ใครบางคนจับต้นคอของเขาให้ยกขึ้นก่อนจะยื่นยาที่อยู่ในกระเป๋ามาตรงหน้า ปีเตอร์ที่รับรู้ว่านั่นหมายความว่าอะไรพยักหน้าอย่างยากลำบาก ยาเม็ดถูกส่งเข้ามา และน้ำก็ไหลเข้ามาในปากตาม ปีเตอร์หอบหายใจอยู่พักหนึ่งหลังจากกลืนยาเข้าไปอย่างยากลำบาก
“มีเรื่องอะไรน่ะ แล้วนั่นใครเหรอ”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”
“ดูเหมือนจู่ๆ เขาก็ล้มลงไปเลยน่ะ”
เขาได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังอยู่รอบตัว สายตาที่เบลอก็ค่อยๆ กลับมาชัดเจน
“คุณพอจะตั้งสติได้ไหมคะ ได้ยินเสียงฉันหรือเปล่า”
เขาได้ยินเสียงของผู้หญิงที่เขาชนเมื่อสักครู่นี้ โชคดีจังเลยนะที่เราชนกับผู้หญิงที่ใจดี
ปีเตอร์พยักหน้า เขารู้สึกว่าตอนนี้หลอดลมของเขาค่อยๆ โล่งขึ้น ตอนนั้นเองเขาก็ได้เห็นหน้าของผู้หญิงที่เขาชน
เธอคือเมลินดา เธอคือหัวหน้าทีมเชียร์ลีดเดอร์ที่ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษเท่านั้น เธอยังเชี่ยวชาญภาษาเกาหลีด้วย
“ให้เรียกรถฉุกเฉินให้ไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ…”
ปีเตอร์ตอบกลับไปอย่างยากลำบาก
“เธอโอเคไหม”
เขาได้ยินเสียงของผู้ชายที่นุ่มนวลจากทางด้านหลัง เมลินดาพยักหน้าพลางยิ้ม
“ฉันโดนชนนิดเดียวเอง”
“โล่งอกไปทีนะที่ไม่ได้บาดเจ็บ”
และตอนนี้ปีเตอร์ก็ได้รู้แล้วว่าคนที่รองคอของเขาไว้ไม่ใช่เมลินดา ขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยแขนเสื้อที่คว้าเอาไว้เหมือนกับสะบัดออก
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
คราวนี้น้ำเสียงนุ่มนวลของเด็กหนุ่มถูกส่งมาทางปีเตอร์ หัวใจที่ทำให้สงบลงได้อย่างยากลำบากเริ่มเต้นตึกตักอีกครั้ง
“ยาที่หยิบออกมาจากกระเป๋าถูกใช่ไหมครับ”
“…ครับ”
แม้จะตอบคำถามแต่ปีเตอร์ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เขาอายที่ตัวเองล้มตรงหน้าอีกฝ่ายมากกว่าความจริงที่ว่าตนล้มบนถนนเสียอีก
“ลุกไหวไหมครับ”
ฟิลลิปถามอีกครั้ง ทันทีที่ปีเตอร์พยักหน้า ฟิลลิปก็เพิ่มแรงไปที่มือที่รองคอของเขาไว้และช่วยพยุงเข้าขึ้น เมลินดาช่วยหยิบข้าวของที่หล่นออกมาใส่เข้าไปในกระเป๋าให้อีกครั้ง สายตาของฟิลลิปที่มองหญิงสาวที่ทั้งสวยและใจดีนั้นอบอุ่นมาก เขาช่วยปัดฝุ่นที่ติดเสื้อของเมลินดาให้พร้อมกับถามเธออย่างอ่อนโยนอีกครั้งว่าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า
“อื้อ ฉันไม่เป็นอะไร”
“ก็ฉันเป็นห่วงนี่นา ฉันวิ่งมาหาเพราะเธอล้มเลยนะ”
ปีเตอร์มองภาพของคนสองคนที่กำลังคุยกันอย่างอ่อนโยนอย่างเหม่อลอย ภาพของคนสองคนที่แค่ยืนข้างกันเฉยๆ ก็มีพลังที่งดงามเหลือล้นดึงดูดสายตาของคนที่ผ่านไปมา ปีเตอร์คิดว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก แต่ในขณะที่คิดแบบนั้นเขาก็ปวดใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
เขาสะพายกระเป๋าอีกครั้ง เมลินดาถามเขาอย่างใจดีอีกครั้งว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ เหรอ
“ไม่เป็นไรแล้วครับ จริงๆ ครับ”
แม้เขาจะถูกสอนมาว่าจะต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกขอบคุณในความใจดีของคนอื่นอยู่เสมอ แต่ในเวลานี้ปีเตอร์กลับไม่รู้สึกขอบคุณในความใจดีของเธอเลยสักนิด ยิ่งอยู่ข้างๆ คนทั้งคู่ ตัวเขาที่อ่อนแอและไม่ได้เรื่องก็ยิ่งรู้สึกอาย
เขาอายถึงขนาดที่หวังให้ตัวเองละลายหายไปกับพื้นทั้งๆ แบบนั้นเลยด้วยซ้ำ ด้วยรู้สึกว่าตัวเองกระจอกมาก
“อ้อ เดี๋ยวครับ”
ปีเตอร์หยุดเหมือนถูกแช่แข็งอยู่กับที่ เพราะเสียงของฟิลลิปที่เรียกเขาไว้
“เหมือนจะทำนี่หล่นนะ”
ฟิลลิปยื่นกระดาษเขียนจดหมายสีส้มให้ปีเตอร์ ปีเตอร์รีบแย่งกระดาษเขียนจดหมายนั้นมายัดใส่กระเป๋า ถ้าอีกฝ่ายได้อ่านจดหมายของเจนนี่ เขาต้องรู้สึกได้แน่ว่ามันเป็นกระดาษแบบเดียวกัน ยิ่งเป็นจดหมายที่เขียนด้วยภาษาเกาหลีแล้วล่ะก็…
มันไม่ใช่จดหมายที่เราเขียนสักหน่อย เราก็แค่ช่วยแปลให้เท่านั้นเอง…เพราะฉะนั้นเราก็แค่ทำตามคำขอร้องของเพื่อน…
ปีเตอร์นึกถึงข้ออ้างต่างๆ มากมายในหัว เพราะเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะถามเกี่ยวกับจดหมาย เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับจดหมายรักจนปลายนิ้วแข็งทื่อ แต่ฟิลลิปกลับไม่ถามอะไรเลย เขาแค่โอบไหล่ของเมลินดาและหายเข้าไปในตัวตึกเท่านั้น และคนที่เคยล้อมปีเตอร์เอาไว้ก็เริ่มเดินไปตามทางของตัวเองทีละคนสองคน
ปีเตอร์ที่เหลืออยู่คนเดียวยืนใจลอยบนทางเดินพลางคิดว่าตนไม่อาจรู้ได้เลยว่าเหตุผลของความเจ็บปวดจางๆ ที่รู้สึกในใจตอนนี้คืออะไร
และกระดาษเขียนจดหมายสีส้มในกระเป๋าก็ทำให้เขาลำบากใจอย่างหนัก
***
“ดีไซน์ล่ะ”
“ไม่รู้สินะ เพราะฉันเป็นผู้หญิงมีเสน่ห์ตรงหน้าอกที่ใหญ่ ก็น่าจะต้องเลือกสไตล์ที่ช่วยเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งในร่างกายหรือเปล่า”
“แล้วสีล่ะ”
“สีเงินเป็นไง สีเงินไม่เหมาะกับฉันเหรอ”
“พวกสีน้ำเงินก็น่าจะเหมาะนะ”
“แน่นอน”
คนสองคนที่นั่งคุยนั่นคุยนี่ข้างกันในห้องเล็กๆ กำลังหยิบดินสอสีขึ้นมาวาดเสื้อผ้าแบบต่างๆ
“น่าจะต้องเป็นสีที่เข้ากับเจ้าชายแหละ ฉันอยากให้เจ้าชายผูกไทด์สีเดียวกับชุดราตรีที่ฉันใส่”
มือของปีเตอร์ที่ใช้ดินสอสีสีฟ้าน้ำทะเลระบายสีอยู่นั้นหยุดไปพักหนึ่ง
“เขายัง…ตอบกลับมาอยู่ตลอดหรือเปล่า”
“แน่นอนสิ จะอ่านไหมล่ะ”
“ไม่ล่ะ”
“นายนี่แปลกชะมัดเลย ทำไมถึงไม่ยอมอ่านกันนะ”
“แล้วทำไมฉันต้องอ่านจดหมายของคนอื่นด้วยล่ะ เธอที่คิดจะเอาของแบบนั้นมาให้ฉันอ่านทั้งหมดแปลกกว่าอีก”
ปีเตอร์จงใจบ่นพึมพำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยังมีจดหมายตอบกลับจากฟิลลิปมาอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้เจนนี่มาหาปีเตอร์ให้เขาช่วยแปลจดหมายให้เกือบจะสองวันครั้ง ปีเตอร์ช่วยแปลจดหมายของเธอโดยไม่บ่นอะไร
แม้จะเป็นเรื่องที่ทำให้เขาต้องโต้รุ่ง เพราะถ้ามีคำศัพท์ที่เขาไม่รู้ เขาก็ต้องไปหาในพจนานุกรม แต่เขาก็ตั้งใจเขียนจดหมายมาก แม้ว่าหลังจากวันนั้นเขาจะไม่อ่านจดหมายตอบกลับอีกเลยก็ตาม เพราะความเจ็บในหัวใจที่ลุกลามนั้นค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เขานึกถึงภาพของฟิลลิปที่ยืนข้างกับเมลินดา
“ยังไงซะเจ้าชายก็ต้องตกหลุมรักฉันอย่างแน่นอน เขาบอกว่าเขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เป็นพรหมลิขิตกับฉันนะ เขาบอกว่าถ้าไม่ได้อ่านจดหมายของฉัน เขาจะนอนไม่หลับเลย แถมเขายังบอกอีกว่าเขาอ่านจดหมายของฉันวันละครั้งก่อนนอน!”
“ฉันจะท่องเรื่องนั้นได้อยู่แล้ว”
ทุกครั้งที่มาหาปีเตอร์ เจนนี่มักจะเล่าเนื้อหาที่เขียนไว้ในจดหมายชนิดที่ว่าเล่าแล้วเล่าอีกให้ฟังอย่างละเอียด
ยิ่งเวลาผ่านไป ความฝันของเจนนี่ในสถานการณ์ที่เหลือเวลาอีกสิบห้าวันจะถึงงานพรอมแบบนี้ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เธอบอกว่าเธอจะใส่ชุดราตรีที่เหมาะกับเธออย่างไร้ที่ติ และเลิกกินช็อกโกแลตที่ชอบถึงขนาดนั้นด้วย เจนนี่เชื่ออย่างไม่สงสัยเลยว่าตัวเองจะได้เป็นคู่เดตในงานพรอมของฟิลลิปจริงๆ
“เจ้าชายจะมารับฉันที่หน้าบ้านหรือเปล่า เขาจะต้องเอารถที่ยอดเยี่ยมมารับแน่เลย”
“เขามีใบขับขี่เหรอ”
“แน่นอนสิ ฉันเล่าไปหรือยังว่าพ่อของเจ้าชายเป็นชนชั้นสูงเชื้อสายอังกฤษ ไม่เจ๋งเหรอ ฉันว่าโรแมนติกออก”
“เขาอาจจะ…มีคู่เดตคนอื่นก็ได้นี่”
“เป็นแบบนั้นได้ด้วยเหรอ เขาส่งจดหมายแลกเปลี่ยนกับฉันอย่างร้อนแรงถึงขนาดนี้เลยนะ”
“แต่…ถ้า…ถ้าฟิลลิปคบกับคนอื่นอยู่ล่ะ เธอจะทำยังไง”
ปีเตอร์ถามอย่างระมัดระวัง เจนนี่เดาะลิ้นพร้อมกับมองเขาด้วยสายตาสมเพช
“ทำไมนายถึงทำให้เสียเรื่องอยู่เรื่อยเลยนะ ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก”
“ถ้าเกิด…ช่างเถอะ”
เจนนี่หรี่ตาพลางเร่งปีเตอร์ที่พยายามจะพูดอะไรบางอย่างก่อนจะปิดปากไป
“อะไร ถ้าเกิดอะไร”
“เปล่า”
“ว่าไงล่ะ นายกำลังจะพูดอะไร”
ปีเตอร์ครุ่นคิดว่าเขาควรจะพูดหรือไม่พูดดี เขาน่าจะต้องเริ่มเล่าตั้งแต่เรื่องที่ฟิลลิปโผล่หน้ามาที่สมาคมนักเรียนชาวเกาหลีโพ้นทะเลที่เดียวกับตนบ้างเป็นบางครั้ง แล้วเขาจะต้องเล่าเรื่องที่เจออีกฝ่ายโดยบังเอิญขณะที่ไปซื้อส้มด้วยหรือเปล่า แล้วเขาไม่ต้องบอกเรื่องที่อีกฝ่ายกับเมลินดาช่วยเขาไว้ตอนที่เขาล้มตรงถนนก่อนหน้านี้ไม่นานได้ไหม
ปีเตอร์แยกแยะไม่ได้จนลังเลไปสักพัก ในที่สุดเขาก็เปิดปากพูดเหมือนกับตัดสินใจอย่างแน่วแน่ได้แล้ว
“คือว่าฟิลลิปน่ะ…”
ตอนนั้นเองแม่ของเขาก็เคาะประตูพร้อมกับเรียกชื่อปีเตอร์
“ปีเตอร์!”
“ครับ เข้ามาได้เลยครับ”
“เอาไว้กินระหว่างทำงานกันนะจ๊ะ”
แม่วางคุกกี้กับน้ำมะนาวไว้บนโต๊ะ
“ทั้งสองคนทำอะไรกันอยู่เหรอ”
“กำลังช่วยเลือกชุดราตรีงานพรอมของเจนนี่กันอยู่ครับ”
“โอ้ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ แม่เองก็ชอบตอนนั้นเหมือนกัน”
แม่ที่เป็นผู้หญิงเหมือนกันนึกถึงเรื่องในอดีตพลางทำเหมือนกับฝัน
“แล้วเลือกคู่เดตงานพรอมหรือยัง จะไปกับปีเตอร์หรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ หนูมีเจ้าชายที่จะไปด้วยอยู่แล้ว”
“จริงเหรอ เสียดายจัง แม่ว่าจะถ่ายรูปหนูกับปีเตอร์ให้สักหน่อย จริงสิ มีจดหมายจ่าหน้าถึงลูกมาส่งด้วย จากหนังสือพิมพ์อะไรสักอย่างหรือเปล่านะ”
“จากหนังสือพิมพ์เหรอครับ”
ปีเตอร์เอียงคอด้วยความสงสัยพร้อมรับซองจดหมายที่แม่ยื่นมาให้ เขาไม่มีของที่จะได้รับจากหนังสือพิมพ์ แต่บนซองมีชื่อของเขาเขียนอยู่จริงๆ
“คืออะไรน่ะ ของเพื่อการโฆษณาหรือเปล่า”
“เปิดดูสิ”
ไม่รู้ทำไมเจนนี่ที่อยู่ข้างๆ ถึงเร่งปีเตอร์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น ปีเตอร์ใช้มีดสำหรับเปิดซองจดหมายเปิดซองพร้อมกับเหลือบมองเจนนี่ เธอพูดว่า ‘ลองเปิดดูเร็วๆ’ พลางเร่งปีเตอร์
มีกระดาษหนึ่งแผ่นใส่อยู่ในซอง
“ต้นฉบับของท่าน…”
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ปีเตอร์ก็เบิกตามองเจนนี่
“เร็วสิ! อ่านต่อ!”
