ทั้งหมดนี้เหมือนเป็นความฝัน เขามีความสุขจนตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อ
ตอนที่เขาไม่ได้รับการติดต่อจากสำนักพิมพ์ แม้ภายนอกจะแกล้งทำเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ความจริงแล้วในใจของเขานั้นทั้งผิดหวังและท้อแท้ ความคิดที่ว่าไม่รู้เหมือนกันว่าตนจะมีความสามารถในการเขียนหนังสืออย่างที่เจนนี่พูดหรือเปล่าทำเอาเขาใจหวิว และเขาก็รอคอยการติดต่อกลับจากสำนักพิมพ์
ปีเตอร์จงใจไม่เขียนอีเมลและเบอร์โทรศัพท์ลงไป แต่ส่งไปโดยเขียนที่อยู่เพียงอย่างเดียว เพราะเขาคิดว่าการรอจดหมายทำให้กระวนกระวายใจน้อยกว่า แต่แน่นอนว่าปีเตอร์เปิดตู้จดหมายทุกเช้า หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ ตอนเย็น และก่อนจะนอนด้วย เขาจะต้องเช็กให้แน่ใจว่าความคิดของตนเองผิด
ในตอนที่เขาเลิกรอการติดต่อกลับจากสำนักพิมพ์ ปีเตอร์ก็หยุดคิดเกี่ยวกับนิยายไปด้วย ความจริงแล้วช่วงนี้เขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะทำแบบนั้น เพราะเขามัวแต่แปลจดหมายของเจนนี่
“ฉัน ฉันได้รางวัลล่ะ!”
ปีเตอร์ตะโกน
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่เขาได้รับการยอมรับจากคนอื่นที่ตนไม่รู้จัก แม้พ่อแม่จะพูดอยู่เสมอว่าเขาเป็นเด็กที่พิเศษ แต่ปีเตอร์กลับไม่สามารถคิดว่าตัวเองพิเศษได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาคิดแค่ว่าตัวเองร่างกายอ่อนแอ และยังเลื่อนชั้นช้าจนตามคนอื่นไม่ทันอีกด้วย ปีเตอร์เฝ้าภาวนาให้วันที่ความเชื่อของพ่อแม่ได้รับการพิสูจน์มาถึงสักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็ยังดีมาตลอด
และวันนั้นก็คือวันนี้
“ฉันบอกแล้วไงว่านายเป็นเด็กที่พิเศษ ซึ่งผลลัพธ์มันก็แน่นอนอยู่แล้ว”
แม่ของปีเตอร์มองคนทั้งคู่กอดกันพร้อมกับกระโดดโลดเต้น เธอเองก็ดีใจไปกับพวกเขาด้วย เธอจูบหน้าผากของคนทั้งคู่สลับกันพร้อมกับพูดเสียงดังว่าเย็นวันนี้จะต้องจัดปาร์ตี้ซะแล้ว
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นนาย แน่นอนอยู่แล้วล่ะ เพราะนายมีความสามารถไง”
“ขอบใจนะ”
“ถ้าได้อยู่ในปราสาทแล้ว นายต้องรักษาสัญญาด้วยนะ”
เจนนี่ขยิบตาข้างหนึ่งพลางเอ่ย ปีเตอร์พยักหน้าอย่างตั้งใจ แม่บอกว่าจะโทรศัพท์ไปบอกครอบครัวก่อนจะเดินลงไปชั้นล่าง
“อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ วันนี้น่าจะมีแต่ของอร่อยๆ นะ”
เจนนี่ส่ายหน้า
“ฉันมีการบ้านเยอะน่ะ ไหนจะต้องเขียนจดหมายรักให้เจ้าชาย ไหนจะต้องคิดเรื่องดีไซน์ของชุดราตรีเพิ่มอีก เรื่องที่ต้องทำกองเป็นภูเขาเลยล่ะ”
แม่ของเจนนี่มักจะสวดมนต์และกินข้าวเวลาเดิมเสมอ ปีเตอร์รู้จากการที่พวกผู้ใหญ่กระซิบกระซาบกันว่าถ้าเจนนี่กลับช้าจากเวลานั้นไปแม้แต่นิดเดียว เธอจะถูกตีหนึ่งครั้งต่อหนึ่งนาทีที่สาย
“ยิ่งไปกว่านั้นคุณป้าสเปนเซอร์ตัดสินใจว่าจะโทรศัพท์มาตอนสามทุ่มล่ะ เธอน่าจะโทรศัพท์มาคุยเกี่ยวกับเรื่องชุดราตรีของฉันนี่แหละ ดูเหมือนเธอจะซื้อชุดราตรีจากแบรนด์ดีๆ ให้เป็นของขวัญนะ”
“งั้นเหรอ เธอต้องรับเพราะมันเป็นสายที่สำคัญสินะ”
แม่ของเจนนี่ห้ามไม่ให้เธอใช้โทรศัพท์มือถือด้วย วิธีที่เจนนี่จะสามารถคุยโทรศัพท์ได้มีแค่การคุยผ่านโทรศัพท์แบบเก่าที่อยู่ในห้องนั่งเล่นเท่านั้น
“งั้นฉันไปก่อนนะ”
เจนนี่บอกลา ปีเตอร์กล่าวขอบคุณเธออีกครั้ง
“ขอบใจจริงๆ นะ”
“ไม่เป็นไร แต่นายจะต้องเลี้ยงของอร่อยๆ ฉันนะ”
“รู้แล้วน่า”
ปีเตอร์ยิ้มพลางโบกมือ หลังจากที่เจนนี่ลงบันไดไป แม่ของเขาก็ขึ้นมาอีกครั้ง แม่บอกว่าพ่อกำลังกลับบ้าน และแม่ได้โทรศัพท์บอกญาติๆ หมดแล้ว ปีเตอร์หน้าแดง แม้เขาจะห้ามว่าไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดนั้นก็ได้ แต่แม่ก็ดีใจเหมือนกับคนที่ได้ครอบครองโลกทั้งใบ
ผ่านไปไม่นานพ่อที่ตื่นเต้นอย่างเต็มที่ก็วิ่งเข้ามาทั้งๆ ที่ยังจอดรถไม่เรียบร้อยดี พวกน้องๆ ที่อาศัยอยู่ที่บ้านของคุณยายก็มารวมตัวกัน และแสดงความยินดีกับเขาเหมือนกับเป็นเรื่องของตัวเอง
ปีเตอร์คิดว่าเขาโชคดีที่ได้มาอยู่ที่นี่ ในเวลาที่การมีอยู่ของเขาสามารถมอบความสุขให้กับคนอื่นได้แบบนี้
วันนั้นเขาเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
***
ปีเตอร์มีความสุขขึ้นเรื่อยๆ เขาได้รับโทรศัพท์แสดงความยินดีจากญาติทั้งหมด และแม่ยังเชิญญาติที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ มาจัดปาร์ตี้ให้เขาอีกด้วย แม้กระทั่งตอนที่เขาได้รับรางวัลจากหนังสือพิมพ์ สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดก็มารวมตัวกันแสดงความยินดีกับการได้รับรางวัลของเขาด้วย เนื่องจากนิทรรศการรวมผลงานทรงเกียรติมากกว่าที่ปีเตอร์คิด การได้รับเลือกของเขาจึงถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นด้วย แม่ของเขาตัดข่าวที่ถูกตีพิมพ์ลงในกรอบเล็กๆ ตรงมุมของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และแปะไว้ตรงด้านบนสุดของตู้เย็น ส่วนพ่อก็มองประกาศนียบัตรของลูกชายวันละสองถึงสามรอบด้วยความปลาบปลื้ม
ประธานสมาคมชาวเกาหลีโพ้นทะเลได้ยินข่าวเกี่ยวกับการได้รับรางวัลของเขา และติดต่อมาบอกว่าจะมอบโล่ประกาศคุณงามความดีให้เขาด้วย คุณครูที่สอนวิชาวรรณกรรมที่สมาคมนักเรียนก็เรียกปีเตอร์ไปด้านหน้า และเล่าเรื่องเกี่ยวกับการได้รับรางวัลของเขาให้นักเรียนคนอื่นๆ ฟัง นักเรียนหลายคนที่ไม่เคยรู้แม้กระทั่งการมีอยู่ของนักเรียนชายที่ชื่อปีเตอร์จนกระทั่งตอนนั้นก็แสดงความยินดีกับเขาด้วยเช่นกัน และในนั้นก็มีเมลินดากับฟิลลิปรวมอยู่ด้วย ปีเตอร์กล่าวขอบคุณฟิลลิปที่พูดแสดงความยินดีอย่างลวกๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ทันทีที่ฟิลลิปเอ่ยแซวว่า ‘คงจะต้องขอลายเซ็นคุณนักเขียนในอนาคตเอาไว้ซะแล้ว’ ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็หัวเราะออกมา
แม้จะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนคนโง่ แต่พอกลับไปที่บ้านในคืนวันนั้น ปีเตอร์ก็ตั้งใจฝึกเซ็นลายเซ็นอยู่คนเดียว เขานึกภาพตนเองที่ประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนทุกครั้งที่เขียนชื่อของตัวเองลงไปในกระดาษ ช่างเป็นวันคืนที่มีความสุขจริงๆ
เนื่องจากเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ ปีเตอร์จึงไม่สามารถตั้งสติกับความสุขที่ถาโถมเข้ามาได้ ความกังวลเพียงหนึ่งเดียวของเขาในตอนนี้คือเจนนี่ ในตอนแรกเธอเป็นคนที่ดีใจกับเขาราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง แต่แล้วช่วงซึมเศร้าก็เวียนกลับมาหาเธออีกครั้ง และเธอเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านประมาณสามวัน ปีเตอร์รอให้เธอเป็นฝ่ายมาหาเขาก่อนเหมือนกับที่เป็นมาเสมอ
คืนวันหนึ่งปีเตอร์ออกไปนอกบ้านหลังจากที่เจนนี่โยนหินก้อนเล็กๆ ใส่หน้าต่างของเขา และเขาก็ต้องตกใจ ใบหน้าของเจนนี่นอกจากจะบวมไปทั่วแล้ว ที่แขนก็ยังเต็มไปด้วยร่องรอยของการพยายามจะฆ่าตัวตายอีกด้วย แม้กระทั่งบริเวณขมับของเธอก็มีรอยฟกช้ำดำเขียว เพราะชนกับอะไรบางอย่างเข้า
แม้ปกติแล้วปีเตอร์จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ และมองข้ามบาดแผลเล็กๆ ของอีกฝ่าย แต่ตอนนั้นเขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมแขนถึงเป็นแบบนั้นล่ะ”
“แค่รอยถลอกน่ะ พอดีฉันล้ม”
มันไม่ใช่แผลถลอกที่เกิดจากการล้มอย่างแน่นอน ปีเตอร์ตัดสินใจแน่วแน่และต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม
“เจนนี่ การสร้างบาดแผลบนร่างกายของตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนะ เธอเองก็รู้ดีนี่”
“…”
“ถ้าเหนื่อย เธอก็แค่พูดออกมา…”
“ถ้าพูดให้นายฟังแล้วจะมีอะไรต่างไปเหรอ”
“ว่าไงนะ”
“ถ้าเหนื่อยก็แค่เล่าให้ใครสักคนฟังงั้นเหรอ แล้วมันจะมีอะไรต่างไปล่ะ มันก็แค่ทำให้ทั้งนายและฉันต่างหดหู่เท่านั้นแหละ”
เธอถลึงตาพร้อมกัดริมฝีปาก ปากล่างของเธอแตกเป็นรอยฟัน
“ฉันไม่อยากเล่าเรื่องที่น่าหดหู่น่ะ มันไม่มีอะไรต่างไปหรอก”
“ลองไปเข้ารับคำแนะนำดูไหม”
“ยังไงซะต่อให้คนพวกนั้นพูดก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก คนพวกนั้นเปลี่ยนแม่ของฉันได้ไหมล่ะ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย เพราะคนพวกนั้นไม่ยอมปล่อยให้เราตาย ปัญหานี้มันถึงเกิดขึ้นซ้ำๆ ไงล่ะ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ทำไมจะต้องตายด้วยล่ะ เธออย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิ”
“…”
“อย่าทำแบบนั้นอีกเลยนะ เธอเคยบอกว่าถ้าฉันเจ็บ เธอก็จะเศร้าไปด้วยนี่ ฉันเองก็เหมือนกัน รู้ใช่ไหมว่าฉันหมายความว่ายังไง”
ปีเตอร์จับแขนของอีกฝ่ายไว้ขณะพูด เจนนี่พยักหน้าเบาๆ อย่างไม่เต็มใจ เธอเงียบไปสักพักก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้สดใส
“ฉันคุยโทรศัพท์กับคุณป้าสเปนเซอร์แล้วนะ”
“…อื้อ”
“ท่านบอกว่าจะซื้อชุดราตรีให้ล่ะ แต่ฉันปฏิเสธท่านไปแล้ว เพราะดูเหมือนว่าการเอาแต่รับของขวัญอยู่ฝ่ายเดียวทุกครั้งจะเป็นเรื่องที่ไร้มารยาท แล้วนายล่ะคิดยังไง”
“นั่นสินะ การทำตามใจเธอเองน่ะ เป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว”
ปีเตอร์เดาเอาว่าแม่ของเจนนี่คงจะไม่ซื้อชุดราตรีให้เธอ
“ฉันอาจจะใช้เงินที่เก็บสะสมไว้ซื้อน่ะ นายจะไปช่วยเลือกด้วยหรือเปล่า”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ”
ตอนนั้นเองเด็กสาวถึงได้คลี่ยิ้มจางๆ ที่ริมฝีปาก
“งั้นพรุ่งนี้เราไปเลือกกันนะ”
“กี่โมงดีล่ะ”
“สี่โมงแล้วกัน”
แม้เขาจะสัญญากับแม่ไว้แล้วว่าจะไปที่ห้างสรรพสินค้าด้วยตอนสี่โมง แต่ปีเตอร์ก็พยักหน้าอย่างมีมารยาท
“โอเค”
ทั้งคู่ลุกจากม้านั่ง ในขณะที่กล่าวลาและแยกย้ายกันไป ปีเตอร์กอดเจนนี่แน่นกว่าปกติเล็กน้อย แต่วันรุ่งขึ้นเธอกลับไม่ปรากฏตัวแม้จะเป็นเวลาสี่โมงแล้วก็ตาม ปีเตอร์รออยู่สักพักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากไปห้างสรรพสินค้ากับแม่ในที่สุด
หลังจากนั้นอารมณ์แปรปรวนของเจนนี่ก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เธอมักจะมาหาและคุยกับปีเตอร์สักพักในตอนที่เธออยากมา ปีเตอร์รู้ดีว่ายิ่งเวลาผ่านไป การโกหกของเธอก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ทำได้เพียงปวดใจกับความคิดที่ว่า ‘เจนนี่คงลำบากมากสินะ’ เท่านั้น เขาเชื่อว่าเธอจะกลับไปเป็นเจนนี่ที่มีความสุขในสักวันหนึ่ง และคอยเฝ้าดูอยู่ข้างๆ
แต่เจนนี่ก็ค่อยๆ จมลงสู่นรกของความเศร้า แค่เธอเห็นปีเตอร์พูดคุยกับแม่อย่างนุ่มนวล เธอก็จะโมโหและกลับบ้านไปทันที อีกทั้งเธอยังคอยจับผิดและชวนเขาทะเลาะเรื่องไร้สาระอีกด้วย แม้แต่ปีเตอร์ที่คอยโอบกอดบาดแผลของเพื่อนที่สนิทที่สุดเอาไว้ก็ยังรู้สึกถึงขีดจำกัดของความอดทน
สิ่งที่ทำให้เจนนี่เศร้ามากกว่าอะไรทั้งหมดก็คือการที่เธอไม่ได้รับจดหมายจากเจ้าชายอีกแล้ว ครั้งแรกเจนนี่บอกว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดพลาดแน่ๆ พลางกัดเล็บอย่างวุ่นวายใจ สุดท้ายเธอก็กรีดร้องใส่ปีเตอร์ว่า ‘นายต้องเขียนอะไรแปลกๆ ลงไปในจดหมายแน่ๆ’ ปีเตอร์พูดไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นเนื่องจากเขาไม่สามารถโกรธเจนนี่ได้ เขาจึงสาบานว่าเขาไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด แต่ความโกรธของเจนนี่กลับไม่หายไป แถมเธอยังระบายทุกอย่างใส่ปีเตอร์อย่างเต็มที่อีกด้วย
เช่น ที่นายได้รับรางวัลทั้งหมดก็เป็นเพราะฉัน ไม่ใช่เพราะนายทำได้ดีอะไรหรอก แค่ได้รับรางวัลเล็กๆ แค่รางวัลเดียว อย่ามาทำอวดดีนะ นายทำเรื่องขี้ขลาดแบบนั้น เพราะอิจฉาที่ฉันไปได้ด้วยดีกับเจ้าชายใช่ไหม
ปีเตอร์ทำตัวไม่ถูกและหน้าแดงทุกครั้งที่เจนนี่พูดเรื่องไร้สาระแบบนั้นออกมา เขารับรู้ผ่านหนังสือหลายต่อหลายเล่มที่เขาอ่านเพื่อเจนนี่ว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักจะแสดงความผิดหวังและความโกรธเกี่ยวกับตัวเองออกมาด้วยวิธีไหนก็ได้ แต่ปีเตอร์กลับไม่สามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ตนถูกสาดความโกรธใส่อย่างเต็มที่ด้วยวิธีแบบนี้
ปีเตอร์แก้ตัวว่าตนไม่ได้ทำอย่างนั้นอยู่หลายครั้ง และเกลี้ยกล่อมเจนนี่ว่า ‘เธอไม่รู้เหรอว่าฉันคิดว่าเธอสำคัญขนาดไหน’ แต่เจ้าตัวกลับปิดหู และพ่นความคิดของตัวเองออกมาเหมือนกับม้าแข่งที่กำลังวิ่ง
ยิ่งอาการของเจนนี่รุนแรงมากเท่าไร ความเพ้อฝันของเธอก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดเธอพูดแม้กระทั่งว่าเจ้าชายมาหาเธอที่หน้าบ้าน และร้องเพลงให้เธอฟังด้วย ปีเตอร์รู้สึกปวดใจ เขารู้ว่าความจริงแล้วฟิลลิปไม่ได้มาที่หน้าบ้านของเจนนี่ เพราะวันนั้นเขานอนไม่หลับและอ่านหนังสืออยู่จนดึก
เจนนี่พูดพล่ามเกี่ยวกับเพลงและเนื้อเพลงที่เจ้าชายร้องให้เธอฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ปิดปากเงียบและจ้องมองปีเตอร์อย่างเย็นชา การพูดคุยที่เริ่มต้นด้วยคำว่า ‘ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ’ ถูกบีบให้จบด้วยคำพูดที่ไม่น่าเชื่ออย่าง ‘นายทำแบบนี้เพราะอิจฉาฉันล่ะสิ’ อีกครั้ง
แม้ปีเตอร์จะรู้สึกไม่ยุติธรรมและโกรธจนน้ำตาจะไหล แต่เขาจะต้องคลายความโกรธลงด้วยตัวเองทุกครั้ง ครั้งนี้เขาเชื่อว่าช่วงซึมเศร้าของเจนนี่แค่ยาวนานเป็นพิเศษเท่านั้น และเขายังเชื่ออีกว่าเพื่อนที่อ่อนโยนของตนกำลังเฝ้ามองทุกอย่างอยู่ข้างในนั้นและต้องรู้สึกปวดใจแน่ๆ เหมือนเช่นเคย เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่ปีเตอร์ซึ่งเป็นเด็กไม่สามารถแม้แต่จะคาดเดาได้ว่าอาการป่วยของเจนนี่รุนแรงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแค่ไหน เนื่องจากมันเป็นอาการเจ็บป่วยทางใจที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า