ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 9-1

ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 9-1

เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง แต่เนื่องจากหน้าต่างนั้นมีแสงแดดส่องเข้ามา เขาจึงแสบตาจนมองไม่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้น แม้ตาจะแสบจนน้ำตาไหล แต่เขากลับไม่อาจละสายตาไปจากตรงนั้นได้ เขาอยากจะมองเด็กหนุ่มคนนั้นไปเรื่อยๆ

ภาพด้านข้างของเด็กหนุ่มที่กำลังอ่านหนังสืออยู่งดงามราวกับภาพวาด เป็นภาพที่สง่างาม และงดงามราวกับบุคคลในภาพวาดที่ศิลปินผู้มีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศสได้ลงพู่กันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะยกออก

แม้เขาจะอยากเรียกอีกฝ่าย แต่ปากของเขากลับไม่ยอมขยับ เขาอยากจะมองให้ชัดขึ้นอีกหน่อย แต่ขาของเขากลับไม่ขยับ ภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นค่อยๆ หายไปในแสง ไม่นะ อย่าไปนะครับ ผมมีเรื่องจะพูดด้วยครับ เดี๋ยวก่อน รอผมก่อนครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะพูดด้วย…

“…!”

อินซอบลืมตาขึ้นมาภายใต้หลอดไฟสีขาวและเอาแต่มองหน้าต่างอย่างเหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง เขาตระหนักได้ว่าภาพที่เขาเพิ่งเห็นสดๆ ร้อนๆ เมื่อสักครู่นี้ทั้งหมดเป็นความฝัน จากนั้นเขาก็หลับตาลงด้วยความเสียดาย

อินซอบฝังหน้าลงกับหมอนนุ่ม และพยายามจะหลับอีกครั้ง ก่อนจะรู้ความจริงในที่สุดว่าที่ที่ตนกำลังนอนอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ห้องบนชั้นดาดฟ้าของตัวเอง

“…!”

อินซอบเด้งตัวลุกขึ้นก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องนี้เป็นห้องที่เขาคุ้นเคยอย่างประหลาด เพราะเขาเคยเคลิ้มหลับไปที่นี่มาหลายครั้งแล้ว เขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ชเวอินซอบใช้มือปิดปาก หัวของเขาปวดเหมือนจะระเบิด และเขารู้สึกคลื่นไส้

เขาเป็นแบบนั้นอยู่สักพักก่อนจะนึกถึงเวลาที่จะต้องขึ้นเครื่องบินขึ้นมาได้และหันไปมองนาฬิกา แปดโมง ถ้าจะไปขึ้นเครื่องบิน อย่างน้อยเขาจะต้องไปถึงสนามบินภายในเก้าโมง

อินซอบลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะต้องตกตะลึง และใช้มือตะครุบผ้าห่มเอาไว้

“อะไรเนี่ย…”

อินซอบแอบมองข้างในผ้าห่ม ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวเมื่อพบว่าตัวเองเปลือยเปล่า ไม่ได้ใส่แม้แต่กางเกงในสักตัว

เมื่อวานเรา…ทำอย่างนั้นกับอีอูยอนเหรอ

อินซอบใช้มือคลำตัวของตัวเองดู แต่มันไม่มีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่เลย และไม่เจ็บตรงไหนเลยด้วย เขารวบรวมความกล้าเลื่อนผ้าห่มลง และไล่มองร่างกายของตัวเองทุกซอกทุกมุม

“…”

แม้เขาจะเห็นแล้วว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจ เขาใช้ผ้าห่มห่อตัว และเปิดประตูห้องออกไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง เขาไม่เห็นอีอูยอนเลย พอเห็นว่าอีอูยอนไม่ได้อยู่ที่ห้องนั่งเล่น ห้องอ่านหนังสือ หรือห้องน้ำ คราวนี้อินซอบก็รีบค้นตามจุดต่างๆ เพื่อหาเสื้อผ้าของตัวเอง แต่แม้จะหาทุกซอกทุกมุมแล้ว เขาก็หาเสื้อผ้าของตนไม่เจอ ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองเอาไปวางทิ้งไว้ที่ไหนหรือเปล่า แต่พอเห็นว่าประตูห้องแต่งตัวของอีอูยอนถูกล็อคไว้อย่างแน่นหนา ความคิดนั้นก็เปลี่ยนไป

…อีอูยอนเอาเสื้อผ้าของเราไปซ่อนแน่ๆ

อินซอบหวาดกลัว และตัดสินใจว่าจะต้องรีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่อีอูยอนจะกลับมา เขาจับลูกบิดประตูห้องแต่งตัว และออกแรงหมุน แต่กลับไม่มีวี่แววว่าประตูที่ถูกล็อคเอาไว้อย่างแน่นหนาจะเปิดออกเลย

ชเวอินซอบรื้อลิ้นชัก และเอาค้อนออกมา ถ้าพังลูกบิดประตูทิ้ง เขาก็น่าจะหาอะไรก็ตามที่น่าจะใส่ได้เจอ อินซอบสูดหายใจเข้าลึกๆ มือข้างหนึ่งจับค้อนให้กระชับและยกขึ้น จากนั้นก็เกิดแรงกระแทกหนักๆ ขึ้นที่มือในขณะที่เขาทุบลูกบิดจนเกิดเสียงดัง ตุบ

“ทำอะไรเหรอครับ”

“…!”

เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เขาพลาดทุบปลายนิ้วตัวเองแทนที่จะทุบลูกบิดประตู อินซอบกรีดร้องโดยไม่มีเสียงพลางงอตัวลงไป

“เจ็บน่าดูเลยนะครับเนี่ย จุ๊ๆ”

อีอูยอนนิ่วหน้าพลางเดาะลิ้นเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า ‘ขอดูหน่อยครับ’ และจับมือของอินซอบที่มีเลือดไหลเอาไว้

“มะ ไม่เป็นไรครับ”

“ไม่เป็นอะไรอะไรล่ะครับ เลือดออกนะ”

“ยะ อย่าจับนะครับ”

อินซอบว่าอย่างนั้นขณะที่ยังคงถือค้อนไว้ในมือ ร่างกายของเขาสั่นเทา อีอูยอนเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าพลางมองท่าทางนั้น

“ฮ่าๆๆๆๆๆ อะไรกันครับ คุณคิดว่าผมจะคุกคามคุณเหรอ”

“ยะ อย่าเข้ามานะครับ”

“ฮ่าๆๆๆๆ เป็นคนที่ตลกจริงๆ นะครับเนี่ย”

อีอูยอนหัวเราะพร้อมยื่นมือออกไป อินซอบที่หวาดกลัวผงะถอยหลัง แต่พอหลังของเขาชนเข้ากับประตู เขาก็ไม่มีที่ให้หนีอีกต่อไปแล้ว

อีอูยอนจับค้อนที่อินซอบถืออยู่พลางพูด

“ถ้าจะทุบ ก็ต้องทุบอย่างนี้สิครับ แบบนั้นน่ะอย่างมากที่สุดก็ได้แค่ทำให้กระดูกหักเท่านั้น คุณต้องใช้ส่วนแหลมๆ นี่เจาะเข้าไปถึงจะเข้าไปในห้องได้นะครับ”

น้ำเสียงของอีอูยอนนุ่มนวลเหมือนคุณครูที่ช่วยสอนโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ที่เขาไม่รู้ ตอนนั้นเองผ้าห่มที่ห่อตัวของเขาอยู่ก็เลื่อนลงไป อินซอบจึงทำค้อนร่วง และกำผ้าห่มเอาไว้ด้วยความตกใจ

อีอูยอนเดาะลิ้นก่อนจะเก็บค้อนที่ตกลงบนพื้นขึ้นมา

“คุณจะบาดเจ็บเอาได้นะครับ”

“…”

“พอดีมีธุระตอนเช้าครู่หนึ่ง ผมก็เลยออกไปซื้อข้าวมา คุณไม่หิวเหรอครับ”

อินซอบกะพริบตามองอีอูยอน เขาสับสนอย่างมากกับท่าทีของอีกฝ่ายที่ทำตัวเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

นี่เรายังไม่ตื่นจากฝันหรือเปล่านะ

อินซอบใช้มือตบแก้ม ความเจ็บแสบบอกเขาว่านี่คือความจริง

ถ้าอย่างนั้น…หรือว่าเราเกิดอุบัติเหตุจนหัวสมองเป็นอะไรไปแล้วหรือเปล่านะ

“ไม่หิวเหรอครับ”

“…เสื้อผ้าของผมล่ะครับ”

“ทิ้งไปแล้วครับ เพราะผมกลัวคุณจะหนี”

“…”

“คุณต้องอยู่แบบนี้สักพักนะครับ”

ทันทีที่ได้ยินคำตอบที่ไม่ปกติจากอีอูยอน อินซอบก็ต้องยอมรับว่าตนไม่ได้สมองกระทบกระเทือน และนี่คือเรื่องจริง

“ช่วยคืนเสื้อผ้ามาด้วยครับ”

“ทำไมล่ะครับ”

อีอูยอนเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ผมต้องกลับแล้วครับ ได้เวลาขึ้นเครื่อง…”

“นี่น่ะเหรอครับ”

อีอูยอนหยิบพาสปอร์ตของอินซอบออกมาจากกระเป๋าก่อนจะเอ่ยถาม อินซอบเอื้อมมือออกไปเพื่อจะแย่งพาสปอร์ตคืน แต่อีอูยอนกลับชูมือขึ้นเหนือศีรษะเสียก่อน

“อย่าทำตัวไม่เข้าท่าไปหน่อยเลยครับ เพราะผมไม่เคยอนุญาตให้คุณกลับ”

น้ำเสียงของอีอูยอนสงบนิ่งจนน่าหวาดหวั่น อินซอบรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก ขณะเดียวกันเขาก็ใช้มือจับผ้าห่มเอาไว้

“ผมหิวแล้ว เรามากินข้าวกันเถอะครับ”

พูดจบ อีอูยอนก็ทิ้งอินซอบไว้ และนั่งลงที่โต๊ะในห้องครัว อินซอบไม่มีความคิดอยากจะกินข้าว เขาแค่อยากหลุดพ้นจากสถานการณ์ในตอนนี้ไปเท่านั้น อินซอบเดินตามอีกฝ่ายไปพร้อมกับขอเสื้อผ้าจากอีอูยอนอีกครั้ง

“ช่วยคืนเสื้อผ้าของผมมาเถอะครับ”

“นั่งสิครับ อาหารที่นี่รสไม่จัด แล้วก็กลมกล่อมมากๆ ผมซื้อมาเพราะคุณท้องไส้ไม่ค่อยดีน่ะครับ”

“คืนเสื้อ…”

อีอูยอนใช้เท้าเตะเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตน จากนั้นก็แสยะยิ้มพลางพูดกับอินซอบ

“นั่งเถอะครับ”

“…”

อินซอบใช้มือข้างที่บาดเจ็บจับผ้าห่มไว้และนั่งลงหลังจากที่ใช้มือข้างซ้ายเก็บเก้าอี้ขึ้นมา อีอูยอนทำสีหน้าพอใจก่อนจะเรียงอาหารที่ซื้อมาทั้งหมดบนโต๊ะ

เขาเลื่อนโจ๊กหอยเป๋าฮื้อไปตรงหน้าอินซอบก่อนจะยื่นช้อนให้

“กินสิครับ”

“…”

“กินเข้าไปน่าจะดีกับคุณมากกว่านะครับ ผมยังไม่หายโกรธเลยนะ”

แม้จะไม่อยากกิน แต่อินซอบก็ต้องกำช้อนเอาไว้ในมือโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เขาค่อยๆ เอาโจ๊กเข้าปากทีละนิดเหมือนเครื่องจักร แต่อีอูยอนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็รบกวนจิตใจจนอินซอบไม่รู้สึกถึงรสชาติอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นผ้าห่มก็ยังชอบเลื่อนหลุดลงมาบ่อยๆ จนเขาต้องจับมันไว้ตลอด

ทุกอย่างดูไม่น่าจะใช่ความจริงเลย ทั้งเรื่องที่เขาใช้ผ้าห่มคลุมร่างที่เปลือยเปล่าเอาไว้พร้อมกับกินข้าวอยู่ที่บ้านของอีอูยอน รวมไปถึงเรื่องที่พร้อมใจกันเข้ามาหาเขาเหมือนเป็นพายุเมื่อวาน

ขณะที่ชเวอินซอบค่อยๆ กินโจ๊กด้วยใบหน้าเรียบเฉย อีอูยอนก็โพล่งขึ้น

“ที่เป็นแบบนั้น เพราะมันเป็นผ้าไหมน่ะครับ”

“ครับ?”

“ผ้าห่มมันไหลลงมาเพราะมันเป็นผ้าไหมน่ะครับ แต่คุณไม่จำเป็นต้องปิดอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนั้นหรอกครับ เพราะผมไม่เกิดอารมณ์ตอนมองรูปร่างของผู้ชายอยู่แล้ว”

“…!”

อินซอบแทบจะพ่นโจ๊กในปากออกมา เพราะเขานึกถึงความทรงจำตอนที่อีกฝ่ายเปลือยกายเมื่อวาน แม้เขาจะกินโดยไม่รับรู้รสชาติของโจ๊กตั้งแต่แรกแล้ว แต่ความอยากอาหารของเขาก็หายไปทันที พอเขาวางช้อนลงบนโต๊ะ อีอูยอนก็หรี่ตาและเปรยขึ้น

“เห็นความเอาใจใส่ของคนที่ซื้อมาแล้ว ก็ต้องกินต่ออีกหน่อยสิครับ”

“ผมไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไร”

“ถ้าเป็นของที่คนที่ชอบซื้อมา ต่อให้เป็นก้อนดินก็ควรจะกินอย่างตะกละตะกลามไม่ใช่เหรอครับ”

“…”

“กินสิครับ”

สิ้นคำสั่งสั้นๆ อินซอบก็ถือช้อนด้วยความรู้สึกอยากจะร้องไห้พร้อมกับตักโจ๊กเข้าปาก

“อ๋อ จริงสิ คุณเห็นนี่หรือยังครับ”

อีอูยอนกางหนังสือพิมพ์ที่เจ้าตัวถือมาพร้อมกับอาหารให้ดูบนโต๊ะพลางเอ่ยถาม

“อะไรกัน…!”

อาการตกใจปรากฏขึ้นในดวงตาของชเวอินซอบหลังได้อ่านพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ เมื่ออีอูยอนเห็นท่าทางนั้นก็เอ่ยถามว่า ‘มีอะไรเหรอครับ’

“คนร้าย…”

“มอบตัวแล้วครับ คนร้ายไปมอบตัวเองเลย”

“…”

เพราะมันเป็นข่าวที่ไม่น่าเชื่อ อินซอบจึงใช้มือขยี้ตาอยู่หลายครั้ง และตรวจดูข่าวในหนังสือพิมพ์อีกครั้ง หนังสือพิมพ์ลงข่าวด้วยการพาดหัวว่าคนร้ายสารภาพว่าพวกเขาฟาดคังยองโมจากทางด้านหลัง และขโมยเงินไป

“ได้ยังไง…”

“อะไรเหรอครับ”

“ทำไมคนร้ายถึงสารภาพผิด…”

สิ่งที่อินซอบอยากจะถามจริงๆ คือทำไมคนที่ไม่ใช่คนร้ายถึงสารภาพผิดในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ทำ แต่อินซอบไม่สามารถพูดได้ว่าตัวเองเห็นภาพที่อีอูยอนเดินออกมาจากซอยนั้น

“ไม่รู้สิครับ อาจจะละอายใจมั้ง”

“…”

“อาจจะมีมูลเหตุอะไรบางอย่างก็ได้ พวกเราไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นหรอกครับ”

“…”

“ว่าแต่คุณไม่คุ้นหน้าพวกคนร้ายบ้างเหรอครับ”

แม้ภาพของคนร้ายที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์จะสวมหมวกและแมสก์เอาไว้ แต่น่าแปลกที่เขารู้สึกว่าเคยเห็นคนพวกนี้ที่ไหนมาก่อนอย่างที่อีอูยอนพูด

“ถึงจะน่าประหลาดใจไปบ้าง แต่เขาบอกว่าเป็นพวกชนชาติโชซอนที่ฟาดหัวผมตอนนั้นน่ะครับ เพราะงั้นเมื่อกี้ผมก็เลยไปลงบันทึกและให้ปากคำที่สถานีตำรวจมา”

อีอูยอนอธิบายสถานการณ์อย่างใจเย็น

“ครั้งแรกนั้นเป็นอาชญากรรมโดยตรง เพราะมีผู้เห็นเหตุการณ์และหลักฐานอยู่เยอะ ส่วนครั้งที่สองไม่มีผู้เห็นเหตุการณ์หรือหลักฐานอะไรเลย แต่ก็คงจะกลายเป็นอาชญากรรมได้ไม่ยาก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายกัน และมีการสารภาพผิดว่าตัวเองเป็นคนทำด้วย คนส่วนใหญ่คิดว่าไม่มีใครทำอะไรแค่ครั้งเดียวครับ แม้ในโลกใบนี้จะมีคนที่ไม่เคยทำ แต่ไม่มีคนที่ทำแค่ครั้งเดียวหรอกครับ เพราะฉะนั้นถ้าบวกกับการสารภาพผิดอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว นี่ก็คงเป็นฝีมือของคนพวกนั้นนั่นแหละครับ”

อินซอบขนลุกและเหงื่อตกทุกครั้งที่อีอูยอนอธิบายอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและนุ่มนวลเหมือนกลีบดอกไม้

อีอูยอนเป็นไอ้ชั่วอย่างที่เจนนี่บอก ไม่สิ เขาเป็นมากกว่านั้นเสียอีก เป็นคนที่เลวจนอินซอบไม่รู้ว่าควรจะอธิบายว่าอะไรดีด้วยซ้ำ

“รู้ไหมครับว่าใครเป็นคนเขียนข่าวนี้”

อินซอบมองชื่อนักข่าวที่พิมพ์อยู่ตรงจุดที่อีอูยอนชี้ก่อนจะเบิกตากว้าง อีอูยอนนั่งเท้าคางพลางจ้องมองอีกฝ่าย เพราะปฏิกิริยาของอินซอบช่างน่าขัน

“ทำไมครับ ไม่เข้าใจที่จู่ๆ คิมแฮชินก็เปลี่ยนใจอย่างง่ายดายขนาดนี้เหรอครับ”

“คนคนนั้น…เขาจะแฉคุณอีอูยอน…”

“สิ่งที่คนคนนั้นต้องการคือประเด็นข่าวครับ ไม่ใช่ผม วงการนี้ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรหรอกนะครับ”

ในข่าวที่คิมแฮชินเขียนเป็นพื้นที่ยกย่องจิตวิญญาณความเป็นมืออาชีพของนักแสดงอีอูยอนที่แม้จะโดนคนร้ายทำร้าย แต่ก็ไม่พูดอะไร เพราะกลัวว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการถ่ายทำละคร

‘ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร’ คำพูดที่อีอูยอนพูดวนเวียนอยู่ในหูของอินซอบ

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท