“ว่าไงนะ”
“ผมบอกว่าคนร้ายถูกจับแล้วครับ ไม่สิ ไม่ได้ถูกจับหรอก เขายอมรับผิดเองต่างหาก”
“พะ พูดอะไรของนายน่ะ หมายความว่านายจะไปสารภาพผิดเหรอ ถะ ถึงได้ใส่ชุดไว้ทุกข์แบบนี้”
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็เข้าใจได้ว่าทำไมอีอูยอนถึงใส่ชุดสูทสีดำ แต่พออีอูยอนได้ยินสิ่งที่หัวหน้าทีมชาพูดกลับทำหน้าเคร่งขรึมเป็นเชิงถามว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องอะไรอยู่
“ทำไมผมต้องไปด้วยล่ะ ผมบอกตอนไหนเหรอครับว่าผมทำร้ายคังยองโม”
“…”
“…”
ก็นายทำแบบนั้นยังไงล่ะ ไอ้ชั่วเอ๊ย
คนทั้งสองมองมาด้วยสายตาแปลกๆ เห็นดังนั้นอีอูยอนก็ทำหน้าใสซื่ออย่างหน้าไม่อายและพูดต่อ
“ไม่มีหลักฐานนี่ครับ ห้ามทำแบบนี้กับคนที่ไม่มีหลักฐานนะครับ”
“…”
“ผมทำให้คนร้ายยอมรับผิดด้วยตัวเองเลยนะ เพราะงั้นติดต่อคิมแฮชินไปเถอะครับ นี่น่าจะเป็นข่าวพิเศษที่สุดแล้ว”
“แล้วคนร้ายนั่นเป็นใครกันแน่”
“พวกชนชาติโชซอนที่ตีหัวผมแล้วโยนผมลงทะเลสาบที่คังวอนโดครับ”
“…”
“ฮ่าๆๆๆ พวกนั้นฟาดหัวรุ่นพี่คังยองโมขนาดนั้นเลยนะครับ ช่างเป็นความบังเอิญที่เหมือนเรื่องโกหกจริงๆ อ้อ จริงสิ ถ้าตำรวจติดต่อมาขอสอบถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็บอกไปตามจริงเลยนะครับ เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นน่ะ”
“…นายทำอะไรกับคนชนชาติโชซอนพวกนั้นน่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมนึกถึงรอยเลือดที่เปื้อนตามแขนเสื้อ และถามอย่างยากลำบาก
“ยังไม่ได้ทำอะไรเลยครับ มั้งนะ”
“…”
“ยังไงนี่ก็โชคดีมากแล้วนะครับที่คนร้ายโดนจับ พวกนั้นอาจจะทำแบบนั้นเพราะอยากจะสารภาพผิดขึ้นมาก็ได้”
อีอูยอนมองกระจกพลางผูกเนคไท ตาของเขาหรี่ลงขณะยิ้ม ถ้าใครเห็นภาพนี้โดยไม่ได้ยินเสียงคงชมว่านั่นเป็นรอยยิ้มที่สวยมาก
แต่มันเป็นเพียงรอยยิ้มที่น่าสยดสยองสำหรับกรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชาที่จะต้องมาได้ยินคำพูดเน่าเฟะทั้งหมดของอีอูยอนในพื้นที่ที่ปิดสนิทเท่านั้น
“เรื่องนี้คงจะทำให้ยัยคิมแฮชินนั่นหุบปากไปสักพักนะครับ”
“ถะ ถ้าใครมาได้ยินจะทำยังไงล่ะ! เฮ้อ ช่วยระวังคำพูดหน่อยเถอะ”
“คิดจะให้ผมพูดเพราะๆ ในสถานการณ์แบบนี้เหรอครับ”
“นายเป็นคู่เวรคู่กรรมอะไรกับคิมแฮชินหรือเปล่า ไม่ใช่ว่านายไปหลอกแต๊ะอั๋งหล่อนหรอกนะ เพราะแบบนั้นยัยนั่นเลยมีจิตพยาบาท แล้วทำแบบนั้นหรือเปล่า”
“ใครแต๊ะอั๋งใครนะครับ ต่อให้ผู้หญิงแบบนั้นมาเสนอตัวให้ผมก็ไม่กินหรอกครับ”
“…”
ใครก็ได้ช่วยทำให้หมอนี่หุบปากสกปรกๆ นั่นที
กรรมการผู้จัดการคิมมองอีอูยอนด้วยสีหน้าที่เหมือนจะเป็นลมในไม่ช้า
“ขอยืมรถหน่อยสิครับ คราวนี้เอาคันที่ไม่สะดุดตานะ”
“รถของฉันมีคันไหนที่ไม่สะดุดตาบ้างล่ะ! ไม่มีหรอกนะรถแบบนั้นน่ะ!”
รถเฟอร์รารี่ยังคงทำให้กรรมการผู้จัดการคิมทุกข์ใจไปพักหนึ่ง แต่เนื่องจากรถที่พอจะใช้ได้ที่สุดในบรรดารถที่เขามีคือรถเบนซ์เอสคลาส คำพูดของเขาจึงไม่ใช่คำพูดโกหกเลยสักนิด
“ขับรถฉันไปแล้วกัน”
หัวหน้าทีมชาหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าก่อนจะโยนให้อีอูยอน อีอูยอนรับกุญแจและเก็บลงในกระเป๋าก่อนจะขยิบตาข้างหนึ่ง หัวหน้าทีมชาขนลุกกับภาพน่ามองราวกับหลุดออกมาจากโฆษณาที่ไหนพลางเอาฝ่ามือมาถูบนแขนเบาๆ
“จะไปไหน…”
กรรมการผู้จัดการคิมที่ตอนนี้ไม่เหลือแรงที่จะโมโหแล้วถามด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม อีอูยอนใช้มือเสยผมที่เปียกฝนขึ้นไปพลางเอ่ยตอบ
“ไปหาคนที่คิดว่าตัวเองรู้จักผมดีที่สุดในโลกครับ เพราะดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่รู้เรื่องที่สำคัญที่สุด”
พูดจบ อีอูยอนก็สวมสูทสำหรับไว้ทุกข์สีดำและออกจากห้องไปก่อนที่กรรมการผู้จัดการคิมจะรั้งไว้ได้
***
อินซอบหันไปมองดูรอบๆ ห้องเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากเก็บของเสร็จแล้ว ถ้าเขาไปเจอนักข่าวคิมแฮชินตอนเย็น และไปที่สนามบินในตอนกลางคืน เรื่องที่นี่ก็จะจบลง ภายในบ้านของเขาไม่ค่อยมีของเหลืออยู่แล้ว เพราะเขาเอาของที่มีราคาอย่างพวกตู้เย็น โต๊ะ และจอคอมพิวเตอร์ไปมอบให้สถานรับเลี้ยงเด็กแถวบ้านหมดแล้ว เขาตัดสินใจจะเอาคอมพิวเตอร์กลับอเมริกาไปด้วย เพราะยังมีข้อมูลเกี่ยวกับอีอูยอนเหลืออยู่ในนั้นเยอะมาก
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องจัดการมีเพียงกระดานเท่านั้น
ชเวอินซอบนึกถึงวันแรกที่เขาซื้อกระดานมาติดไว้ที่กำแพงหลังจากเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เขาแปะข้อมูลเกี่ยวกับอีอูยอนไว้จนเต็มกระดาน ในขณะเดียวกันก็ตัดสินใจว่าจะต้องหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายให้ได้
ตรงกลางกระดานมีรูปของอีอูยอนที่เดินออกมาจากซอยและกำลังทิ้งกระเป๋าสตางค์แปะเอาไว้ หลังจากที่ติดรูปนี้ลงไปในวันนั้น เขาไม่เคยดึงมันออกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
อินซอบจ้องมองอีอูยอนที่อยู่ในรูปอย่างเหม่อลอย
ในนั้นมีผู้ชายที่กำลังแสดงสีหน้าต่างจากอีอูยอนที่ตนรู้จักอยู่ แม้เจนนี่จะเชื่อว่านี่เป็นตัวตนที่แท้จริงของฟิลลิป แต่อินซอบยังไม่เชื่อ
“…เรามันโง่ที่สุดในโลกจริงๆ”
อินซอบถอนหายใจก่อนจะแกะรูปของอีอูยอนที่แปะอยู่บนกระดานออกมาทีละใบ เขาเก็บรูปถ่ายในวันนั้นที่ปักอยู่ตรงกลางกระดานลงในช่องลับของสมุดโน้ตอย่างดี ขณะที่จัดการรูป เขาก็เจอแฟ้มที่ตัดสินใจจะเอาให้นักข่าวคิมแฮชิน และพิจารณารูปที่อยู่ในนั้นทีละใบ
