากซะจนไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรดีน่ะสิ”

“งั้นก็ส่งเสียงออกมาสิ! ว้าววว!”

เจนนี่วิ่งตึงตังมาทางปีเตอร์พร้อมกับกางแขนทั้งสองข้าง เธอขยับร่างกายที่ใหญ่โตไปทางนั้นทีทางนี้ทีพร้อมกับวิ่งไปรอบๆ ปีเตอร์ พอเห็นอีกฝ่ายทำแบบนั้นปีเตอร์ก็ส่งเสียงร้องเหมือนเด็กๆ และกอดเธอไว้

สวัสดีค่ะ

ก่อนอื่น Ink Stone ต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ให้การสนับสนุนนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างดี

ทางทีมงานรับทราบถึงความเห็นของทุกคนเกี่ยวกับการแบ่งตอนแล้ว จึงขออนุญาตชี้แจงดังนี้ค่ะ

เกณฑ์การแบ่งตอนของทางสำนักพิมพ์จะแบ่งตามจำนวนตัวอักษรเกาหลี โดยจะมีจำนวนตัวอักษรเกาหลีต่อตอนอยู่ระหว่าง 4001-5000 ตัวอักษร โดยเมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วอาจจะมีจำนวนคำแตกต่างกันอยู่บ้างในแต่ละตอนค่ะ แต่ทางเราจะพยายามให้อยู่ในมาตรฐานที่ใกล้เคียงกันที่สุด เพื่อให้คุ้มกับทุกแรงสนับสนุนที่คุณนักอ่านมีให้กันนะคะ

ส่วนเรื่องการเพิ่มจำนวนตอนต่อวัน ตอนนี้ทางทีมงานกำลังเร่งทำต้นฉบับเพื่อให้มีสต็อกเพียงพออยู่ค่ะ อดใจรออีกนิดนึงน้า❤️

ในส่วนของการพิมพ์ผิดพิมพ์ตกต่างๆ ทางทีมงานและนักแปลน้อมรับในความผิดพลาดและจะเร่งทยอยแก้ไขต่อไปค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท