“ฉันอุตส่าห์ทำตัวเป็นคนใจกว้างด้วยแล้วแท้ๆ…”
อีอูยอนรู้ความจริงอยู่แล้วว่าชเวอินซอบคนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับชเวอินซอบที่อยู่ในเอกสาร แต่เขาไม่ได้ให้เบาะแสอะไรเป็นพิเศษกับกรรมการผู้จัดการคิม เพราะเขาคิดว่าถึงอย่างไรเขาก็ต้องเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวใหม่อยู่แล้ว แล้วเขาจะไปสนใจทำไมกัน
และความคิดนั้นก็เปลี่ยนไปในวันที่อินซอบเรียกเขาว่าฟิลลิป อีอูยอนรวบรวมพรรคพวก และสืบว่าชเวอินซอบที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวอยู่ตอนนี้เป็นใครกันแน่ ผ่านไปไม่นานเขาก็ได้รับสายที่ทำให้ไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย สายนั้นโทรมาบอกว่าไม่สามารถหาคนที่ตรงกับรูปที่ส่งให้ได้ในเกาหลี อีอูยอนตอบรับไปว่าเข้าใจแล้วก่อนจะวางสาย
จากนั้นเขาก็ได้รับข้อมูลที่ต้องการระหว่างที่กำลังอยู่ในจุดสุดยอดของการมีเซ็กส์เมื่อวาน เขาคิดว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ด้วยเงิน ขณะเดียวกันก็พิจารณาข้อมูลส่วนตัวของอินซอบที่อยู่ในซองเอกสาร ถ้าตั้งใจจะหา ข้อมูลประมาณนี้ก็น่าจะสืบหาได้ง่ายๆ แน่นอนว่าตอนที่กรรมการผู้จัดการคิมหาคน เขาก็ต้องสืบข้อมูลด้วยวิธีสกปรกมาแล้ว แบบนี้ก็เหมือนกับต่อให้ได้ยินคนอย่างคิมแฮชินบอกว่าจะมาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัว ก็แค่ร้องว่า ‘โอ๊ะ’ แล้วรับเข้ามาทำงานเลยไม่ใช่หรือไง
ก่อนอื่นเขาจะต้องไปที่บริษัทเพื่อคุยกับกรรมการผู้จัดการคิมก่อน แต่เขาก็เห็นด้านหลังศีรษะที่ดูคุ้นตาเดินเข้าไปในลิฟต์ อีอูยอนหยุดลิฟต์ และขึ้นไปที่ห้องทำงานพร้อมกับอินซอบ
ที่นั่นอีอูยอนได้เสนอสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นข้อเสนอสุดท้ายให้ เขารู้สึกได้ว่าอินซอบตกใจมาก อีอูยอนคิดว่าอินซอบจะต้องตอบรับข้อเสนอของตัวเองอย่างแน่นอน
แต่คำตอบที่ออกมาจากปากของชเวอินซอบไม่เพียงแต่ฟาดหลังศีรษะของอีอูยอนอย่างแรงเท่านั้น แต่ยังอยู่ในระดับที่ทำให้ศีรษะของเขาแยกเป็นครึ่งซีกอีกด้วย ชเวอินซอบทำตัวเหมือนต่อให้โลกจะแตก เขาก็จะไม่ลาออกจากการทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวอย่างแน่นอน แต่เขากลับพูดคำว่าจะลาออกได้อย่างหน้าตาเฉย ตอนแรกอีอูยอนคิดว่าตัวเองอาจฟังผิดไป เพราะมันดูเป็นธรรมชาติมาก แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะพยายามห้ามว่า ‘จู่ๆ จะมาลาออกแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน’ แต่อินซอบกลับยืนยันความตั้งใจที่จะลาออกอย่างเด็ดขาดถึงขนาดที่เขาคิดว่าในร่างกายเล็กๆ นั่นอาจมีใบมีดที่แหลมคมซ่อนอยู่ตรงไหนสักที่
นี่ฉันอุตส่าห์จัดการคังยองโมที่แกล้งนายให้ อดทนกับนายที่ดื่มเหล้าเมายา แถมยังหอบหายใจใส่ฉัน และปล่อยให้มันผ่านไปแท้ๆ แต่กลับโดนนายฟาดหัวอย่างกะทันหันแบบนี้เนี่ยนะ
เมื่อคิดดังนั้นระหว่างที่เดินมาที่ลานจอดรถ อีอูยอนก็รู้สึกว่าความโกรธของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมา หากคิดกันตามความเป็นจริงแล้ว อีอูยอนก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร ผู้จัดการส่วนตัวเขาจะหาใหม่ก็ได้ เพราะมันเป็นของที่ใช้แล้วทิ้งอยู่แล้ว
แต่เขาไม่ชอบความรู้สึกที่เหมือนว่าตัวเองจะขาดทุนนี้เลย
แม้เขาจะยิ้มและอวยพรอีกฝ่ายโชคดี แต่ภายในใจกลับคิดว่าควรจะหักข้อมืออีกข้างทิ้งไปเลยดีหรือไม่
“ฉันควรจะหักทิ้งดีไหมนะ…”
อีอูยอนพึมพำขณะขึ้นมาบนรถ หัวหน้าทีมชาจึงถามว่า ‘ว่าไงนะ’ พร้อมหันกลับมามอง วินาทีที่เห็นใบหน้าที่มีหนวดเครารุงรัง อีอูยอนก็หงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ผมไม่ได้พูดกับหัวหน้าทีมครับ”
“…งั้นเหรอ แล้วที่ไปคุยน่ะจบสวยหรือเปล่า”
“ไม่ครับ จบได้เหี้ยมาก”
“…แล้วตอนนี้นายต้องไปที่ไหนล่ะ”
“ผมจะรู้ไหมล่ะครับ นั่นเป็นเรื่องที่ผู้จัดการส่วนตัวต้องจัดการไม่ใช่หรือไง”
หัวหน้าทีมชาถอนหายใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า และต่อสายหาบริษัท หลังจากที่คุยกับพนักงานที่ดูแลเรื่องตารางงานเสร็จ เขาก็มองอีอูยอน
“หลังจากนี้นายไม่มีตารางงานแล้วใช่ไหม”
“ใครบอกล่ะครับ”
“…”
หัวหน้าทีมชานึกถึงใบหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมที่ขอให้เขาช่วยดูครั้งนี้แค่ครั้งเดียว ร้องไห้อ้อนวอนกับเขาและถามว่า ‘การเป็นเพื่อนที่ดีคืออะไร’ ก่อนจะขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน
“งั้นกลับบ้านกันเถอะ”
เขาสตาร์ทรถ และค่อยๆ ขับออกมาจากลานจอดรถ อีอูยอนนั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง
หัวหน้าทีมชาเกลียดความเงียบที่ไม่น่ายินดีจึงเปิดวิทยุและเปิดหน้าต่าง ทันทีที่สายลมนุ่มนวลพัดเข้ามาในรถ อารมณ์ที่ไม่ดีของหัวหน้าทีมชาก็เหมือนจะดีขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ฮัมเพลงออกมา แต่ท่อนเพลงที่เขาฮัมออกมานั้นไม่ได้ไปต่อ
“โธ่เว้ย หนวกหูฉิบหายเลยครับ”
“…”
“ช่วยปิดวิทยุด้วยครับ”
“…”
ไอ้เวรเอ๊ย เฮงซวยจริงๆ
หัวหน้าทีมชากลั้นความรู้สึกที่รุนแรงเอาไว้ในใจก่อนจะปิดวิทยุ จากนั้นภายในรถก็เต็มไปด้วยความเงียบที่น่าระคายเคืองเหมือนกับกลืนฝอยขัดหม้อลงไปอีกครั้ง
หัวหน้าทีมชารู้สึกสำนึกผิดกับชีวิตที่ต้องถามว่า ‘อายุปูนนี้แล้ว ทำไมฉันถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย’ ขึ้นมา วินาทีที่เห็นโพสต์อิทเขียนว่า ‘เรื่องที่จะต้องทำในวันนี้’ ที่ชเวอินซอบแปะไว้ด้านหน้าที่นั่งของคนขับรถ หัวหน้าทีมชาก็นึกถึกตากลมๆ ที่ใสซื่อของอินซอบ และอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
เขากัดฟันก่อนจะพูดกับอีอูยอน
“ฉันก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ แต่…”
“ถ้าไม่อยากพูด ต่อไปก็ไม่ต้องพูดครับ”
“…ไม่ งั้นจะขอพูดสักหน่อยก็ได้ นายน่ะช่วยแก้นิสัยนั้นหน่อยเถอะ ถ้ามันไม่แย่ขนาดนั้น ชเวอินซอบเขาจะลาออกไหมล่ะ”
“…”
พอเห็นว่าอีอูยอนไม่พูดอะไร หัวหน้าทีมชาจึงบอกว่า ‘ใช่ไหมล่ะ’ ก่อนจะพูดต่อ
“ถึงจะไม่รู้ว่านายแกล้งทำดีกับอินซอบ ชวนให้เขาทำสัญญาสามปีด้วย หรือพูดอะไรกับเขาหรือเปล่า แต่ดูสิ สุดท้ายอินซอบที่นิสัยดีคนนั้นก็ลาออกไปแล้ว ถึงหลังจากนี้กรรมการผู้จัดการจะเรียกนายไปคุยด้วยอีกรอบก็เถอะ แต่สุดท้ายไม่ว่าจะพาใครมา…”
“โอ๊ย! เหี้ยเอ๊ย!”
“…!”
ทันทีที่อีอูยอนใช้ข้อศอกฟาดกระจกรถ กระจกรถตรงที่นั่งด้านหลังก็ร้าวพร้อมกับเกิดเสียงดัง เปรี๊ยะ แต่แค่นั้นยังไม่สามารถทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้ อีอูยอนจึงใช้หมัดกระแทกกระจกรถติดต่อกันอีกสองสามครั้ง รถที่วิ่งอยู่ข้างๆ สงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงเปิดประตูรถออกมาเช็กรถตู้ของพวกเขา หัวหน้าทีมชาเริ่มเถียงกับตัวเองอยู่ตรงที่นั่งคนขับรถว่าเขาควรจะพูดหรือไม่
“อี อีอูยอน…ข้างนอกมีคน…”
“คนอะไรครับ”
“…”
“ไอ้ชเวอินซอบแสนดีอะไรนั่นมันบอกเหรอครับว่ามันไปเพราะผมเกลียดมัน”
“นะ นายไม่ได้เล่นแง่อะไรเพื่อไล่ให้เขาไปหรอกเหรอ…”
“เล่นแง่เชี่ยอะไรล่ะ แม่งเอ๊ย คนที่เล่นแง่คือมันต่างหาก ผมอุตส่าห์พยายามหลับหูหลับตาแล้วแท้ๆ”
“ว่าไงนะ หลับหูหลับตาเรื่องอะไรเหรอ”
“พอแล้วครับ ยังไงซะมันก็จบไปแล้ว ขับรถต่อไปเฉยๆ เถอะครับ”
อีอูยอนนั่งเท้าคางอีกครั้ง
ภาพด้านข้างของเขาดูดีและงดงามราวกับภาพวาด แต่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาจะเปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดที่โหดร้ายตอนไหน
ลมในฤดูใบไม้ผลิที่ลดความแรงลงหนึ่งระดับพัดเข้ามาผ่านกระจกที่ร้าว แต่หัวหน้าทีมชาก็ขับรถต่อไปด้วยความรู้สึกเหมือนนั่งรถเลื่อนที่ลากด้วยสุนัขในขั้วโลกเหนือในสภาพเปลือยเปล่า
และสิ่งที่ทำให้น้ำแข็งบางๆ นั้นแตกคือสายเรียกเข้าจากกรรมการผู้จัดการคิม
***
[อีอูยอน ถ้าเห็นข้อความนี้แล้วช่วยติดต่อมาด้วย]
[อีอูยอน ขอร้องล่ะ ถ้านายเห็นข้อความนี้แล้ว โทรมาหาฉันหน่อยเถอะ]
[เฮ้ย ไอ้เวรนี่! นายตั้งใจจะให้ฉันด่าเหรอ]
[ขอร้องล่ะ อีอูยอน ได้โปรดเถอะ ได้โปรด ได้โปรด]
[ตอนนี้ฉันขอให้เขาเลื่อนการรายงานข่าวออกไปตามที่นายบอกแล้ว นายควรจะมาอธิบายสถานการณ์ให้ฉันฟังไม่ใช่หรือไง!!!]