อีอูยอนในภาพพวกนั้นกำลังเดิน ดื่ม นั่งรถ และจูบกับผู้หญิง อินซอบดึงรูปที่อีกฝ่ายจูบกับผู้หญิงออกมา
ขณะที่เก็บรูปภาพสามใบที่เหลือลงในแฟ้ม อินซอบก็ดึงรูปออกมาอีกครั้ง เขาเหลือแต่รูปที่อีอูยอนกำลังมองผู้หญิงอย่างอ่อนโยนที่สุดในบรรดารูปถ่ายทั้งสามใบเอาไว้ และเขาก็เริ่มคิดว่าเขาจะใส่ไปทั้งสองรูป หรือเลือกรูปใดรูปหนึ่งดี
อินซอบคิดอยู่สักพักก่อนจะเลือกรูปที่อีอูยอนเดินอยู่บนถนนกับผู้หญิงใส่กลับเข้าไปในแฟ้ม เรียบร้อย ถ้าเป็นภาพนี้ก็น่าจะพอแต่งเรื่องขึ้นมาได้ว่าฝ่ายหญิงเป็นเพื่อนในวงการที่รู้จักกันดี
อินซอบวางแฟ้มไว้ข้างตัว เขาลุกขึ้นอีกครั้ง ขณะที่เขากำลังดึงรูปออกจากกระดานก็ได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตูจากด้านนอก
ใครกันนะ นายหน้าขายบ้านก็เพิ่งมาเมื่อกี้นี้นี่นา หรือว่าจะเป็นเจ้าของบ้าน
อินซอบเอียงคอด้วยความสงสัยก่อนจะถามไปว่า ‘ใครครับ’ และเดินไปที่ประตูบ้าน
“คุณอินซอบอยู่ข้างในไหมครับ”
“…คุณ…อีอูยอนเหรอครับ”
ทำไมอีอูยอนถึงมาหาเราที่บ้านล่ะ
อินซอบซ่อนรูปที่กำลังถืออยู่ไว้ข้างหลัง ไม่สิ ก่อนอื่นเราต้อง…เก็บไว้ในที่ที่มองไม่เห็น…
“อยู่ด้านในใช่ไหมครับ”
“สะ สักครู่นะครับ ช่วยรอสักครู่…”
อินซอบหันกลับไปด้วยคิดว่าควรจะดึงกระดานออกไปก่อน แต่พูดยังไม่ทันจบ เขาก็ได้ยินเสียงดัง ปัง จากประตูหน้าบ้าน อินซอบสะดุ้งตกใจและหันกลับไปมองด้านหลัง
“สวัสดีครับ”
“ทำไมถึง…”
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณอินซอบหน่อยน่ะครับ”
ท่าทีของอีกฝ่ายไม่มีความเขินอายใดๆ ราวกับเป็นแขกที่ถูกเชิญให้เข้ามาด้านใน ฝ่ายนั้นเข้ามาในห้องโดยไม่ถอดรองเท้า และเริ่มสำรวจห้องของอินซอบ
“จะย้ายบ้านเหรอครับ”
“…สัก สักครู่นะครับ”
“เก็บของแล้วส่งไปที่ไหนเหรอครับ ไม่มีข้าวของเครื่องใช้เหลือเลยนะครับเนี่ย”
“ออกไป ผมบอกให้ออกไป…”
อินซอบจับแขนอีอูยอนเอาไว้ เจ้าตัวเผยยิ้มและดึงมือของอินซอบออก เมื่อเห็นกระดานที่ติดอยู่กลางผนัง เขาก็ชี้นิ้วไป
“นั่นอะไรเหรอครับ”
“…”
“นั่นเป็นรูปของผมหมดเลยไม่ใช่เหรอครับ”
อีอูยอนก้าวเข้าไปยืนอยู่หน้ากระดานอย่างนุ่มนวล อินซอบสังหรณ์ใจว่าคงไม่มีทางจัดการกระดานนั้นได้อีกต่อไปแล้วจึงเบือนหน้าหนี
“ถ่ายรูปพวกนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ ว้าว ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะเนี่ย”
อีอูยอนไล่มองรูปด้วยสีหน้าไร้เดียงสาเหมือนเด็ก
“นี่มันเมื่อหนึ่งปีก่อนหรือเปล่าครับ คุณอินซอบเริ่มตามผมตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่เหรอครับ”
“…”
“จัดเก็บข้อมูลไว้ต่างหากด้วยเหรอครับ”
อีอูยอนพลิกแฟ้มที่เขาจัดเรียงไว้ตามปีไปมาพลางเอ่ยถาม
“ยะ อย่าแตะต้องนะครับ!”
“ทำไมล่ะครับ ยังไงมันก็เป็นข้อมูลเกี่ยวกับผมทั้งหมดอยู่แล้ว ดูสักหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะ”
“ไม่ได้ครับ ห้ามดูนะครับ”
ไม่มีประโยชน์ อีอูยอนถือแฟ้มไว้ในมือ และเริ่มไล่ดูด้านในอย่างเงียบๆ
“ฮ่าๆๆๆ ของเด็ดๆ ทั้งนั้นเลยนะครับเนี่ย รวบรวมของแบบนี้ไว้ด้วยเหรอครับ”
“…”
“ตัวจริงของคุณอินซอบเป็นใครกันแน่ครับ ไม่สิ หรือจะต้องเรียกว่าปีเตอร์น้า”
วินาทีที่ชื่อปีเตอร์หลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย เลือดในกายของอินซอบก็กลายเป็นน้ำแข็งทำให้เขาเย็นวาบไปทั้งตัว จนไม่สามารถหายใจอย่างปกติได้ด้วยซ้ำ
“นั่นคืออะไรครับ เก็บของที่จะกลับอเมริกาเสร็จหมดแล้วเหรอครับ”
อีอูยอนใช้ปลายเท้าเตะกระเป๋าเดินทางพลางเอ่ยถาม อินซอบไม่สามารถสบตาอีกฝ่ายได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้คือจับกางเกงด้วยมือที่สั่นเทาและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ทรุดลงไป พออินซอบไม่ตอบอะไร อีอูยอนก็เปิดกระเป๋าเดินทาง และรื้อค้นสิ่งของข้างใน
“จะเอาฮาร์ดดิสก์ของคอมพิวเตอร์กลับไปด้วยเหรอครับ ถ้าเอาไปแบบนี้มันน่าจะพังนะ”
อีอูยอนว่าพลางใช้ปลายนิ้วเคาะฮาร์ดดิสก์ของคอมพิวเตอร์ที่อินซอบใช้เสื้อผ้าห่อเอาไว้
“ในนี้มีอะไรให้คุณเอากลับไปที่อเมริกาเหรอครับ”
“…”
“แม้แต่ในนี้ก็เต็มไปด้วยข้อมูลของผมเหรอครับ เป็นแบบนั้นจริงเหรอ”
อินซอบไม่อาจตอบอะไรได้ เพราะนั่นเป็นความจริง ไม่สิ เขาไม่สามารถทำได้ต่างหาก สถานการณ์ในตอนนี้ทั้งน่ากลัวและชวนให้สับสนเสียจนเขาแทบจะหายใจอย่างปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ
อีอูยอนเจอพาสปอร์ตในกระเป๋า และเริ่มเปิดอ่าน
“อายุยี่สิบสี่ปี เป็นคนอเมริกันด้วยนี่ครับ เรียนภาษาเกาหลีกับใครมาเหรอครับ มันค่อนข้างเพอร์เฟ็คเลยนะ”
“…”
“ทำไมครับ คิดว่าผมไม่รู้เรื่องพวกนี้เหรอ”
“รู้ได้ยังไง…รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่…”
อีอูยอนคว้าชายเสื้อของอินซอบและออกแรงดึง ทำให้กระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาขาดและตกลงบนพื้นห้องในทันใด อินซอบตกตะลึงพร้อมกันนั้นก็พยายามใช้มือจับสาบเสื้อเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถซ่อนรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดที่เหลืออย่างชัดเจนบนหน้าอกได้
“ผมเห็นรอยนี่ไงครับ ตอนที่คุณอาบน้ำที่บ้านผม”
“…”
“เพราะงั้นผมก็เลยคิดว่าชเวอินซอบคนนี้ไม่ใช่ชเวอินซอบในเอกสารที่บอกว่าร่างกายแข็งแรงสินะ”
เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลย
ถ้าอย่างนั้นอีอูยอนก็รู้ว่าเราเป็นใช้ชื่อปลอมมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เราเริ่มทำงานแล้ว แต่ทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ
เมื่อเห็นสีหน้าของอินซอบ อีอูยอนอ่านออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงเอ่ยเสียงกระซิบ
“ผมเคยคิดว่าผมไม่สนครับ เพราะยังไงผมก็จะต้องไล่คุณออกอยู่แล้ว แต่ผมกลับสนใจขึ้นเรื่อยๆ น่ะสิ”
“…”
“แต่ตอนนี้ถ้าผมไม่สนใจ ผมคงจะพลาดมาก”
อีอูยอนยิ้มกว้าง อินซอบชอบภาพที่อีกฝ่ายยิ้มกว้างในจอภาพ แต่ตอนนี้เขากลับชอบมันไม่ลง
เขารู้สึกเหมือนกำลังดูหนังสยองขวัญที่น่ากลัวที่สุดในโลกคนเดียวในห้องมืดๆ เขาอยากจะหลับตา และปิดโทรทัศน์ไปเสีย แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อจนไม่สามารถทำได้ มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายอย่างมากเมื่อฉากที่น่ากลัวเหล่านั้นเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา