“ของที่ฝากไว้เมื่อกี้…”
อีอูยอนเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ ทันใดนั้นเขาก็ชะงักไป อินซอบหลับไประหว่างที่เขาขอตัวขึ้นไปข้างบนสักครู่ เขามองอีกฝ่ายที่นอนหลับไปในสภาพที่ทำหน้าบึ้งตึงและคู้ตัวพลางคิดว่า ‘คงเหนื่อยมากสินะ’
อีอูยอนนั่งลงตรงที่นั่งข้างคนขับก่อนจะปิดประตูให้เบาที่สุด เขาหยิบเอกสารที่ยื่นให้อินซอบเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมา และคิดว่าเขาจะขึ้นไปหาเอง
อินซอบส่งเสียงครางเบาๆ ออกมาก่อนจะพลิกตัวเพราะเสียงปิดประตูรถ ตอนนั้นเองกลิ่นตัวที่ปนกับกลิ่นเหงื่อของอินซอบก็ลอยมาตามอากาศ และอบอวลอยู่ในรถ เป็นกลิ่นหอมหวานที่ออกจากตัวของเด็กเล็กที่อุณหภูมิของร่างกายสูง อีอูยอนเอื้อมออกไปเพื่อค้นลิ้นชักหน้ารถ และหันหน้าไปทางอินซอบ
ทันทีที่เห็นริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อย เขาก็นึกถึงเรื่องเมื่อวานโดยอัตโนมัติ
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นอุบัติเหตุทั่วไป
นั่นเป็นเรื่องที่ทำลงไปด้วยความหัวร้อนและโกรธ เนื่องจากตนโดนผู้จัดการส่วนตัวที่เกิดใจกล้าหน้าด้านขึ้นมาเพราะถูกยัดยาจนสมองกลับจู่โจม เขาได้ข้อสรุปว่าเนื่องจากช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ร่างกายของเขาจึงเกิดอาการอดอยากปากแห้งจนเกิดความเปลี่ยนแปลงที่มีความเป็นมนุษย์ขึ้น
แต่นี่เราอยากขนาดนั้นเลยเหรอ
อีอูยอนคิดพลางมองหน้าของผู้จัดการส่วนตัวที่ห่างไกลจากรสนิยมของตัวเองไปหลายปีแสง ทั้งยังผอมแห้ง จืดชืด และชอบทำตัวเปิ่นๆ
แค่คิดว่าอีกฝ่ายหอบหายใจด้วยใบหน้าแบบนั้นอยู่ใต้ร่างเขา และเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา เขาก็ระเบิดความโมโหออกมา
อินซอบพลิกตัวและทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง อีอูยอนรู้สึกว่าใบหน้าของฝ่ายนั้นซูบลงไปมากกว่าครั้งแรกที่เจอกัน อีอูยอนยื่นมืออกไปก่อนจะยกขึ้นมาลูบผมของอินซอบอย่างแผ่วเบา อินซอบย่นจมูกเพราะรู้สึกจั๊กจี้และทำเสียงไม่พอใจ อีอูยอนคิดว่าเขาอยากจะดันส่วนนั้นของตัวเองเข้าไปในปากนั้นรวดเดียวจนสุด
“บ้าไปแล้ว…”
เขากลั้นหัวเราะพลางเดาะลิ้น ถึงช่วงที่ผ่านมาเราจะอดอยาก แต่เราอดอยากมากขนาดนั้นเลยเหรอ
อีอูยอนซึ่งเข้ามาหาเอกสารในลิ้นชักหน้ารถลงจากรถไป จากนั้นก็โทรศัพท์หาคนที่เขาขอร้องให้ช่วยตรวจสอบเมื่อสักครู่อีกครั้ง เขาวางสายหลังจากได้ยินคำตอบว่าประมาณวันพรุ่งนี้ถึงจะสามารถส่งข้อมูลที่ถูกต้องให้ได้
อีอูยอนรอให้ลิฟต์เคลื่อนตัวลงมาพลางต่อสายโทรศัพท์อีกครั้ง เขากระซิบคำพูดหวานๆ ใส่คู่สนทนาที่เหมาะจะช่วยคลายความรู้สึกตรงช่วงล่างของร่างกายให้เขาได้
***
“กลับมาแล้วครับ”
อินซอบพึมพำคนเดียวขณะเข้ามาในห้อง แม้สิ่งที่รอเขาอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีใครนี้จะมีเพียงความมืด แต่เขาก็อยากจะใส่ความมีชีวิตชีวาอย่างนี้ลงไปสักหน่อย
สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากเปิดไฟ และเข้ามาในห้องคือการล้างมือและเท้า อินซอบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะนั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ เขาเรียบเรียงเรื่องที่ทำในวันนี้ลงไปในสมุดโน้ต เขาไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับอีอูยอนอีกแล้ว แต่เขาก็ยังเขียนหวัดๆ ลงไปด้วยเครื่องจักรที่ได้ชื่อว่าความเคยชินในร่างกาย และปิดสมุดโน้ตลง
“เหนื่อยจัง”
ชเวอินซอบนอนลงกับพื้นพลางบ่นพึมพำ
เขารู้สึกว่าวันนี้พลังงานในร่างกายของเขาต่ำ เพราะเขามัวแต่สังเกตท่าทีของอีอูยอนทั้งวัน วันนี้ทั้งวันอีอูยอนมีท่าทางเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง แม้อินซอบจะซื้อขนมปังให้อีกฝ่าย แต่เจ้าตัวกลับกินมันเข้าไปแค่คำเดียวก่อนจะโยนทิ้ง และยังจิบกาแฟที่บอกว่าไร้รสชาติเข้าไปเพียงอึกเดียวก่อนจะโยนทิ้งด้วยเหมือนกัน มันเป็นการเปลี่ยนแปลงถึงขนาดที่ทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายอาจเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่อีอูยอน ดูเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างหลังจากออกมาจากคลับอย่างแน่นอน แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถเอ่ยถามอีอูยอนถึงเรื่องนั้นได้
เรื่องของเมื่อวานที่เขาจำไม่ได้กดลงมาที่หัวใจของอินซอบอย่างหนัก
โดนคุณเฉดหัวส่งเพราะไม่พอใจที่ผมทำอะไรบ้าๆ ใส่เมื่อวานยังจะดีซะกว่า แต่กลับมาทำตัวเย็นชาแบบนี้ใส่เนี่ยนะ
อินซอบหันหน้าไปทางกระถางต้นไม้ที่วางอยู่ตรงมุมห้องก่อนจะพูดด้วย
“เคท ตอนนี้ฉันเหลือเวลาอยู่กับเธออีกไม่มากแล้วนะ”
เคทเป็นหนึ่งในของที่เขาจะต้องจัดการตอนที่จากไปจากเกาหลีแล้ว อินซอบได้ไปที่ร้านดอกไม้ที่ซื้อเคทมา และบอกว่าจะขอคืนต้นไม้เรียบร้อยแล้ว แม้เจ้าของร้านดอกไม้จะงุนงง แต่พออินซอบบอกว่าเขาจะจ่ายค่าย้ายต้นไม้ลงดิน และค่าอาหารบำรุงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ด้วย เจ้าของร้านก็อนุญาตให้เขาทำแบบนั้นได้ด้วยสีหน้าไม่เต็มใจนัก
“อีอูยอน…ฟาดคังยองโม”
ขณะที่พูดแบบนั้นอินซอบก็เบาเสียงลงให้ได้มากที่สุด เพราะกลัวว่าใครจะมาได้ยินคำพูดของตน
“ดังนั้นตอนนี้คังยองโมก็เลยยังอยู่ที่โรงพยาบาล เขาจะต้องนอนอยู่บนเตียงไปสักพักหนึ่งเลย ถึงจะโชคดีที่ไม่ถึงชีวิต…แต่อีอูยอนก็ทำแบบนั้นอยู่ดี มีแค่เราเท่านั้นที่รู้เรื่องที่อีอูยอนทำ”
ตอนที่ถ่ายรูปอีอูยอนเดินออกมาจากซอยในทีแรก อินซอบคิดแค่ว่าเขาจะต้องคว้าโอกาสที่อาจจะไม่มาหาตัวเองอีกครั้งเอาไว้เท่านั้น แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความลับนั้นก็ยิ่งหนักขึ้น และกดทับอินซอบเอาไว้
“เราคิดว่าถ้ารู้จุดอ่อนของอีอูยอนแล้วทุกอย่างจะต้องชัดเจนขึ้น แต่เรากลับอึดอัดมากขึ้นไปอีก”
อินซอบรู้ได้เลยว่าตนกำลังผูกพันกับอีอูยอนอย่างลึกซึ้งมากกว่าที่คิด
“เราควรจะทำยังไง ต้องทำแบบไหนถึงจะดีล่ะ”
แม้เขาจะถามออกไปอย่างนั้น แต่ก็ไม่มีทางที่จะได้คำตอบกลับมา อินซอบใช้ฝ่ามือตบหน้าตัวเองเบาๆ เขาเหลือแค่จัดการเรื่องที่สำคัญที่สุดของช่วงเวลาที่รอคอยให้เสร็จสิ้นเท่านั้น ถ้าคำว่าไล่ออกไม่ยอมหลุดออกมาจากปากของอีอูยอนภายในวันพุธหน้า เขาก็จะเขียนจดหมายลาออกเองโดยอ้างว่าร่างกายแย่ลง
อย่างไรเสียอีอูยอนก็เปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวสามเดือนครั้งเป็นปกติอยู่แล้ว ต่อให้ตนออกไปก็คงไม่มีใครใส่ใจอะไรมากนักหรอก
แม้เขาจะวาดภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับวันข้างหน้าไว้แล้ว แต่หัวใจของอินซอบกลับว้าวุ่น อินซอบใช้ปลายนิ้วลูบกระถางของเคท จากนั้นก็มองเวลาแล้วลุกขึ้น วันนี้เป็นวันที่เขาจะต้องโทรศัพท์หาแม่ หลังจากเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นไม่กี่ครั้งเขาก็ได้ยินเสียงของปลายสาย
[ฮัลโหล ปีเตอร์เหรอ]
“ครับ กำลังทำอะไรอยู่ครับ”
[กำลังอาบน้ำให้วิลอยู่น่ะ อินซอก! จะหนีไปไหน!]
เขาได้ยินเสียงเห่าโฮ่งๆ ของวิลจากปลายสาย ห้องนั่งเล่นของบ้านเขาน่าจะเต็มไปด้วยน้ำ เพราะวิลหนีไปตรงนั้นทีตรงนี้ทีทุกครั้งที่อาบน้ำ
“หลังอาบน้ำเสร็จแล้ว ช่วยให้ขนมที่มันชอบด้วยนะครับ”
[มันก็ต้องฟังที่แม่พูดก่อนสิ วิล! อยู่เฉยๆ ตรงนั้นเลยนะ ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่ให้ขนมนะ]
เขาได้ยินเสียงวิลเห่าเสียงดังอย่างต่อเนื่อง อินซอบยิ้มพลางคิดว่าเขาอยากจะกอดวิลเร็วๆ
“แม่ ผมมีเรื่องจะบอก ผม…อาจจะได้กลับบ้านสัปดาห์หน้านะ”
แม้เขาจะซื้อตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว แต่อินซอบก็ยังไม่ได้บอกเรื่องที่เขาจะกลับอเมริกาให้ครอบครัวรู้ เขาคิดว่าเขาจะไม่บอกจนกว่าเขาจะไปสนามบิน เพราะเขาไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้นได้อย่างไร
[ว่าไงนะ จริงเหรอ จะกลับมาจริงๆ เหรอ ขอบคุณพระเจ้า รู้ไหมว่าแม่ร้องไห้ขนาดไหน เพราะฝันถึงลูกเมื่อคืน]
เขาได้ยินเสียงของแม่กลั้นสะอื้น ถ้ารู้ว่าแม่จะดีใจขนาดนี้ เขาน่าจะบอกแม่ให้เร็วกว่านี้อีกหน่อย
[จะกลับมาจริงๆ เหรอ จะขึ้นเรื่องบินกี่โมงล่ะ หืม?]
“มีแต่แม่นะครับที่รู้ เพราะผมยังไม่แน่ใจเลย เดี๋ยวหลังจากอีกนี้สองสามวันผมจะบอกอย่างละเอียดอีกทีครับ”
[โอเคๆ แล้วกินข้าวครบทุกมื้อไหม ไม่ได้เจ็บปวดตรงไหนใช่หรือเปล่า]
“ครับ ผมสบายดีครับ”
[ว่าแต่จัดการเรื่องที่ไปทำที่เกาหลีได้หมดแล้วเหรอ]
น้ำเสียงระมัดระวังของแม่ที่เอ่ยถามมาทำให้อินซอบลังเลไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปตามตรง
“เหมือนจะจัดการได้เรียบร้อยแล้วครับ…แต่ผมยังไม่แน่ใจเลยครับ”
[ไม่แน่ใจเรื่องอะไรเหรอ]
ตั้งแต่แรกที่อินซอบบอกว่าจะมาเกาหลี คนที่คัดค้านอย่างรุนแรงก็คือแม่ เธอโกรธและถามเขาว่าถ้าลูกชายที่ร่างกายอ่อนแอจะจากไปในที่ที่ไกลแบบนั้น แถมยังไม่บอกเหตุผลที่ชัดเจนให้รู้ จะมีแม่คนไหนไม่คัดค้านบ้าง อินซอบบอกแม่ว่าเขาจะต้องไปเพื่อคนที่สำคัญมากจริงๆ และต้องโน้มน้าวให้แม่เชื่อตัวเองสักครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่บอกใครเลยว่าเรื่องที่ว่านั้นคือเรื่องอะไร นอกเสียจากเจนนี่ที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่บนโลกแล้ว
ถ้าใครมาได้ยินก็คงจะถามเขาด้วยใบหน้าตึงเครียดว่าเขาบ้าหรือเปล่า และถ้าคนอื่นมาได้ยิน พวกเขาอาจจะหัวเราะเยาะและถามว่าเขาไม่เสียดายเหรอที่ใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่าไปกับเรื่องแบบนั้นก็เป็นได้ แต่สำหรับอินซอบแล้วนั่นเป็นปัญหาที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
“มั่นใจว่าผมกำลังทำถูกต้องแล้วหรือเปล่า”
ตรงหน้าเขาตอนนี้มีเพียงความคิดที่ว่าอยากจะก้าวออกมาจากพื้นที่ข้างๆ อีอูยอน หากอยู่เคียงข้างอีอูยอนต่อไปแม้เพียงวินาทีเดียว หัวใจของเขาอาจยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ และเขาสังหรณ์ใจไม่ดีว่าตนอาจไม่สามารถจัดการกับหัวใจที่หนักอึ้งนั้นได้ อีกทั้งลางสังหรณ์นั้นก็กำลังเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ
[ปีเตอร์ คนเราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่โดยทำแต่เรื่องที่ถูกต้องได้ตลอดหรอกนะลูก]
“…”
[แค่ทำตามที่ลูกต้องการมากที่สุดก็พอ แม่เชื่อในตัวลูกนะ]
ปีเตอร์ลำบากใจกับคำพูดที่ได้ยิน คำพูดนั้นถูกรวมเข้าด้วยกัน ตอนนี้เขากำลังจะขายใครสักคนเพื่อไถ่บาปของตัวเองหรือเปล่านะ
เมื่อลูกชายไม่ตอบอะไรกลับมา คนเป็นแม่ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จงใจทำให้ร่าเริง
[ลูกรู้ใช่ไหมว่าแม่จะต้องออกไปซื้อโดนัทที่ร้านหมายเลขสามถ้าอารมณ์ไม่ดี]
“ครับ รู้ครับ”
ในตอนที่เครียด แม่ผู้ทำโดนัท ขนมปัง และคุกกี้ชนิดต่างๆ ได้ดีกว่าร้านขนมทั่วๆ ไปมักจะออกไปยังร้านที่เปิดมานานแล้วร้านนั้น และซื้อโดนัทที่ไม่ได้มีรสชาติพิเศษอะไรเลยมากิน
[ตอนแรกแม่ทำแบบนั้นเพราะโดนัทมันอร่อย แต่สุดท้ายแม่ก็ได้รู้ว่าเส้นทางที่จะต้องเดินไปจนกว่าจะถึงร้านนั้นแม่เองก็ชอบเหมือนกัน]
“…”
[ไม่มีสิ่งที่จะต้องยึดติดกับผลลัพธ์หรอกนะลูก เพราะมีเรื่องให้เราสามารถเจอความหมายบางอย่างได้ในเส้นทางนั้นอยู่อีกมากมายเช่นกัน เข้าใจไหม]
“…ครับ งั้นสัปดาห์หน้าผมจะโทรหาอีกทีนะครับ”
[โอเค หวังว่าจะได้เห็นหน้าลูกในสัปดาห์หน้านะจ๊ะ]
แม่บอกลาอย่างนุ่มนวลก่อนจะวางสายไป
สิ่งที่เราต้องการที่สุด
สิ่งที่เราต้องการที่สุดคืออะไรล่ะ อินซอบนอนลงกับพื้น และลองนับสิ่งต่างๆ ที่โผล่เข้ามาในใจตอนนี้ดู ครอบครัว คุกกี้ที่แม่อบ หนังสือหลายๆ เล่มที่ยังไม่ได้อ่านและเสียบอยู่บนชั้นวางหนังสือ เท้าหน้านุ่มๆ ของวิล เรื่องที่ไม่สำคัญอะไรที่ยังคุยกันไม่จบกับเจนนี่ แล้วก็…
โทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เขาดีดตัวขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าจอโทรศัพท์ ชื่อสามพยางค์ที่ออกเสียงว่าอีอูยอนถูกสลักอยู่ในใจ
อินซอบเถียงกับตัวเองในใจ เราจะต้องไม่รับโทรศัพท์ พรุ่งนี้เช้าเราตอบเขาไปว่าไม่รู้เรื่อง เพราะนอนอยู่ก็ได้ ยังไงซะอีอูยอนก็คือคนที่เราจะต้องทิ้งอยู่แล้ว ถึงทำดีกับคนคนนี้ต่อไปก็ไม่มี…
“…ฮัลโหลครับ”
…ไม่มีประโยชน์ คนอย่างเราไม่ว่าจะลองตัดสินใจอะไรก็ไม่มีประโยชน์
อินซอบรับโทรศัพท์ก่อนจะถอนหายใจในใจ