ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 8-1

ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 8-1

และแล้วเช้าวันใหม่ที่สดใสก็มาถึง ยิ่งคิดหน้าของอินซอบก็ยิ่งร้อนและยิ่งอับอาย ช่างเป็นเช้าที่เขาอยากจะขุดดินหนีไปที่ไหนสักที่…

“เฮ้อ”

อินซอบยืนพิงเสาพลางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง

วันนี้อินซอบตื่นขึ้นมาในบ้านของอีอูยอนอีกแล้ว! เขาอาบน้ำในห้องน้ำที่เริ่มจะคุ้นเคยพลางลิ้มรสความอับอายที่ว่า ‘ทำไมคนอย่างเราถึงเป็นแบบนี้กันนะ’ จนท้องแทบแตก

พออาบน้ำเสร็จ อินซอบก็นึกถึงสำนวนเกาหลีที่ว่า ‘ไม่รู้เลยว่ากำลังเอาอาหารเข้าจมูกหรือปากกันแน่’ อย่างจริงจังขณะที่กินข้าวเช้าที่อีอูยอนเตรียมไว้ให้ แต่จะเรียกว่าโชคดีก็ว่าได้ที่วันนี้อีกฝ่ายไม่มีตารางงานในตอนเช้าตรู่

เนื่องจากมีการประชุมเกี่ยวกับโฆษณาตอนสิบเอ็ดโมง อินซอบจึงมาแถวๆ ย่านยออีโด เขารออีอูยอนอยู่ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน และจมอยู่กับความเสียใจที่ไม่มีที่สิ้นสุดของตัวเอง

เราดื่มแล้วก็เจอคนต่างชาติระหว่างที่ไปห้องน้ำ จากนั้นเราก็เข้าไปในห้อง ดื่มเหล้าอีกครั้ง แล้วก็…อ่า

ชเวอินซอบนึกถึงฉากที่ไม่ควรจะนึกถึงโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเขาก็ใช้หลังมือเช็ดปากตัวเอง ไอ้คนนิสัยไม่ดีนั่นแกล้งทำเป็นว่ากลืนลงไป แต่กลับอมมันไว้ในปากแล้วก็…

“เราดันโดนหลอกซะได้ โง่จริงๆ เฮ้อ”

ต่อให้เอาหัวโขกเสาก็ใช่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะหายไป ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือเขาเห็นว่าอีอูยอนเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าโมโห แต่เขาไม่มีความทรงจำหลังจากนั้นเลย แม้อินซอบจะพยายามนึกเรื่องที่เกิดหลังจากนั้น แต่ก็เปล่าประโยชน์

ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ ไม่อย่างนั้นท่าทางของอีอูยอนไม่น่าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ วันนี้ตั้งแต่เช้าอินซอบกระสับกระส่ายเหมือนลูกวัวที่นั่งอยู่บนเตาไฟร้อนๆ ตลอดทั้งวัน เพราะท่าทีของอีอูยอนที่ปฏิบัติต่อตนนั้นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

พออินซอบตื่นขึ้นมา อีอูยอนก็ถามว่า ‘หลับสบายไหมครับ แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง’ หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ไม่พูดอะไรอีกเลย พอสังเกตท่าทีของอีอูยอนแล้ว อินซอบซึ่งกลายเป็นธาตุอากาศอย่างคาดไม่ถึงก็ได้ข้อสรุปว่าเมื่อวานตนคงทำพลาดครั้งใหญ่แน่ๆ

“แล้วมันคืออะไรล่ะ…เราทำอะไรลงไปล่ะเนี่ย”

ต่อให้ทึ้งผมด้วยความรู้สึกเสียใจที่ทำลงไปแล้ว แต่เขาก็ยังนึกไม่ออก

ก็ดีแล้ว เขาปลอบใจตัวเองว่าเมื่อความเกลียดติดอยู่ในใจของอีอูยอนแล้ว ตนอาจจะถูกไล่ออกไปทั้งอย่างนี้เลยก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะใส่ใจ

ทุกครั้งที่พบว่าตัวเองกำลังคิดว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะปฏิบัติตัวกับเขาเหมือนเดิม และรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนระหว่างที่สังเกตท่าทีของอีอูยอน อินซอบก็แทบจะจมลงไปตายในความอับอาย

“เอาล่ะ ถูกไล่ออกเร็วๆ ไปเลยเถอะน่า ดีแล้วล่ะ มันต้องดีแน่ๆ”

เขาต้องกลับอเมริกาก่อนสุดสัปดาห์หน้า ดังนั้นเขาควรจะไม่สนใจว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น และควรจะทำตัวหยาบคายต่อไป

“…แต่เราต้องรู้ให้ได้ก่อนสิว่าเราทำอะไรลงไปกันแน่ เราถึงจะปล่อยวางได้”

อินซอบพิงเสาและไถตัวลงไปนั่งยองๆ พลางพึมพำอย่างอ่อนแรง ในตอนนั้นเองใครบางคนที่เดินผ่านมาก็จำเขาได้ และแสร้งทำเป็นเอ่ยทักอย่างยินดี

“คุณอินซอบใช่ไหมคะ”

“สวัสดีครับ”

อินซอบลุกขึ้น นักข่าวคิมแฮชินนั่นเอง ดูจากการที่เธอถือกล้องถ่ายรูปแล้ว ดูไม่เหมือนว่าเธอแค่ผ่านมาเพราะมีธุระแถวนี้พอดีเลย

“อ๋อ นี่เหรอคะ ฉันก็ต้องมาถ่ายรูปคุณอีอูยอนอยู่แล้วสิคะ”

“ครับ…อย่างนั้นเองสินะครับ”

จากเหตุการณ์ลอบทำร้ายคังยองโมทำให้มีคนสองสามคนในบรรดาคนที่อยู่ในงานเลี้ยงวันนั้น ถูกตำรวจสอบปากคำ พวกเขาถูกสอบปากคำด้วยคำถามง่ายๆ พอเป็นพิธี เช่น วันนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง หรือแยกย้ายกันไปตอนไหน อีอูยอนเองก็ถูกตำรวจตั้งคำถามด้วยเช่นกัน เพราะเขาเองก็อยู่ที่นั่น แต่กลับมีใครบางคนจงใจถ่ายภาพนั้นไว้ และลงข่าวพร้อมกับพาดหัวข่าวว่า ‘บรรยากาศในกองถ่ายระหว่างอีอูยอนกับคังยองโมไม่ปกติ’ แน่นอนว่าใครคนนั้นก็คือนักข่าวคิมแฮชิน หญิงสาวได้แสดงตัวอย่างของคำพูดที่ว่า ‘การที่นักข่าวเป็นแอนตี้แฟนของดารานั้น เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุด’ ให้เห็นด้วยตัวเอง

ข่าวที่นักข่าวคิมแฮชินโพสต์ลงในอินเทอร์เน็ตทำให้อีอูยอนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสดงที่ไม่มีแอนตี้แฟนโดนคอมเมนต์ว่าร้ายอยู่พักใหญ่เหมือนกัน เช่น ‘นึกอยู่แล้วเชียวว่าเขาต้องเป็นคนแบบนั้น’ หรือ ‘คนที่แกล้งทำตัวว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นเนี่ย น่ากลัวชะมัด’ แม้อีอูยอนจะไม่สนใจ และบอกว่ามันเป็นคำพูดที่ไม่มีหลักฐาน อีกสามสี่วันก็คงซาไปเอง แต่มือของอินซอบผู้ซึ่งมีหลักฐานกลับชื้นเหงื่อขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“ดูเหมือนจะยังไม่ได้เวลาที่เขาจะออกมาใช่ไหมคะ”

“ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ”

แม้จะเป็นเวลาที่อีกฝ่ายใกล้จะออกมาแล้ว แต่อินซอบกลับตอบไปอย่างนั้น นักข่าวคิมแฮชินยิ้มพลางพยักหน้า

“อย่างนั้นเหรอคะ งั้นไปดื่มกาแฟด้วยกันแถวนี้ระหว่างรอไหมคะ คือฉันพอจะมีเวลาเหลืออยู่น่ะค่ะ อ้อ ใช่แล้ว คุณรู้เรื่องนั้นหรือยังคะ เรื่องที่ฉันโดนพักงานน่ะ”

“ครับ?”

“เพราะโดนเบื้องบนบีบมาน่ะค่ะ เขาบอกว่ามันมากเกินไป”

“…”

ชเวอินซอบนึกถึงคำพูดของหัวหน้าทีมชาที่บอกว่าเราย่อมต้องปกป้องดาราในสังกัดแน่นอนอยู่แล้ว ถึงกรรมการผู้จัดการคิมจะดูเป็นคนเฉื่อยแฉะ แต่เขาก็มีความสัมพันธ์ที่กว้างขวาง

“ดังนั้นเรื่องที่ฉันจะทำในเร็วๆ นี้ก็คือการทำให้เรื่องใหญ่ขึ้น และกลับไปป่าวประกาศ”

“พยายามเข้านะครับ”

อินซอบก้มหัวให้อีกฝ่าย เขาไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องคุยกับเธออีกต่อไปแล้ว หญิงสาวจ้องมองอินซอบพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มชอบกล

“ว่าแต่คุณอินซอบจะเลิกเป็นผู้จัดการส่วนตัวแล้วเหรอคะ”

“คุณพูดเรื่องอะไรเหรอครับ”

“ทำไมคุณถึงซื้อตั๋วเครื่องบินทิ้งไว้ล่ะคะ”

“…!”

“ไปอเมริกา สุดสัปดาห์หน้า เอ๊ะ หมายเลขไฟล์ทอะไรน้า”

หญิงสาวแกล้งลากเสียงทำเป็นจำไม่ได้ สีเลือดหายไปจากใบหน้าของอินซอบ เขาคาดเดาไม่ได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้รู้ไปถึงไหนกันแน่

“ผมไม่รู้นะครับว่าคุณพูดเรื่องอะไร”

อินซอบหลบตาและพยายามตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ มือที่เริ่มชื้นเหงื่อถูกซ่อนไว้ด้านหลัง

“จำยุนอารึมจากนิตยสารบลูได้ไหมคะ”

ใบหน้าของผู้หญิงผมบ๊อบที่สุภาพเรียบร้อยโผล่มาในความทรงจำของอินซอบ

“เราเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่โรงเรียนน่ะค่ะ พอฉันได้ยินว่าเขาแลกเบอร์โทรศัพท์กับคุณอินซอบ ฉันก็เลยขอบ้าง”

“…”

ในฐานะผู้จัดการส่วนตัวเบอร์โทรศัพท์ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความลับอยู่แล้ว แต่เขากลับรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย

“รู้จัก ‘การโคลนโทรศัพท์มือถือ’ ไหมคะ”

“…รู้ครับ”

“ ‘การโคลนโทรศัพท์มือถือ’ เป็นวิธีที่พวกแฟนคลับบ้าคลั่งจำนวนหนึ่งคัดลอกโทรศัพท์มือถืออย่างผิดกฎหมาย และแอบเจาะเอาข้อความหรือการคุยโทรศัพท์ออกมา เพื่อขุดคุ้ยชีวิตส่วนตัวของดาราที่ตัวเองตามอยู่ แต่ฉันรู้ว่าโทรศัพท์มือถือของอีอูยอนถูกกรรมการผู้จัดการคิมเปลี่ยนชื่อลงทะเบียนอย่างซับซ้อน และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโคลนโทรศัพท์มือถือของเขาได้”

ท้ายที่สุดแล้วใจความสำคัญของบทสนทนานี้ก็คือนักข่าวคิมแฮชินเลือกที่จะคัดลอกโทรศัพท์มือถือของผู้จัดการส่วนตัวอย่างอินซอบอย่างผิดกฎหมายแทน เพื่อที่จะได้รู้ตารางงานหรือชีวิตส่วนตัวของอีอูยอน

“นั่นเป็นเรื่องผิดกฎหมายนี่ครับ”

“ใครบอกล่ะคะ ฉันแค่จะเล่าให้ฟังว่ามันมีเรื่องอย่างนั้นเฉยๆ แต่โทรศัพท์มือถือที่คุณอินซอบใช้อยู่ตอนนี้ก็เป็นโทรศัพท์ปลอมเหมือนกันนี่คะ เพราะชื่อที่ลงทะเบียนเป็นชื่อของคนอื่นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เป็นแบบนั้นได้ยังไงเหรอคะ”

“…”

อินซอบเปิดใช้โทรศัพท์มือถือด้วยชื่อที่ซื้อมาจากอินเทอร์เน็ตเพื่อที่เขาจะได้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เป็นตัวเลือกเพื่อให้ไม่มีใครสามารถหาร่องรอยของตนได้ในตอนที่คนที่ชื่อชเวอินซอบหายไปหลังจากนี้ แม้เขาจะไม่รู้ว่านักข่าวคิมแฮชินรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่นี่เป็นความจริงที่เขาไม่รู้สึกยินดีและไม่สบายใจกับมันเลยสักนิด

“เป็นคนที่มีความลับเยอะกว่าที่เห็นนะคะเนี่ย แต่จากการที่คุณซื้อตั๋วเที่ยวเดียวไปอเมริกาในสัปดาห์หน้า ดูเหมือนว่าคุณจะลาออกนะคะ”

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณนักข่าวจะต้องใส่ใจเลยนะครับ”

อินซอบก้มหัวเป็นการบอกลาเพื่อจะออกไปจากตรงนี้ เขาคิดว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่รู้สึกเหนื่อยกับการสนทนาครั้งนี้ นักข่าวคิมแฮชินเอ่ยถามไล่หลังอินซอบที่กำลังจะเดินกลับไปที่รถ

“คุณอินซอบตัดสินใจที่จะให้สัมภาษณ์กับฉันก่อนจะเขียนจดหมายลาออกแล้วนี่นะ”

“ผมไม่เคยมีนัดแบบนั้นนะครับ”

อินซอบตอบกลับไปด้วยความโมโห เขายังมีความสามารถไม่พอที่จะต่อกรกับหญิงสาวที่มีความชำนาญในวงการบันเทิง

อย่าสนใจเธอเลย การเมินเฉยเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว

อินซอบเริ่มก้าวเร็วๆ อีกครั้ง

“ว่าแต่คุณอีอูยอนรู้หรือยังคะว่าคุณอินซอบจะลาออก”

“…”

“แล้วกรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงทราบไหมคะ เพราะตอนที่ลองถามตอนเจอกันคราวก่อนก็ไม่เห็นว่าเขาจะพูดแบบนั้นเลยนะคะ”

“คุณพูดเรื่องนี้กับผมทำไม…”

อินซอบเห็นอีอูยอนลงลิฟต์มาไกลๆ จึงหยุดพูด นักข่าวคิมแฮชินเองก็หันศีรษะไปตามสายตาของเขาก่อนที่จะร้องว่า ‘อาฮ่า’ และฉีกยิ้ม

“งั้นเรื่องที่คุณอินซอบจะไปอเมริกาในสัปดาห์หน้าก็เป็นความลับสินะคะ”

“…”

อินซอบควรจะโต้กลับ แต่เขากลับไม่สามารถพูดอะไรได้ มันเป็นความจริง แม้เขาจะไม่สนใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องลาออกอยู่แล้ว แต่เขาไม่อยากโดนจับได้ว่ากลับอเมริกา เขาต้องการให้คนที่ชื่อชเวอินซอบซึ่งเป็นผู้ให้ยืมข้อมูลส่วนตัวมานั้นไม่ถูกสงสัย

ในตอนที่อินซอบเบิกตาโพลงและเงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกวุ่นวายใจ อีอูยอนก็เดินเข้ามาใกล้ๆ พอดี อีอูยอนเห็นนักข่าวคิมแฮชินจึงกล่าวทักทายเธอว่า ‘สวัสดีครับ’

“คงจะดีด้วยไม่ได้หรอกค่ะ คุณอูยอนรู้เรื่องที่ฉันโดนพักงานไหมคะ”

“ไม่รู้เลยครับ คงลำบากแย่เลยนะครับ”

แม้เขาจะพูดปลอบใจอย่างนุ่มนวล แต่แววตาของอีอูยอนกลับไม่ยิ้มเลยสักนิด ไม่มีทางที่เขาจะต้อนรับนักข่าวที่ปรากฏตัวทุกที่ที่ตนไปเพื่อถ่ายรูปและเขียนข่าวที่แทบจะเรียกได้ว่าเรื่องเพ้อฝันเด็ดขาด

“ฉันกำลังจะแฉเรื่องใหญ่เร็วๆ นี่น่ะค่ะ”

“ครับ หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ งั้นผมขอตัวก่อน”

อีอูยอนก้มหัวให้อย่างสุภาพก่อนจะเดินผ่านด้านข้างของนักข่าวคิมแฮชินไป เขาส่งสายตาบอกให้อินซอบรีบไปที่รถ ในตอนนั้นเอง…

“คุณอีอูยอนรู้เรื่องนั้นหรือยังคะ”

“เรื่องอะไรเหรอครับ”

นักข่าวคิมแฮชินมองไปที่อินซอบซึ่งยืนหน้าซีดอยู่ด้านหลังอีอูยอนพลางเอ่ยขึ้น ทันทีที่สบตากัน อินซอบก็รีบก้มหน้า แม้จะมีหลักฐานความผิดของอีอูยอน แต่ก็อาจจะเกิดเรื่องที่ทำให้เขาไม่สามารถกลับอเมริกาได้ก็เป็นได้ เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยกับคนที่ตนยืมชื่อมา

“เรื่องคุณยองโมน่ะค่ะ ได้ยินมาว่าอาการเขาดีขึ้นมากแล้ว ไปหาเขาที่โรงพยาบาลสักครั้งสิคะ”

“ครับ ถึงคุณไม่บอกผมก็จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว ขอบคุณที่บอกให้รู้นะครับ”

อีอูยอนส่งสายตาบอกให้อินซอบรีบขึ้นรถโดยไม่รอฟังคำพูดต่อไป นักข่าวคิมแฮชินแสร้งใช้มือทำท่าคุยโทรศัพท์ก่อนจะขยิบตาให้อินซอบ

อินซอบเดินเหมือนวิ่งหนี และขึ้นไปนั่งบนที่นั่งฝั่งคนขับรถในรถตู้ อีอูยอนที่ตามเข้ามาในรถถอนหายใจ เขาแสดงสีหน้าเหนื่อยล้าออกมาอย่างชัดเจน

“คุยเรื่องอะไรกันเหรอครับ”

“ครับ?”

“คุณคุยกับนักข่าวคิมแฮชินอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”

นอกจากสองประโยคเมื่อเช้าแล้ว อีอูยอนกำลังพูดกับเขาเป็นครั้งแรกของวัน แม้เขาอยากจะตอบยาวๆ แต่เนื่องจากมันไม่ใช่การพูดคุยที่จะพูดอะไรยืดยาวได้ อินซอบจึงโกหกไปว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร

“เป็นเรื่องสำคัญหรือไม่ ผมจะเป็นคนตัดสินเองครับ ลองบอกมาก่อนสิครับว่าคุยเรื่องอะไรกัน”

คำพูดของอีอูยอนแทงใจดำเป็นพิเศษ

“เธอแค่พยายามแอบถามตารางงาน หรือชีวิตประจำวันของคุณอีอูยอนน่ะครับ ผมก็เลยตอบไปว่าไม่รู้”

“งั้นเหรอครับ”

สิ่งแรกที่โผล่เข้ามาในสายตาของอีอูยอนตอนที่เดินเข้าไปใกล้ไม่ใช่นักข่าวที่น่ารำคาญเหมือนปลิง แต่เป็นใบหน้าที่ซีดเผือดของผู้จัดการส่วนตัวต่างหาก

“ถ้าเป็นไปได้ช่วยอย่าติดต่อกับนักข่าวคิมแฮชินนะครับ”

“ผมไม่ทำหรอกครับ”

“เมื่อกี้เธอบอกว่าจะโทรหาไม่ใช่เหรอครับ”

ชเวอินซอบนึกถึงคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมที่บอกว่าเลือดของอีอูยอนคือบักคัส[1] และเจ้าตัวไม่มีทางเหนื่อยล้าเด็ดขาด อินซอนลองค้นหาในอินเทอร์เน็ตดูทีหลัง เพราะเขาไม่รู้ว่าบักคัสคืออะไร แล้วเขาก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว อีอูยอนแรงดีพอๆ กับเครื่องดื่มนั้นจริงๆ แม้คนที่มาด้วยกันจะเหนื่อยจนหมดแรงไปหมดแล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าจะแสดงสีหน้าว่าเหนื่อยออกมาเลย

แต่วันนี้สีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่ดีเป็นพิเศษ ในเวลาแบบนี้ถ้าเขาเปิดเพลงในคลับลำดับที่ยี่สิบสามที่เขาบรรจงเลือกอัดเสียงมา เขาอาจจะโดนไล่ออกจากตำแหน่งนี้เลยก็ได้

ชเวอินซอบลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบแผ่นซีดีรวมเพลงที่เงียบที่สุดจากบรรดาเพลงที่อีอูยอนชอบ และใส่มันเข้าไปในช่องเล่นซีดี เพลงวอลซ์ของชอสตโกวิช[2] ดังออกมา ในตอนนั้นเองอีอูยอนซึ่งกำลังหลับตาพลางขมวดคิ้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น และทำปากคว่ำ

“คุณอินซอบครับ จริงๆ แล้ว…”

“…”

อินซอบจับพวงมาลัยพลางรอคำพูดต่อไปด้วยใจพะว้าพะวัง แต่อีอูยอนกลับหลับตาลงอีกครั้งพลางยิ้มเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เสียงเพลงเบาๆ บรรเลงอย่างต่อเนื่องภายในรถที่แล่นไปเหมือนกำลังเต้นรำ

อินซอบคิดอย่างไร้สาระว่าถ้าถนนที่ตนกำลังพุ่งไปข้างหน้าอยู่ตอนนี้ยาวไม่มีที่สิ้นสุดก็คงจะดีพลางเหยียบคันเร่ง

***

[1] บักคัส เป็นยี่ห้อเครื่องดื่มชูกำลังของเกาหลีใต้

[2] ชอสตโกวิช นักดนตรีชาวรัสเซีย

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท