“คิดว่านักข่าวคิมแฮชินจะให้ไปเจอเพื่อสัมภาษณ์เรื่องอะไรเหรอครับ”
“เธอบอกว่าจะสัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่ลาออกครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ ผมเองก็สงสัยเรื่องนั้นเหมือนกันนะ คุณคงไม่ได้ไปอเมริกาเพื่อสอบเป็นข้าราชการหรอก”
อินซอบกัดริมฝีปากเบาๆ ด้วยความสับสน เขาไม่ได้บอกอะไรอีอูยอนมากไปกว่าข้ออ้างที่ว่าจะไปสอบเข้ารับราชการหรือพ่อป่วย แต่เรื่องที่โชคดีก็คืออีอูยอนยังไม่รู้ความจริงที่ว่าตนได้เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น นับว่าเป็นเรื่องโชคดีมากที่อินซอบเสียบรูปนั้นไว้ในสมุดโน้ต เขาคิดหาข้ออ้าง
“ผมแค่เหนื่อยครับ”
“ว่าไงนะครับ
“การอยู่ข้างๆ คุณอีอูยอนน่ะ…”
เป็นความจริง ยิ่งอินซอบอยู่ข้างๆ อีอูยอนมากเท่าไร เขาก็ยิ่งสับสน และลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร
“ไล่ตามผมมาจนถึงที่นี่ แถมยังมาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัว เพราะชอบผมมากขนาดนั้น แต่ลาออกเพียงเพราะเหนื่อยงั้นเหรอครับ”
แต่อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ยอมอะไรง่ายๆ ขนาดนั้น เมื่ออีอูยอนซักไซ้ อินซอบก็อึกอักก่อนจะเอ่ยตอบ
“วะ วันนั้นคุณอีอูยอนกับผู้หญิงคนนั้น…”
“อ๋อ วันนั้น”
อีอูยอนพยักหน้าพลางนึกถึงเรื่องที่ชเวอินซอบมาหาตนในคืนก่อนวันที่อีกฝ่ายจะลาออก
“คุณลาออกด้วยเรื่องนั้นเหรอครับ”
“…”
“จะบอกว่าคุณลาออกแค่เพราะผมมีอะไรกับผู้หญิงเหรอครับ”
“…ครับ”
อินซอบรู้ดีว่าตนไม่มีทางเลือก สิ่งที่ดีที่สุดที่ตนสามารถทำได้ในตอนนี้คือการปรับตัวไปตามที่อีอูยอนต้องการ ตนจะไม่สร้างความลำบากให้กับนักศึกษาคนนั้นที่ให้ยืมชื่อเด็ดขาด
อีอูยอนร้องอืม เขาขมวดคิ้วพร้อมกับทำสีหน้าไม่ดี
“ในระหว่างนั้นคุณก็โดนคิมแฮชินข่มขู่ด้วย เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องให้สัมภาษณ์หรอกครับ เพราะยังไงที่คิมแฮชินอยากจะสัมภาษณ์คุณอินซอบก็เพราะเหตุผลอื่นอยู่แล้ว”
“…คืออะไรเหรอครับ”
“ก็เสียงของคนที่เจอคังยองโมและแจ้งความมันคล้ายกับเสียงของคุณอินซอบมากยังไงล่ะครับ”
“…”
“เพราะงั้นบางทีเธออาจจะทำให้คุณพูดคล้ายๆ กับเรื่องที่เล่าจากสิ่งที่พบเห็น และเผยแพร่มันลงไปในสื่อน่ะสิครับ ผมเกือบจะลำบากเพราะมันแล้วนะ”
“…ขอโทษครับ”
อีอูยอนเดาะลิ้นเบาๆ
“ทำไมถึงต้องทำตามที่โดนข่มขู่ด้วยล่ะครับ ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่คุณจะขายผมให้คิมแฮชิน เพราะโดนขู่นิดหน่อยน่ะเหรอครับ”
“ขอโทษครับ”
“ผมผิดหวังนะครับ”
อินซอบรู้สึกแสบกระเพาะ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ช่างแปลกประหลาดและน่ากลัว อีอูยอนพอใจอะไรขนาดนั้นนะ อีกฝ่ายยิ้มเล็กยิ้มน้อยด้วยใบหน้าระรื่นก่อนจะพูดต่อ
“ผมผิดหวังเพราะความรู้สึกที่คุณมีต่อผมมันมีแค่นั้น”
“…ขอโทษครับ”
เขาไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำว่าขอโทษ เขาไม่รู้เลยว่าเกมโกหกที่น่าหวาดเสียวนี้จะจบลงอย่างไร ปลายนิ้วของอินซอบสั่น เขากลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงไป
“แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อวานผมก็เชื่อนิดๆ นะครับ”
“…?”
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับใช้นิ้วไล้ริมฝีปากของอินซอบราวกับจะลูบจับ มันชัดเจนมากว่าการกระทำสั้นๆ นั้นหมายความว่าอะไร ใบหน้าของชเวอินซอบร้อนผ่าวในทันที อินซอบรีบก้มหน้า และใช้มือทั้งสองข้างจับผ้าห่มไว้คล้ายจะดึงเข้ามากอด ร่างกายของเขาสั่นเทาอีกครั้ง
“อยากกลับอเมริกาเหรอครับ”
“…!”
อินซอบพยักหน้าอย่างแข็งขัน เขาอยากเรียกแท็กซี่และวิ่งไปที่สนามบินเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับอเมริกาเดี๋ยวนี้เลย
อีอูยอนยื่นมือออกไป ปลายนิ้วของเขาลูบไล้แก้มของอินซอบ เขาค่อยๆ ลูบหน้าของอินซอบราวกับกำลังโอบกอดสิ่งมีชีวิตตัวเล็กน่ารัก
“ความจริงแล้วผมโกรธมากเลยนะครับ”
“…”
“ถึงจะโล่งอกที่คุณแสดงความบริสุทธิ์ใจให้เห็น แต่ผมเกือบจะซวยเพราะคุณอินซอบกับคิมแฮชินแล้วนะครับ”
เขารู้ร่องรอยของพวกชนชาติโชซอนที่ทำกับเขาขนาดนั้นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว มันไม่ใช่ว่าเขาลืมเพราะตารางงานที่ยุ่งมากและปล่อยมันไป เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าถ้ามีเวลา เขาจะไปหักขาหรือไม่ก็ฝังพวกมันไว้ที่ไหนสักแห่งคนเดียว ถ้าชเวอินซอบไม่ร่วมมือกับคิมแฮชินและหักหลังเขาก็คงจะไม่มีเรื่องให้พวกชนชาติโชซอนพวกนั้นถูกใส่ความว่าลอบทำร้ายคังยองโม แม้สุดท้ายเขาจะโล่งใจที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่อีอูยอนไม่พอใจกับทางเลือกของอินซอบที่ไล่ต้อนเขาให้จนมุมเอาเสียเลย
“ผมจะไม่เชื่อคุณอินซอบอีกแล้วครับ”
“…”
อินซอบเองก็ไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้ คงจะแปลกถ้าอีอูยอนมาบอกว่าเชื่อใจชเวอินซอบ
“ดังนั้นผมจะไม่ปล่อยคุณไป”
“ครับ?”
“ผมจะปล่อยคนที่ผมเชื่อใจไม่ได้ และมีข้อมูลพวกนั้นไปได้ยังไงล่ะครับ”
“ผมจะเผาข้อมูลพวกนั้นทิ้งให้หมดเลยครับ”
“ผมจะรู้ได้ยังไงล่ะครับ คุณอาจจะซ่อนไว้ที่ไหนอีกก็ได้ คุณเป็นคนที่โกหกทั้งชื่อ อายุ แล้วก็ร่องรอยทุกอย่างนี่ ใช่ไหมครับ”
“งั้นผมจะไปสถานีตำรวจครับ ผมจะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากความผิดของผมเอง”
“‘ไปๆ มาๆ ผู้จัดการของอีอูยอนก็คือนักต้มตุ๋น’ เป็นข่าวที่ดีมากเลยครับ”
“…”
อินซอบที่พยายามจะสงบปากสงบคำเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“งั้น…คุณต้องการอะไรครับ”
ถึงจะโดนฟ้องร้องว่าเขาสะกดรอยตาม หรือขโมยชื่อคนอื่นมาใช้ แต่เขาก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว อินซอบตัดสินใจแล้วว่าเขาจะอดทนทุกอย่าง ถ้ามันเป็นความผิดที่ตัวเองได้ทำไปแล้ว
“นั่นน่ะสิครับ ผมเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”
อีอูยอนเท้าคางพลางหรี่ตาลงก่อนจะเอ่ยตอบ
นั่นเป็นความจริง เพราะตอนนี้เขากำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับชเวอินซอบดี พอคิดว่านี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาไม่สบายใจที่จะปล่อยชเวอินซอบไป เขาก็โมโหอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่พอใจกับการส่งอีกฝ่ายให้กับตำรวจมากกว่า เขาไม่อยากยื่นปลาที่ตัวเองจับได้ให้ใคร ยิ่งไปกว่านั้นเขายังอยากสนุกกับมันต่อไปอีกสักพัก เพราะท่าทางที่อีกฝ่ายบอกว่าชอบเขาและรั้งเขาไว้อย่างเอาเป็นเอาตายนั้นน่าสนุก
“ดีล่ะ”
หลังจากครุ่ดคิดสักพัก อีอูยอนก็พูดออกมาในที่สุด
“ทำอย่างนี้กันเถอะครับ”
“…”
อินซอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงไปก่อนจะรอคำพิพากษาที่จะออกมาจากปากของคนตรงหน้า
“ผมจะให้คุณกลับมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวอีกครั้งครับ”
“ครับ?!”
“ลองทำให้ผมเชื่อใจคุณให้ได้ระหว่างที่ทำงานอยู่ข้างๆ ผมไงครับ”
“คุณพูดเรื่องอะไร…”
“ผมบอกให้คุณอินซอบลองรั้งผมเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตายดูครับ เพราะผมน่าจะได้เห็นว่าคุณชอบผมมากแค่ไหนระหว่างที่เก็บคุณไว้ข้างๆ”
หน้าของอินซอบค่อยๆ ซีดลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่อีอูยอนค่อยๆ พูดออกมาทีละคำ
“หนึ่งเดือนครับ ถ้าผมเชื่อใจคุณได้ในหนึ่งเดือน ผมจะคืนบัตรประชาชนกับพาสปอร์ตให้คุณ และแน่นอนว่าผมจะไม่แตะต้องชเวอินซอบที่คุณยืมชื่อมาแม้แต่ปลายนิ้ว”
“นั่นมันเรื่องอะไรกัน…”
“แต่ถ้าผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วผมยังเชื่อใจคุณอินซอบไม่ได้ ถึงตอนนั้นผมจะเรียกทั้งคุณและชเวอินซอบมา แล้วจะทำให้พวกคุณพังพินาศไปพร้อมๆ กันเลยครับ”
ปากของอินซอบสั่นระริก เขาทำได้เพียงมองอีอูยอนเท่านั้น ไม่สามารถตอบอะไรได้ เพราะมันเป็นข้อเสนอที่ไม่น่าเชื่อตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ทำไมครับ ทำไม่ได้เหรอ มีอะไรยากเหรอครับ แค่แสดงความรักห่วยๆ ที่ทำให้ถึงกับไล่ตามผมจากอเมริกามาที่เกาหลีให้เห็นนิดหน่อยก็น่าจะพอแล้วนะครับ”
“ยังไงซะคุณก็จะไม่เชื่อใจผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็ลองทำให้เชื่อสิครับ”
นี่เป็นเกมที่เกือบจะจบแล้ว อินซอบรู้ว่าเขาไม่สามารถชนะในเกมที่เริ่มจากการถูกตราหน้าว่าแพ้ได้เลย
อีอูยอนแค่อยากจะแกล้งเขาเท่านั้น ถึงได้ยอมเล่นเกมนี้ เขาตายแน่ ถ้าหากเกิดเรื่องที่เหมือนเมื่อวานขึ้นอีกครั้ง อินซอบไม่สามารถทนเรื่องแบบนั้นได้
“ไม่เอาครับ”
อินซอบพยายามมองอีอูยอนขณะพูด อย่าว่าแต่หนึ่งเดือนเลย แม้แต่วินาทีเดียวเขาก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อ
“ช่วยคืนพาสปอร์ตกับเสื้อผ้ามาด้วยครับ”
“ทำไมผมต้องทำด้วยล่ะ”
“ก็มันเป็นของผมนี่ครับ ช่วยคืนมาด้วยครับ”
แม้เขาจะหายใจไม่ออก อีกทั้งมือและเท้าก็ไม่มีแรงด้วยความกลัว แต่อินซอบก็พยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่ตัวเองสามารถสร้างขึ้นมาได้และพูดอย่างนั้น ในระหว่างนั้นเขาก็นึกถึงนิทานที่ชายตัดฟืนเอาเสื้อผ้าของเทพธิดาไปซ่อนไว้ในเชิงเสียดสี
“ก็ให้ได้นะครับ แต่…”
ท้ายประโยคของอีอูยอนหายไปอย่างช้าๆ มีเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากท้ายเสียงที่เบาลง มันเป็นเสียงหัวเราะที่ไพเราะและนุ่มนวลเหมือนท่วงทำนองของเปียโน ทันทีที่รอยยิ้มค่อยๆ ถูกเก็บกลับไปจากใบหน้าของเขา ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกก็เผยตัวออกมา
“ถ้านายไป แล้วชเวอินซอบจะเป็นยังไงล่ะ”
“…”
แล้วอินซอบก็ได้รู้…
ว่าความจริงแล้วคนที่เอาเสื้อผ้าของตัวเองไปซ่อนไม่ใช่ชายตัดฟืน แต่เป็นเสือที่ดุร้าย
***
“เดี๋ยวผมกลับมานะครับ กรุณาอยู่เฉยๆ อย่าสร้างเรื่องอะไรทั้งนั้น”
อีอูยอนว่าพลางเดินไปที่ประตูบ้าน อีอูยอนประกาศกร้าวว่าจะไม่ปล่อยให้อินซอบออกไปข้างนอกก่อนที่อินซอบจะทันได้ตอบอะไรด้วยซ้ำ และคำพูดของเขาก็เป็นเรื่องจริง
อินซอบยังไม่ได้เสื้อผ้าคืนจากอีกฝ่าย และเขากำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยการใช้ผ้าห่มคลุมตัว ห้องแต่งตัวที่มีเสื้อของอีอูยอนอยู่นั้นถูกคนงานที่เจ้าตัวเรียกมาถอดบานพับออกและเปลี่ยนเป็นประตูเหล็ก แม้เขาจะลองใช้ค้อนทุบตลอดทั้งวัน แต่ประตูก็ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว
นี่เป็นวันที่สามแล้ว อินซอบกำลังอดทนอย่างหนักแน่น
