พออีอูยอนรู้ความจริงว่าเสียงของคนที่แจ้งความกับเสียงของชเวอินซอบคล้ายกัน เขาก็ใส่ชุดไว้ทุกข์ออกไปข้างนอกด้วยท่าทีที่เหมือนจะฆ่าใครบางคนให้ตาย และไม่กี่วันหลังจากนั้นอีอูยอนก็โผล่มาพร้อมกับจับมือของอินซอบไว้ แม้หัวหน้าทีมชาจะบอกอินซอบที่ถูกอีอูยอนลากมาด้วยสีหน้าซีดเผือดเหมือนซากศพว่า ‘หนีไป’ แต่ก็สายไปแล้ว
น่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน
ด้วยนิสัยที่ชอบใช้ความรุนแรงและป่าเถื่อน อีอูยอนจึงไม่สามารถทนกับอะไรที่รกหูรกตาได้ เขาจะต้องจัดการคนหรือเรื่องที่ทำให้ตัวเองอารมณ์เสียเสียก่อนถึงจะพอใจ ถ้าเป็นไปตามขั้นตอนปกติของเจ้าตัว ชเวอินซอบน่าจะโดนฝังดินทิ้งไว้สักสิบรอบแล้ว แต่ถ้าดูจากการที่อินซอบมีชีวิตกลับมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แถมยังได้กลับเข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนเหมือนเดิมแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะชเวอินซอบเป็นมนุษย์ตุ่นที่ต่อให้โดนฝังดินอีกกี่ครั้งก็ขุดดินขึ้นมาได้ ก็คงเป็นเพราะนิสัยของอีอูยอนได้เปลี่ยนไปแล้ว
“อีอูยอนล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมที่ผ่านมาเห็นอินซอบเอ่ยถาม
“รออยู่ที่รถครับ”
“ทำไมถึงไม่ขึ้นมาล่ะ”
“เขาบอกว่าจะอ่านบทครับ”
“บทเหรอ บทอะไร เขาไม่มีคิวถ่ายละครหรือหนังไปอีกสักพักนี่นา”
“…”
“…ถามอะไรล่ะครับ เขาก็แค่ไม่อยากขึ้นมาเท่านั้นเอง”
หัวหน้าทีมชาตอบแทน ได้ยินดังนั้นกรรมการผู้จัดการคิมก็ถอนหายใจก่อนจะเดินผ่านไป หลังจากเช็คตารางงานของอีอูยอนและเช็ครายการที่เปลี่ยนไปอย่างละเอียด อินซอบก็ร่ำลาคนที่อยู่ในห้องทำงานก่อนจะออกไป
“ออกไปด้วยกันสิ ฉันมีธุระที่ธนาคารเหมือนกัน”
หัวหน้าทีมชาตามหลังอินซอบมาขึ้นลิฟต์ พอลวดสลิงที่ดึงตู้โดยสารของลิฟต์ขยับ เสียงโลหะกระทบกันก็ดังขึ้น
“คุณอินซอบ”
“ครับ?”
พอคิดว่าควรจะคุยกันก่อนที่จะถึงชั้นหนึ่ง หัวหน้าทีมชาก็เปิดปากพูดอย่างยากลำบาก
“คือว่าอีอูยอนเขา…”
ประตูลิฟต์เปิดออกก่อนที่เขาจะพูดจบ และอีอูยอนก็ปรากฏตัวยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าเขา
“สวัสดีครับคุณหัวหน้าทีม”
อีอูยอนยิ้มและเอ่ยทักทาย เมื่อหัวหน้าทีมชาผู้รู้ถึงนิสัยที่แท้จริงของอีกฝ่ายเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตายิ้มนั้นหมายความว่าอะไร เขาก็ชะงักก่อนจะถอยไปด้านหลังในทันใด
“อันที่จริงคุณอินซอบขึ้นไปนานพอสมควรแล้วแต่ยังไม่ลงมา ผมก็เลยคิดว่าจะขึ้นไปดูน่ะครับ”
“นานพอสมควรอะไรล่ะ ขึ้นไปยังไม่ถึงสิบนาที…”
หัวหน้าทีมชารีบหุบปาก อีอูยอนเลิกทำตายิ้มและจ้องหัวหน้าทีมชาเขม็ง
“ดูเหมือนจะยุ่งมากเพราะเรื่องการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์นะครับ”
“ก็จริง”
“งั้นก็ทำงานหนักต่อไปนะครับ”
อีอูยอนพยักพเยิดหน้าชวนให้อินซอบไป หัวหน้าทีมชามองอินซอบที่เดินไหล่ตกตามหลังอีกฝ่ายไปพลางรู้สึกหนักใจขึ้นมา เพราะนึกถึงสารคดีที่ภรรยาโดนทุบตีที่ดูเมื่อวาน
“อ้อ จริงด้วย”
อีอูยอนนึกอะไรบางอย่างได้จึงเดินดุ่มๆ มาทางหัวหน้าทีมชา ถึงจะไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ชาฮยอนคยูก็ยังรู้สึกกังวลใจมากอยู่ดี หัวหน้าชาถามว่า ‘อะไรล่ะ’ ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย
“คุณหัวหน้าทีม ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลผู้จัดการส่วนตัวของผม แต่ไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระกับเขาก็ได้ครับ”
“นะ นายบอกว่าฉันพูดเรื่องไร้สาระงั้นเหรอ”
แม้หัวใจจะเต้นตึกตัก แต่หัวหน้าทีมชาก็ตีหน้าตายไว้ก่อน
“พอคิดว่าผมลำบากเพราะหมอนั่นแล้ว ผมก็ยังโกรธอยู่นะครับ แต่อย่าโน้มน้าวเด็กนั่นให้เสียเปล่าเลยครับ เพราะผมยังไม่มีความคิดที่จะปล่อยชเวอินซอบไปอีกสักพัก“
อีอูยอนกัดฟันพูดเน้นทีละพยางค์ ท่าทางที่ดูดุดันทำให้หัวหน้าทีมชากลั้นหายใจ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้า
พอได้ยินคำตอบที่ต้องการแล้ว อีอูยอนก็บอกว่า ‘งั้นขอตัวก่อนนะครับ’ ก่อนจะโบกมือจากไป
หัวหน้าทีมชาคิด
ต่อให้แม่น้ำและภูเขาเปลี่ยนไปอีกสิบรอบ นิสัยของอีอูยอนก็คงไม่มีทางเปลี่ยน เพราะฉะนั้นชเวอินซอบต้องเป็นมนุษย์ตุ่นแน่นอน เขาได้แต่หวังอย่างไร้สาระว่าคราวหน้าถ้าโดนฝังอีก ถึงตอนนั้นหวังว่าชเวอินซอบจะขุดโพรงไว้อีกด้านและหนีไปให้ไกลแสนไกล อย่าได้ไม่โดนอีอูยอนจับได้
***
[ครับ รักนะครับ ผมด้วยครับ ถ้าจัดการธุระเสร็จแล้วผมจะกลับนะครับ ครับ ฝากความคิดถึงด้วยนะครับ]
พอเห็นว่าอินซอบบอกว่ารักต่ออีกสองสามครั้งก่อนจะวางสาย อีอูยอนจึงเอ่ยถาม
“ไม่เบื่อเหรอครับ”
“ครับ? อะไรเหรอครับ”
“คุณพูดเหมือนเดิมทุกครั้งเลยน่ะครับ”
คนที่ชเวอินซอบคุยโทรศัพท์เป็นการส่วนตัวด้วยมีแค่ครอบครัวที่อยู่ที่อเมริกาเท่านั้น อินซอบขอร้องให้อีอูยอนอนุญาตให้เขาโทรศัพท์ได้สามวันครั้งเพื่อเป็นเงื่อนไขในการทำงาน อีอูยอนบอกว่า ‘มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย’ ก่อนจะอนุญาต แต่เขาไม่ยินดีเอาเสียเลยกับการเห็นอินซอบถือโทรศัพท์และพูดอย่างน่ารักจนเขารู้สึกขนลุกทุกครั้ง
“คุณพูดกับครอบครัวด้วยลักษณะการพูดแบบนั้นเหรอครับ”
“ลักษณะการพูดของผมมันทำไมเหรอครับ”
“มันต่างกับตอนนี้อย่างเห็นได้ชัดเลยน่ะสิครับ”
อินซอบคิดว่าเขาควรจะรีบออกรถก่อนที่อีอูยอนจะเริ่มหาเรื่องเขาอย่างไร้สาระจึงสตาร์ทเครื่องยนต์
พอออกไปที่ถนน ฝนก็เริ่มเทลงมา อินซอบเปิดที่ปัดน้ำฝน และบอกให้อีอูยอนรู้ว่าฝนกำลังตก
“รู้แล้วครับ”
“แต่น่าจะมีร่มอยู่ในรถแค่คันเดียวนะครับ”
ตอนที่เช็คพยากรณ์อากาศเมื่อวานไม่เห็นบอกเลยว่าฝนจะตก อินซอบพึมพำด้วยสีหน้าเป็นกังวล และขยับพวงมาลัยต่อไป
“ใช้ด้วยกันก็ได้ครับ”
อีอูยอนเสนอวิธีแก้ไขปัญหาอย่างง่ายดาย อินซอบทำหน้าเหมือนจะถามว่า ‘นั่นหมายความว่าอะไรครับ’
“ไม่ได้ครับ คุณต้องเข้าไปถ่ายละครทันที ถ้าเปียกฝนจะเป็นเรื่องใหญ่นะครับ”
น้ำเสียงที่จริงจังของอินซอบทำให้อีอูยอนหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆ ผมจะเป็นบ้าจริงๆ”
“…”
“คุณอินซอบครับ ถ้าไม่ได้ทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผม คุณอินซอบจะทำมาหากินอะไรเหรอครับ ทำงานเก่งแบบนี้ คุณจะไปที่ไหนครับ”
“…”
อินซอบเองก็ไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น เขายืนกรานว่าให้ตายก็จะไม่ทำ แล้วสุดท้ายก็ยอมเซ็นสัญญาและตั้งอกตั้งใจทำงาน แม้แต่ตัวเขาเองมาลองคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ อันที่จริงแล้วเขาคาดหวังไว้เพียงผิวเผินว่าอย่างน้อยถ้าเขาทำงานดี อาจมีความเป็นไปได้สูงที่สามอาทิตย์หลังจากนี้ อีอูยอนจะปล่อยเขาและชเวอินซอบอีกคนไป
“ทำงานเก่งมันก็ดีนะครับ แต่รู้ใช่ไหมครับว่าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะเชื่อคำพูดของคุณอินซอบ”
“ผมจะจำไว้ให้ขึ้นใจครับ”
อินซอบตอบกลับคำพูดทิ่มแทงใจของอีอูยอนที่สวนมาโดยเว้นจังหวะให้ได้วางใจอย่างไร้เรี่ยวแรง แม้หลังจากวันนั้นอีอูยอนจะไม่ได้ขออะไรเป็นพิเศษ แต่เขาก็ทำให้อินซอบเป็นทุกข์ด้วยคำพูดเย้าแหย่เป็นครั้งคราว
“แต่คุณชอบผมจริงๆ ใช่ไหมครับ”
เช่นเดียวกับตอนนี้
อินซอบเกร็งมือที่กำลังกำพวงมาลัย
“ในขณะที่คุณแสดงความรักกับครอบครัวบ่อยจนชวนอ้วก ทำไมถึงเย็นชากับคนที่ชอบจนถึงขั้นไล่ตามจากอเมริกามาถึงเกาหลีล่ะครับ”
“ผมชอบคุณอีอูยอนครับ…”
อีอูยอนเมินคำสารภาพรักของอินซอบที่พูดด้วยเสียงที่เบาเหมือนเสียงฝนกระทบหน้าต่างรถด้วยการหัวเราะเยาะ
“อ่านหนังสืออยู่เหรอครับ”
“…ชอบครับ…”
“ไม่มีคำอื่นนอกจากคำนั้นแล้วเหรอครับ ใจแคบจริงๆ เลยนะครับ”
ลิ้นที่ทำให้พูดได้นั้นเครียดถึงขั้นจะเป็นอัมพาต แต่ดูเหมือนอีอูยอนจะไม่รู้สึกถึงเรื่องนั้นเลยสักนิด อินซอบไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเขาควรจะทำอย่างไรเพื่อให้คนคนนั้นพอใจ จึงได้แต่กัดริมฝีปากที่ถูกใส่ความ
“คุณอินซอบ”
“ครับ”
ชเวอินซอบตอบโดยไม่หันกลับไปมอง
“รักนะครับ”
ความก้องของน้ำเสียงที่หนักแน่นทำให้อินซอบตกใจจนเหยียบเบรก เสียงแตรดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับเสียงดัง เอี๊ยด
“ไอ้เหี้ย! บ้าหรือไง!”
“เฮ้ย ไอ้เวรเอ๊ย!”
ครั้นได้ยินเสียงด่าจากทางด้านหลัง อินซอบที่ตั้งสติได้อย่างยากลำบากจึงเปิดหน้าต่างก่อนจะค้อมหัวให้ และรีบออกรถอีกครั้ง อีอูยอนแอบยิ้มพลางเอ่ยถาม
“เป็นไงครับ ใจสั่นหรือเปล่า”
“…”
“ต้องทำแบบนี้สิ ลองทำให้ผมใจสั่นหน่อยครับ คุณชเวอินซอบ”
นั่นคือสิ่งที่นักแสดงทำหรือเปล่า ใช่แล้ว มันคือสิ่งที่คนแบบนั้นจะต้องทำ
อินซอบพึมพำในใจอย่างขมขื่นก่อนจะมองกระจกรถที่มีหยดน้ำฝนไหลลงมา
พอมาถึงที่สตูดิโอและจอดรถเสร็จแล้ว ฝนก็ตกแรงยิ่งกว่าเมื่อสักครู่นี้ เท่าที่เขาจำได้ที่นี่ไม่มีลานจอดรถชั้นใต้ดิน พอดับเครื่อง อินซอบก็ถือร่มและวิ่งออกมา จากนั้นเขากางร่มให้อีอูยอน
“รีบเข้าไปเถอะครับ”
พอเห็นอินซอบพูดแบบนั้นด้วยสีหน้าจริงจังในขณะที่ทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวแม้จะถูกบังคับ อีอูยอนก็ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ เขาดึงไหล่ของอินซอบเข้ากอด และออกวิ่งไปที่ทางเข้าของสตูดิโอ
เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่มีถ่ายนิตยสารที่สตูดิโอ เขาจึงเห็นแฟนคลับที่บ้าคลั่งหลายคนรออีอูยอนอยู่ตรงด้านหน้า อินซอบขยายพื้นที่ให้ได้มากที่สุดเพื่อให้อีอูยอนสามารถเดินผ่านช่องแคบๆ ระหว่างพวกผู้หญิงที่กรีดร้องอยู่ได้
เมื่อเข้ามาด้านใน อินซอบก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะสะบัดฝนที่ติดอยู่ที่เสื้อออก เขาเดินเข้าไปด้านในเพื่อตรวจสอบเสื้อผ้าของอีอูยอน
“มาแล้วเหรอครับ”
ช่างภาพยูโอจินจำผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนได้และเอ่ยทักทายเขา
“สวัสดีครับ”
“ฝนตกหนักเลยใช่ไหมครับ จู่ๆ ก็ตกลงมาเนอะ”
“ครับ ใช่เลยครับ”
“ตรงนั้นมีเครื่องทำกาแฟอยู่ ไปดื่มสักแก้วสิครับ”
“ขอบคุณครับ”
รอยยิ้มถูกวาดขึ้นที่ริมฝีปากของยูโอจิน เพราะท่าทางค้อมหัวขอบคุณอย่างมีมารยาทของอินซอบ หลังจากนั้นไม่นานอีอูยอนที่สวมเสื้อผ้าที่เตรียมไว้และแต่งหน้าเสร็จแล้วก็ออกมา
ชเวอินซอบนั่งลงที่มุมสตูดิโอ และมองอีกฝ่ายถ่ายแบบ ถ้าเกิดเรื่องที่ต้องการให้ช่วยรอบๆ ในขณะที่ถ่ายแบบ เขาจะวิ่งไปช่วยโดยไม่ลังเล การถ่ายแบบเสร็จลงในสองชั่วโมง เมื่อช่างภาพบอกว่าขอบคุณที่ทำงานหนัก อีอูยอนก็ยิ้มพลางเอ่ยขอบคุณก่อน
“ขอบคุณครับ”
“ผมสิครับที่ต้องขอบคุณ ดูเหมือนรูปคราวนี้จะเยี่ยมมากเลยนะครับ นิตยสารจะต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่ๆ เลย”
“เป็นแบบนั้น เพราะช่างภาพยูถ่ายภาพสวยไงครับ”
“เป็นแบบนั้น เพราะนายแบบดีต่างหากล่ะครับ”
ชเวอินซอบยื่นเครื่องดื่มให้สตาฟทีละคนในระหว่างที่อีอูยอนลบเครื่องสำอาง เขาเดินไปทั่วพร้อมพูดว่า ‘ขอบคุณที่ทำงานหนักนะครับ’ ยูโอจินที่เห็นท่าทางนั้นก็แอบยิ้มออกมาทางสายตาแล้วมองอีอูยอน
“ทำไมเหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามความหมายของสายตานั้น
“น่ารักดีครับ เขาดูบอบบางมากๆ เลยนะครับ แต่ถ้าได้ลองรู้จักแล้ว เขาตั้งใจทำงานมากเลยล่ะครับ”
“เขาจริงใจน่ะครับ”
จริงใจจริงๆ นี่เป็นงานที่เจ้าตัวเริ่มทำอีกครั้งเพราะถูกบังคับ อีกฝ่ายก็เลยดูเหมือนจะตั้งใจมากกว่าเมื่อก่อน
“คุณอินซอบเขาเป็นแบบผมหรือเปล่าครับ”
ยูโอจินทำสายตามีเลศนัย คนในวงการนี้ต่างก็รู้กันว่าเขาเป็นเกย์
อีอูยอนยิ้มก่อนจะตอบว่า ‘ไม่ใช่หรอกครับ’
“ทำไมเหรอครับ”
“เปล่าครับ ผมว่าเขาสะดุดตาน่ะครับ เป็นไทป์ที่ทำให้เกิดอารมณ์อยู่พอสมควรเลยล่ะครับ ถึงจะดูธรรมดา แต่พอได้รู้จักแล้วก็ละสายตาไปไม่ได้เลย เป็นคนที่สมัยเรียนต้องโดนไอ้พวกที่ชอบแกล้งคนอื่นแกล้งแน่ๆ เลยครับ ฮ่าๆๆ”
อินซอบที่แจกเครื่องดื่มหมดแล้วเดินมาทางนี้
“ขอบคุณนะครับคุณช่างภาพ”
อินซอบยื่นเครื่องดื่มให้ยูโอจินก่อนจะกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณครับ คุณอินซอบไม่สนใจพวกเรื่องถ่ายภาพเหรอครับ”
“ถ่ายภาพเหรอครับ”
“ไม่มีความคิดที่จะเป็นนายแบบบ้างเหรอครับ น่าจะออกมาดีเลยนะ”
ชเวอินซอบทำหน้าตาซีเรียสก่อนจะส่ายหน้า แต่ยูโอจินกลับชวนให้เขาลองมาเป็นนายแบบดูอีกครั้ง
“น่าจะออกมาดีนะครับ เพราะใบหน้าก็เล็ก แถมแขนขายังยาวอีกด้วย กระบนหน้าก็น่ารัก”
“ไม่ครับ ผมไม่สนใจครับ”
“งั้นเหรอครับ น่าเสียดายจัง ถ้าเกิดสนใจขึ้นมาก็มาเล่นที่สตูดิโอได้ทุกเมื่อเลยนะครับ เพราะผมจะถ่ายให้ฟรีเลย”
“แค่คำพูดก็ขอบคุณมากแล้วครับ”
ชเวอินซอบย่อมไม่มีทางรู้ว่าพวกตากล้องมักจะเสนอตัวถ่ายรูปให้ในตอนที่คิดจะหยอดคนที่ถูกใจ ไม่มีทางที่คนโง่ซึ่งไร้ประสบการณ์ด้านความรัก และไม่เคยช่วยตัวเองอย่างถูกต้องด้วยซ้ำจะรู้ถึงความแตกต่างเล็กน้อยนั้น และอีอูยอนก็เข้าใจความจริงนั้นได้ลึกซึ้งดีกว่าใคร
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอารมณ์เสีย และหงุดหงิดกับสถานการณ์นี้อยู่ดี