“ต้นฉบับอะไรเหรอจ๊ะ มันคืออะไรน่ะ รีบอ่านเร็วเข้า”
แม้แต่แม่ของปีเตอร์ก็ยังชี้นิ้วสั่งให้เขารีบอ่านส่วนต่อไปของจดหมายด้วยสีหน้าตื่นเต้น ปีเตอร์อ่านจดหมายอย่างตะกุกตะกัก
“เราได้อ่านต้นฉบับของท่านเรียบร้อยแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ นิยายของท่านได้รับรางวัลในสาขาเรื่องสั้นในงานนิทรรศรวมผลงานครั้งนี้…”
ตาของปีเตอร์เบิกกว้าง เขาไล่สายตาอ่านเนื้อหาในจดหมายอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เขาเช็กชื่อที่เขียนอยู่บนซองจดหมายด้วย ถูกต้องแล้ว จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายถึงตนอย่างแน่นอน แต่เขาจำไม่ได้เลยว่าตนได้ส่งต้นฉบับไปที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ด้วย
“ลูกเขียนนิยายเหรอ แล้วนิยายเรื่องนั้นก็ได้รับรางวัลด้วยเหรอ”
แม่ที่ไม่รู้ความจริงว่าลูกชายเขียนหนังสือเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“ก็เขียนนะครับ…แต่ผมว่าผมไม่เคยส่งต้นฉบับไปที่นี่…”
ต้องมีอะไรบางอย่างผิดพลาดแน่นอน ปีเตอร์คิดว่าอาจมีความผิดพลาดจนทำให้จดหมายถูกส่งมาผิดก็ได้ ตอนนั้นเองเจนนี่ก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ฉันส่งไปเองแหละ”
“ว่าไงนะ”
“ก็สำนักพิมพ์นั้นไม่ยอมติดต่อกลับมานี่นา ฉันก็เลยลองส่งไปที่หนังสือพิมพ์ดู เพราะฉันเห็นว่าจะมีการจัดนิทรรศการรวมผลงานการเขียนนิยายในหนังสือพิมพ์น่ะ อืม ถึงความจริงฉันจะไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ แต่กางหนังสือพิมพ์เอาไว้ตอนกินแยมเฉยๆ ก็เถอะ ฉันบอกแล้วไงว่าสำนักพิมพ์นั้นน่ะตาบอด เขาถึงไม่ยอมรับนิยายที่ยอดเยี่ยมของนาย! ดังนั้นฉันก็แค่ลองส่งไปที่อื่นเท่านั้นเอง”
ปีเตอร์ไม่สามารถหุบปากที่อ้าค้างลงได้ และมองหน้าของเจนนี่สลับกับจดหมาย
“นายโกรธเหรอที่ฉันส่งนิยายของนายไปตามใจชอบ”
“…เปล่า”
“แล้วทำไมถึงไม่ดีใจล่ะ”
พอเห็นอีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง ปีเตอร์ก็กะพริบตาอยู่สองสามครั้งด้วยสีหน้ามึนงงก่อนจะตอบคำถาม
“…เพราะฉันดีใจมากซะจนไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรดีน่ะสิ”
“งั้นก็ส่งเสียงออกมาสิ! ว้าววว!”
เจนนี่วิ่งตึงตังมาทางปีเตอร์พร้อมกับกางแขนทั้งสองข้าง เธอขยับร่างกายที่ใหญ่โตไปทางนั้นทีทางนี้ทีพร้อมกับวิ่งไปรอบๆ ปีเตอร์ พอเห็นอีกฝ่ายทำแบบนั้นปีเตอร์ก็ส่งเสียงร้องเหมือนเด็กๆ และกอดเธอไว้
สวัสดีค่ะ
ก่อนอื่น Ink Stone ต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ให้การสนับสนุนนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ทางทีมงานรับทราบถึงความเห็นของทุกคนเกี่ยวกับการแบ่งตอนแล้ว จึงขออนุญาตชี้แจงดังนี้ค่ะ
เกณฑ์การแบ่งตอนของทางสำนักพิมพ์จะแบ่งตามจำนวนตัวอักษรเกาหลี โดยจะมีจำนวนตัวอักษรเกาหลีต่อตอนอยู่ระหว่าง 4001-5000 ตัวอักษร โดยเมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วอาจจะมีจำนวนคำแตกต่างกันอยู่บ้างในแต่ละตอนค่ะ แต่ทางเราจะพยายามให้อยู่ในมาตรฐานที่ใกล้เคียงกันที่สุด เพื่อให้คุ้มกับทุกแรงสนับสนุนที่คุณนักอ่านมีให้กันนะคะ
ส่วนเรื่องการเพิ่มจำนวนตอนต่อวัน ตอนนี้ทางทีมงานกำลังเร่งทำต้นฉบับเพื่อให้มีสต็อกเพียงพออยู่ค่ะ อดใจรออีกนิดนึงน้า❤️
ในส่วนของการพิมพ์ผิดพิมพ์ตกต่างๆ ทางทีมงานและนักแปลน้อมรับในความผิดพลาดและจะเร่งทยอยแก้ไขต่อไปค่ะ
ขอบคุณค่ะ