เสือนั้นอาจจะกัดเหยื่อให้ตายเมื่อมันเบื่อ หรือจับกินเมื่อมันหิว แต่เห็นได้ชัดว่าเสือตัวนั้นไม่คิดจะปล่อยเขาไปเด็ดขาด ดังนั้นเขาจะไม่เข้าร่วมเกมของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
นอกเหนือจากการที่ไม่มีเสื้อผ้าและไม่มีอิสระแล้ว การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีความลำบากอะไร ขอเพียงอีอูยอนไม่ค่อยจะอยู่บ้าน เพราะตารางงานที่ยุ่ง และอินซอบอยู่เฝ้าบ้านคนเดียวก็ใช้ได้แล้ว
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือเขาไม่ได้โทรศัพท์หาพ่อแม่มาสี่วันแล้ว และพ่อกับแม่ก็ไม่น่าจะแค่กังวลเล็กน้อย เพราะเขาสัญญาว่าต่อให้เกิดเรื่องอะไร เขาจะโทรศัพท์ไปหาสามวันต่อครั้ง ถ้ามีอินเทอร์เน็ต เขาก็น่าจะเขียนอีเมลได้ แต่อีอูยอนได้ปิดกั้นการติดต่อกับโลกภายนอกไว้ตั้งแต่แรก มิหนำซ้ำยังเอาคอมพิวเตอร์ไปซุกไว้ในห้องแต่งตัวอีกด้วย
อินซอบเอาผ่าห่มคลุมตัว และนอนบนโซฟา เขาหิว แต่ก็ไม่มีความคิดว่าอยากจะกินอะไร เขาแค่เหม่อลอยเท่านั้น อีอูยอนไม่ได้ด่าหรือตีเหมือนวันนั้น เขาเพียงแต่พูดจาเย็นชาบ้างเป็นบางครั้ง และมันก็เกือบจะเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่ก็มีตอนที่อีกฝ่ายทำตัวอ่อนโยนกับเขาจนเขาลืมไปแล้วว่าความจริงอีอูยอนเป็นคนที่น่ากลัวด้วยเหมือนกัน
“เจนนี่…”
อินซอบหลับตาก่อนจะเรียกชื่อเจนนี่
หลังจากที่ทะเลาะกันขนาดนั้นในวันนั้น เขาก็ไม่ได้คุยกับเจนนี่เลย แม้เจนนี่จะมาที่ใต้หน้าต่าง โยนหินใส่ และเรียกชื่อปีเตอร์ทุกคืน แต่ปีเตอร์ก็ทำเป็นไม่รู้ เขาไม่ยกโทษให้กับคำพูดที่เธอพูดใส่เขา เนื่องจากมีความจริงที่แหลมคมที่ตัวเขาเองไม่อยากจะยอมรับซ่อนอยู่ในคำพูดพวกนั้น เขาจึงไม่สามารถยอมรับฟังเธอได้ และถ้าเขาทำแบบนั้น มันก็เหมือนกับเขาต้องยอมรับความจริงที่ตัวเองมองข้ามด้วย
เมื่อปีเตอร์เมินเธออยู่เรื่อยๆ เธอก็เริ่มเขียนจดหมาย ตอนแรกมันเป็นแค่เนื้อหาธรรมดาที่ขอให้เขายกโทษให้ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เนื้อหาก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นกลอุบายที่ฟิลลิปสร้างขึ้น และตัวเธอเองก็เป็นคนน่าสงสารที่หลงเชื่อเรื่องพวกนั้น ปีเตอร์ไม่สนใจจดหมายนั้น เขาคิดว่ามันเป็นคำโกหกที่เจนนี่ซึ่งโดนปฏิเสธกุขึ้นมา แม้แต่ในจดหมายฉบับสุดท้ายที่เธอส่งให้เขา เธอก็ยังเขียนคำสาปแช่ง และคำด่าฟิลลิปเอาไว้เต็มหน้ากระดาษ
และสองวันหลังจากที่เขาได้รับจดหมายฉบับนั้น เจนนี่ก็ฆ่าตัวตาย แม่ของเธอเจอว่าเธอผูกคอตายกับลูกบิดประตู และแจ้งตำรวจ เธอเขียนสาเหตุการตายไว้ในจดหมายลาตายว่าเพราะไม่มีใครเชื่อคำพูดของเธอเลย สุดท้ายเธอจึงต้องเลือกวิธีนี้