อินซอบนึกถึงเรื่องราวน่าขมขื่นต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก่อนจะลุกขึ้น ตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าของเขาก็ส่งเสียงร้อง อินซอบมองชื่อที่ขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ และรู้สึกเหมือนเลือดของเขาเย็นวาบขึ้นมา
จะรับหรือไม่รับดีนะ อินซอบลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติก่อนจะกดรับสาย
“ครับ ชเวอินซอบครับ”
[นี่ผมเองนะครับ]
เขาได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลและไพเราะจากปลายสาย อินซอบภาวนาให้อีอูยอนไม่ทันสังเกตว่าตนกำลังสั่นเทา
“ครับ มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
แม้เขาจะแกล้งทำเป็นเฉย และถามไปอย่างนั้น แต่ใจกลับเต้นตึกตักเหมือนมีใครกำลังตอกตะปูอยู่ พอนึกถึงภาพของอีอูยอนที่เดินออกมาจากซอย เขาก็รู้สึกว่าปลายนิ้วที่กำโทรศัพท์อยู่เย็นเฉียบ
[ผมโทรมาเพราะนึกถึงเฉยๆ ครับ]
เมื่อได้ยินคำตอบที่คาดไม่ถึง อินซอบก็ร้อง ‘อ้อ’ และนิ่งไป ไม่ยอมพูดอะไรอยู่พักหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าจะต้องตอบอย่างไรดี
[ทำไมครับ ผมโทรศัพท์หาผู้จัดการส่วนตัวเฉยๆ ไม่ได้เหรอครับ]
“เปล่าครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ก็แค่คาดไม่ถึงเฉยๆ…”
แม้ระยะเวลาที่เขาทำงานอยู่ข้างๆ อีอูยอนจนถึงตอนนี้จะเป็นระยะเวลาที่จะว่ายาวก็ยาว จะว่าสั้นก็สั้น แต่เขาสาบานได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่เคยโทรศัพท์หาเขาเป็นการส่วนตัวสักครั้ง แล้วทำไมวันที่อีกฝ่ายโทรศัพท์หาเขาเป็นการส่วนตัวครั้งแรกจะต้องเป็นคืนที่อีกฝ่ายทำให้คังยองโมเป็นแบบนั้นด้วยล่ะ
ยิ่งน้ำเสียงของอีอูยอนที่ได้ยินจากปลายสายอ่อนโยนมากเท่าไร อินซอบก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากเท่านั้น เขาจะต้องมีสมาธิเพื่อที่จะไม่ทำให้เสียงสั่นในขณะที่พูด
[ผมกำลังกลับบ้าน ดาวสว่างนะครับ]
“ครับ”
[ยากมากเลยนะครับที่จะมองเห็นดาวในโซล ถ้าตอนนี้คุณอยู่บ้าน ก็ออกมาดูดาวสักครั้งสิครับ]
อีอูยอนเคยจัดรายการวิทยุอยู่พักหนึ่ง เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่นักแสดงที่กำลังรุ่งจะมาจัดรายการวิทยุ แม้จะเป็นเรื่องเล่าในตอนที่อีกฝ่ายเป็นนักแสดงหน้าใหม่ก็ตาม การจัดรายการวิทยุนี้เป็นเรื่องที่บริษัทต้นสังกัดรู้สึกอึดอัดใจ เพราะเขาได้รับมอบหมายให้จัดรายการวิทยุตอนตีสองที่ไม่ค่อยมีผู้ฟังเท่าไรนัก อีอูยอนให้สัญญาว่าเขาจะทำแค่ครึ่งปีเท่านั้น เพราะนี่เป็นงานที่ตนอยากลองทำ จากนั้นก็เริ่มเข้าไปทำ แต่ผลลัพธ์กลับน่าตกใจมาก มีโฆษณาเข้ามาพร้อมกันถึงห้าตัวในขณะที่เขาออกอากาศรายการวิทยุตอนตีสอง และหลังจากนั้นผู้บริหารของสถานีวิทยุก็ยอมรับความสามารถของเขาด้วยตัวเอง แถมยังมอบโล่ขอบคุณให้ด้วย แต่เนื่องจากพวกนักเรียนหญิงไม่ยอมนอน เพราะรอฟังการออกกาศของเขา และมาสัปหงกในตอนเช้า พ่อแม่ของพวกนักเรียนจึงประท้วงกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
น้ำเสียงของเขาทั้งหวานและนุ่มนวลถึงขนาดชวนให้คิดว่าอีอูยอนเกิดมาเพื่อรายการวิทยุหรือเปล่า พอตอนนี้อินซอบได้ยินเสียงนั้นกับหูของตัวเอง เขาก็เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของพวกนักเรียนหญิงจำนวนมากที่สามารถอดหลับอดนอนฟังการจัดรายการของอีกฝ่ายได้ขึ้นมาบ้างแล้ว
“ครับ ตอนนี้ผมอยู่ข้างนอกครับ”
[ไม่ได้อยู่บ้านเหรอครับ]
“ผม…ออกมาตรงดาดฟ้าแถวๆ บ้านน่ะครับ”
[อย่างนั้นเหรอครับ งั้นตอนนี้ผมก็กำลังมองท้องฟ้าผืนเดียวกันกับคุณอินซอบอยู่สินะครับ]
เขาลองใช้มือลูบแก้มดู เพราะรู้สึกว่าใบหน้าของตนเห่อร้อนกับคำว่าท้องฟ้าผืนเดียวกัน ปลายนิ้วของเขาไม่เย็นเหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว เพราะอากาศอุ่นขึ้นกว่าสองสามวันก่อน อินซอบตอบกลับไปอย่างอ่อนแรงว่า ‘นั่นสินะครับ’ พร้อมกับห่อตัว
[ร่างกายคุณไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมครับ]
ถ้าเขาทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังและฟังน้ำเสียงนั้น มันคงเป็นน้ำเสียงที่ใจดีและอ่อนโยนมาก
ชเวอินซอบกลัว เขากลัวเพราะมันเกิดขึ้นหลังจากที่เขาเห็นเหตุการณ์นั้น และเขาก็กลัว เพราะเขาไม่อาจรับรู้ถึงจิตใจของอีอูยอนได้เลยว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงโทรศัพท์มาหาเขาหลังจากที่ทำเรื่องแบบนั้นลงไป…และเขาก็กลัวตัวเองที่เผลอคิดไปว่าชอบเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยของอีอูยอนมาก
“ครับ ไม่เป็นอะไรแล้วครับ”
[แต่มือคุณบาดเจ็บอยู่นะครับ คุณต้องระวังตัวหน่อยสิครับ]
“ขอโทษครับ”
เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ทันทีที่เขาตอบอย่างนั้น อีอูยอนหัวเราะเหมือนกับพอใจจริงๆ ก่อนจะพูดต่อ
[โอเคครับ ถ้าอยากจะขอโทษ คราวหน้าก็ต้องระวังตัวนะครับ]
ระวังตัวนะครับ
ขณะที่คำพูดนั้นวนเวียนอยู่ในหู เขาก็นึกถึงใบหน้าเย็นชาของอีอูยอนที่ยืนอยู่หน้าซอยโดยอัตโนมัติ อินซอบใช้ฝ่ามือกอดไหล่ที่เย็นเฉียบเอาไว้ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่นเหมือนกับว่าคนที่อยู่ในสายกำลังยืนอยู่ตรงหน้า
“ครับ ผมจะทำแบบนั้นครับ”
[งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับ]
โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาอย่างกะทันหันก็ถูกวางสายไปอย่างกะทันหันเช่นกัน อินซอบถอนหายใจพร้อมเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋า
ดีจริงๆ แม้เขาจะรู้สึกผิดกับคังยองโมที่บาดเจ็บจนล้มหมอนนอนเสื่อ แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีมาก
“มันจบลงแล้ว”
ชเวอินซอบพึมพำเหมือนกับยืนยันกับตัวเอง คำพูดที่เขาพูดคนเดียวจนสลักลงไปในใจทำให้อินซอบลุกขึ้นมาได้
***
“สายแล้ว สายแล้ว”
หัวหน้าทีมชาบ่นพึมพำขณะขับรถ อินซอบที่นั่งอยู่ข้างๆ กล่าวขอโทษอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเล็กๆ
“ไม่ ช่างเถอะ ไม่ต้องสนใจหรอก นี่เป็นนิสัยของฉันเฉยๆ น่ะ”
หัวหน้าทีมชาเปลี่ยนเลนไปเลนข้างๆ พลางเอ่ยตอบ เนื่องจากเมื่อวานเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นต่อหน้าต่อตา ชเวอินซอบจึงไม่มีเวลาและลืมเอากุญแจรถตู้ไปฝากไว้ที่จุดตรวจ สุดท้ายอินซอบที่เก็บกุญแจไว้ก็ต้องนั่งรถแท็กซี่มาหา และหัวหน้าทีมชาที่ต้องรอจนกว่าเขาจะมาถึงก็สายโดยไม่ได้ตั้งใจ หัวหน้าทีมชาที่เข้มงวดกับการมาสายกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หุบปากลงเมื่อเห็นหน้าของอินซอบ แม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องก็ตาม และถึงเขาจะถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น แต่อินซอบก็ตอบเพียงว่าตนล้มเท่านั้น หัวหน้าทีมชาที่เคยเห็นภาพที่สกปรกของแวดวงนี้มามากตบไหล่อีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร อินซอบรู้สึกขอบคุณในความเอาใจใส่ของอีกฝ่าย แต่ก็รู้สึกหนักใจขึ้นไปอีกเช่นกัน
“เพราะอีอูยอนเขาไม่ชอบสายน่ะ”
“…ครับ”
“ถ้าจะทำงานนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ขอให้จำสิ่งหนึ่งไว้ในใจนะ อย่ามาสายเด็ดขาด โอ๊ย ให้ตายสิ เขาส่งข้อความมาถามอีกแล้วว่าอยู่ไหน”
หัวหน้าทีมชาทำหน้าเหยเกทันทีที่ได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์ อินซอบพยายามมองออกไปนอกหน้าต่าง
ดูเหมือนจะยังไม่มีข่าวอะไรไปถึงบริษัท หรือสภาพของคังยองโมแย่มากจนตำรวจสั่งไม่ให้พูดหรือเปล่านะ
ขณะที่ความคิดที่น่าเศร้าและน่ากลัวต่างๆ ผุดขึ้นมาจนหน้าของอินซอบซีดเผือด รถตู้ก็มาถึงลานจอดรถชั้นใต้ดินของสถานที่ที่อีอูยอนอาศัยอยู่พอดี
“มาสายนะครับ”
อีอูยอนที่กำลังยืนรอรถอยู่พูดขณะเปิดประตู
“‘โทษที ‘โทษที รถติดน่ะ”
“มันก็แน่นอนอยู่แล้วนี่ครับที่รถจะติดในเวลานี้”
แม้จะเป็นเสียงนุ่มๆ แต่หัวหน้าทีมชาที่รู้จักนิสัยของอีอูยอนดีกลับเหงื่อตกขณะพยายามแก้ตัว
“ไม่ใช่ คือมันติดมากกว่าปกติน่ะ คงเกิดอุบัติเหตุที่ไหน…”
“คือ…เพราะเมื่อวานผมเอากุญแจรถยนต์กลับไปน่ะครับ ก็เลยสาย”
อินซอบเป็นฝ่ายพูดความจริงก่อน แม้หัวหน้าทีมชาจะรีบส่งสายตามาให้ แต่ก็เปล่าประโยชน์
“อย่างนั้นเหรอครับ แปลกนะครับเนี่ย สำหรับคนที่รอบคอบอย่างคุณ”
อีอูยอนหยิบบทออกมาจากกระเป๋าพลางตอบอย่างไม่สำคัญอะไร
“โอเค งั้นเราออกเดินทางกันเถอะ”
หัวหน้าทีมชาคิดว่าคงดีกว่าที่จะจบการคุยเรื่องนี้ไว้แค่นี้พลางหมุนพวงมาลัยและเอ่ยพูด ตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่นอีกครั้ง
“โอ๊ย อะไรเนี่ย ตอนเช้ามืดแบบนี้ตาแก่นั่นจะโทรมาทำไมนะ”
พอเห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าจากกรรมการผู้จัดการคิม เขาก็พยักพเยิดหน้าให้อินซอบก่อนจะพูด
“รับให้หน่อยสิคุณอินซอบ”
“ครับ? ผม…ผมเหรอครับ”
ถ้าเป็นโทรศัพท์จากกรรมการผู้จัดการคิมที่โทรเข้ามาในเวลานี้ เขาจะต้องโทรมาคุยเรื่องเกี่ยวกับคังยองโมอย่างแน่นอน เป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาที่ไม่มีความสามารถในการหลอกคนอื่น หรือการแสดงที่จะแกล้งทำเป็นตกใจขณะพูด
“ฉันกำลังขับรถอยู่นี่ แล้วฉันก็ไม่มีแฮนด์ฟรีด้วย รับให้หน่อย เร็วเข้า”
อินซอบเหลือบมองอีอูยอนที่นั่งอยู่ด้านหลัง อีกฝ่ายเพียงแต่มองบทด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาเท่านั้น
นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ เราจะแกล้งทำเป็นว่ารู้แล้วไม่ได้เด็ดขาด
อินซอบหยิบโทรศัพท์มือถือของหัวหน้าทีมชาขึ้นมา และเริ่มคุยโทรศัพท์
“ครับ โทรศัพท์ของหัวหน้าทีมชาฮยอนคยูครับ”
[หัวหน้าทีมชาอยู่ที่นั่นหรือเปล่า]
เสียงจากปลายสายร้อนรนมาก เพียงได้ยินเสียงนั้น อินซอบก็เหงื่อแตกและรู้สึกคลื่นไส้
“ครับ เขาอยู่ข้างๆ ครับ แต่กำลังขับรถอยู่ พูดกับผมก็ได้…”
[อีอูยอนอยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่า]
“…ครับ ตอนนี้เขาขึ้นรถมาแล้วครับ”
[ดี งั้นนายเปิดสปีกเกอร์โฟนเลย]
ชเวอินซอบถือโทรศัพท์ไว้ในมือและมองหัวหน้าทีมชา แม้จะไม่ได้เปิดสปีกเกอร์โฟน แต่หัวหน้าทีมชาก็รู้สึกได้ว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติจากเสียงของกรรมการผู้จัดการคิมที่ดังลอดออกมา เขาจึงพยักหน้า
ชเวอินซอบกดปุ่มสปีกเกอร์โฟน และค่อยๆ วางโทรศัพท์ลง
[ตอนนี้พวกนายอยู่ที่ไหน]
“จะอยู่ที่ไหนล่ะครับ ตอนนี้พวกเรากำลังออกจากบ้านของอีอูยอนเพื่อไปกองถะ…”
กรรมการผู้จัดการคิมเริ่มรัวคำพูดเหมือนกับปืนกลก่อนที่หัวหน้าทีมชาจะพูดจบประโยค
[เกิดเรื่องวุ่นแล้ว เขาบอกว่าคังยองโมโดนทำร้ายเมื่อวาน ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล! ถึงแม้ตอนนี้เรื่องจะยังไม่ถึงหูพวกนักข่าว แต่จะเป็นข่าวขึ้นมาเมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นแหละ อ๊าก โธ่เว้ย แล้วละครจะทำยังไงล่ะเนี่ย ฉิบหายหมดแล้ว!]
“อะไรนะครับ”
หัวหน้าทีมชาที่กำลังขับรถออกจากลานจอดรถเผลอเหยียบคันเร่งแทนที่จะเหยียบเบรกเพราะความตกใจ รถจึงส่งเสียงดังหึ่งและลอยข้ามลูกระนาดไป อินซอบที่ตอบสนองได้ช้าเพราะมือที่บาดเจ็บ จึงหัวโขกเข้ากับเพดานรถเสียงดัง
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
อีอูยอนนิ่วหน้าเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามอินซอบ อินซอบพยักหน้า หัวหน้าทีมชาขยับมือเพื่อสั่งให้เงียบก่อนจะจอดรถไว้ข้างทาง
“กรรมการผู้จัดการครับ นี่คุณพูดว่าอะไรนะครับ ช่วยพูดอย่างใจเย็นอีกทีได้ไหมครับ แล้วก็ดื่มน้ำเย็นๆ เข้าไปสักแก้วด้วยนะครับ!”
ทันทีที่หัวหน้าทีมชาแผดเสียง พวกเราก็ได้ยินเสียงดื่มน้ำจากปลายสาย
[ฮ่า…ฉันเองก็ไม่ได้ฟังมาจากกรรมการผู้จัดการของบริษัทนั้นโดยตรงหรอกนะ แล้วฉันก็ไม่รู้รายละเอียดชัดเจนด้วยเพราะได้ยินต่อๆ กันมา แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้คังยองโมนอนอยู่ที่ห้องผู้ป่วยหนัก]
ชเวอินซอบรู้สึกว่าหน้าของเขาไร้สีเลือด
ห้องผู้ป่วยหนักอย่างนั้นเหรอ นี่เราไม่ควรใช้โทรศัพท์สาธารณะ แต่ควรใช้โทรศัพท์มือถือโทรแจ้งหรือเปล่านะ
“บาดเจ็บหนักเลยเหรอครับ”
[ก็ไม่ถึงกับเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตหรอกนะ เขาผ่าตัดด่วนไปแล้วเมื่อวาน และตอนนี้ก็กำลังพักฟื้นอยู่ แต่ยังไม่ได้สติหรอก]
ปลายนิ้วของอินซอบสั่นระริก เพราะเขานึกถึงเลือดที่กำลังไหลบนพื้น อีอูยอนที่นั่งอยู่ด้านหลังเดาะลิ้นพลางพับบทเก็บ
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นเหรอครับ”
[ฉันจะไปรู้เหรอ! ถ้าตำรวจรู้เรื่องนั้น เขาจะอยู่เฉยเหรอ]
“ตอนนี้มันก็เป็นแบบนั้นไปแล้ว แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะครับ”
หัวหน้าทีมชาเอ่ยถาม
[ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะต้องเข้าไปคุยกับผู้กำกับก่อนน่ะ ต่อให้ไปกองถ่ายตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ในสถานการณ์ตอนนี้จะถ่ายละครอะไรกันล่ะ ให้ตายเถอะ นี่มันอะไรกันเนี่ย]
“ว่าแต่คังยองโมโดนใครทำร้ายเหรอครับ แอนตี้แฟนเหรอ หรือว่าสตอล์กเกอร์?”
[เพราะไม่รู้ยังไงล่ะ! ถ้าเป็นแอนตี้แฟน ก็คงจะเป็นแอนตี้แฟนที่บ้ามาก ใช้อิฐตีหัวจากทางด้านหลัง…]
จู่ๆ กรรมการผู้จัดการคิมที่พูดมาถึงตรงนี้ก็เงียบไป เพราะรู้อะไรบางอย่าง และความคิดแบบเดียวกันก็โผล่เข้ามาในหัวของหัวหน้าทีมชา
หัวหน้าทีมชามองอีอูยอนที่กำลังสีหน้าเหนื่อยล้าอยู่ที่เบาะหลัง
[อีอูยอน…]
กรรมการผู้จัดการคิมเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงสั่นเทา อีอูยอนที่เดาได้ว่าคำพูดนั้นหมายความว่าอะไรเอนตัวมาด้านหน้าก่อนจะเอ่ยตอบ
“ครับ กรรมการผู้จัดการ ผมฟังอยู่ครับ”
[อย่าบอกนะว่า…]
“ไม่มีทางหรอกครับ”
[…ควรจะเป็นแบบนั้นแหละ ต้องไม่ใช่เรื่องนี้เด็ดขาดเลยนะ]
“อย่ากังวลไปเลยครับ”
หัวหน้าทีมชาที่ได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดคุยราวกับเป็นการพูดคุยกันอย่างสบายๆ กระแอมก่อนจะพูดขัด
“กรรมการผู้จัดการคิมครับ ไว้ไปคุยกันอย่างละเอียดที่บริษัทนะครับ”
[ก็ได้ มาที่บริษัทตอนนี้เลย]
สายถูกตัดไปแล้ว
หัวหน้าทีมชาปลดเบรกมือก่อนจะออกรถ ภายในรถที่กำลังมุ่งหน้าไปที่บริษัทนั้น ไม่มีใครอ้าปากพูดเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงแค่เสียงลมหายใจของหัวหน้าทีมชาที่ดังขึ้นเป็นระยะเท่านั้น
ชเวอินซอบมองออกไปนอกหน้าต่างพลางทำใจให้สงบ
เริ่มขึ้นแล้วสินะ
***