[อีอูยอน โธ่เว้ย…ฉันสาบานเลยว่าวันนี้ฉันจะต้องฆ่าแกให้ได้!!]
[ท่านอีอูยอนครับ กระผมขอร้องล่ะครับ ได้โปรดเถอะ ช่วยโทรศัพท์หากระผมหน่อยนะครับ]
[อูยอน! อูยอน อูยอน!!!!!!!]
หลังจากนั้นข้อความของกรรมการผู้จัดการคิมที่เศร้าโศกก็เข้ามาอย่างต่อเนื่องอีกสิบกว่าฉบับ อีอูยอนอ่านข้อความคร่าวๆ ก่อนจะปิดเครื่องไป และเก็บมันลงในกระเป๋าอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงร้องไห้โฮของผู้ชายที่อยู่ด้านหลัง
“อย่าร้องไห้เลยครับ”
อีอูยอนพูดอย่างอ่อนโยนก่อนจะโยนทิชชู่ที่ได้จากปั๊มน้ำมันไปที่เบาะหลัง
“ถ้าเลอะเลือดมันจะเช็ดไม่ออกน่ะครับ ฉะนั้นช่วยเช็ดให้ดีด้วยนะครับ”
พออีอูยอนพูดจบ ผู้ชายคนนั้นก็เริ่มใช้ทิชชู่เช็ดเบาะหนังที่เปื้อนเลือดอย่างกับคนบ้า อีอูยอนหัวเราะเสียงต่ำ เขาคีบบุหรี่และจับพวงมาลัยด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะเหยียบคันเร่ง เฟอร์รารี่ที่ยืมกรรมการผู้จัดการคิมมาส่งเสียง บรื้น ดังๆ ออกมาก่อนจะทะยานไปด้านหน้า
รถเฉียดผ่านด้านข้างไปอย่างน่าหวาดเสียว เขาขับรถเฟอร์รารี่อย่างน่าหวาดเสียวโดยการบังคับให้รถวิ่งซิกแซกไปมาทุกทิศทางพลางกดแตร ผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่ากลัวก่อนจะใช้มือกุมหัวเอาไว้
“ไม่ตายหรอกครับ คนเราไม่ได้ตายง่ายขนาดนั้นหรอกนะครับ”
อีอูยอนพูดด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะเปิดหน้าต่างเพื่อเคาะขี้บุหรี่ทิ้ง เสียงหวีดหวิวของลมอันเกิดมาจากความเร็วที่รถวิ่งดังขึ้นในหูของเขา เมื่อกระจกค่อยๆ เลื่อนกลับขึ้นด้านบน เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังอีกครั้ง
“หุบปากซะก่อนที่ผมจะฉีกปากคุณทิ้งนะครับ เพราะผมไม่มีความคิดที่จะฟังเสียงผู้ชายแกล้งบีบน้ำตาอยู่แล้ว”
อีอูยอนพูดอย่างเด็ดขาด ชายคนนั้นพยักหน้าก่อนจะบอกว่า ‘ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วยเถอะครับ’ ด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“ใครบอกว่าจะฆ่าล่ะครับ ผมบอกไปหมดแล้วไง”
“ถึงอย่างนั้น…ก็…”
จู่ๆ อีอูยอนก็หักพวงมาลัย เนื่องจากการหยุดรถอย่างกะทันหัน ควันจึงพุ่งกระจายออกมาจากล้อรถเฟอร์รารี่ อีอูยอนจอดรถไว้ข้างทางก่อนจะเอี้ยวตัวมาทางด้านหลังจากที่นั่งฝั่งคนขับ
เมื่อสบตากัน ชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่ด้านหลังก็ตัวสั่นพนมมือร้องขอชีวิต
“บอกให้ผมไว้ชีวิตใช่ไหมครับ”
“…ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วยครับ ขอร้อง…”
“ก็ได้ครับ ผมจะไว้ชีวิตคุณ แต่คุณจะต้องทำตามที่ผมบอกนะ”
“แต่…ถ้าทำแบบนั้นผมก็…”
อีอูยอนร้องเฮ้อ และเสยผมขึ้นไปอย่างรำคาญ เขาใช้มือข้างหนึ่งกำพวงมาลัยเอาไว้และจมอยู่กับความคิดครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดด้วยท่าทีแสนจะกรุณาว่า ‘งั้นเอาแบบนี้นะครับ’
“ฉันจะไปพาพี่ของแกที่แขวนไว้ที่ภูเขาเมื่อกี้กลับมา แล้วเอาแกไปแขวนไว้อีกครั้ง ถึงฉันจะพาแกมาเพราะแกเป่ายิงฉุบชนะก็เถอะ แต่ฉันคิดว่าพี่ชายของแกคงทำได้ดีกว่านี้ แต่จะพูดก็พูดเถอะ ตอนฉันเอาแกไปแขวนไว้คราวนี้ ฉันคงจะจำตำแหน่งไว้แค่คร่าวๆ ล่ะนะ”
อีอูยอนใช้นิ้วเคาะขมับของตัวเองขณะที่พูด ชายคนนั้นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวทุกครั้งที่เห็นฟันขาวๆ ของอีอูยอนในรถมืดๆ
“ในเมื่อจำแค่คร่าวๆ ต่อให้พี่ชายของแกทำงานได้เป็นอย่างดี ฉันก็คงต้องใช้เวลาในการตามหาแกอยู่บ้าง รู้ใช่ไหมว่าฉันหมายความว่ายังไง”
“…ไว้ชีวิตผมเถอะครับ ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วย”
“คงไม่เข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉันพูดสินะ งั้นฉันเอาแกไปแขวนทิ้งไว้แถวๆ นี้ก่อนก็แล้วกัน”
ทันทีที่อีอูยอนจับพวงมาลัยเพื่อที่จะกลับรถ ชายคนนั้นก็ส่งเสียงราวกับกรีดร้อง
“เข้าใจแล้วครับ เข้าใจแล้วครับ ผมจะทำตามที่คุณสั่งทั้งหมดเลย ผมจะทำตามทั้งหมดเลย ได้โปรด ได้โปรดเถอะครับ…”
ผู้ชายที่เพิ่งถูกดึงขึ้นมาจากนรกสดๆ ร้อนๆ เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนก้มหน้าก่อนจะบอกว่า ‘ถ้าเป็นเรื่องที่อีอูยอนสั่ง ไม่ว่าจะเป็นอะไร ผมก็จะทำครับ’
“งั้นลองพูดอีกครั้งนะครับ คนที่ตีคังยองโมก็คือ?”
“ผมกับพี่ชายครับ”
“แล้วทำไมถึงตีครับ”
“เพราะผมไม่ชอบเห็นพวกดาราครับ…ผมทำแบบนั้นเพราะ…เพราะผมไม่ชอบที่พวกเขาได้เงินจากการวางมาดออกทีวีครับ เมื่อก่อนผมก็เคยทำแบบนั้นกับคุณอีอูยอนเหมือนกัน เพราะผมรู้สึกดีที่ได้บอกคนอื่นว่าฉันเป็นคนทำให้มันเป็นแบบนั้น ผมก็เลยอยากจะตีคนที่ดังมากขึ้นอีก…”
“แล้วทำไมถึงยอมรับผิดล่ะครับ”
“พวกเราทะเลาะกัน เพราะพี่บอกว่าตัวเองไม่ผิด เราทะเลาะกัน เพราะพี่บอกว่าจะแจ้งความผม และโทษของคนที่ยอมรับผิดก่อนก็จะเบาขึ้นด้วย…”
ชายคนนั้นยอมรับผิดต่อไปตามที่อีอูยอนสอน
“โอเคครับ ไม่มีการปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นเหตุการณ์ เหมาะสมมากครับ”
“…”
“รู้สึกไม่ยุติธรรมเหรอครับ เพราะจะต้องยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำใช่ไหม”
“…”
ชายคนนั้นใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าก่อนจะตอบว่า ‘ครับ’ ด้วยน้ำเสียงอู้อี้ อีอูยอนหัวเราะเสียงดังเหมือนคนเสียสติ
“ฮ่าๆๆๆๆ พูดอะไรน่ะ ฮ่าๆๆๆ”
ชายคนนั้นห่อไหล่ และเอนตัวไปด้านหลังทุกครั้งที่เสียงหัวเราะของอีอูยอนดังขึ้น แต่ภายในรถแคบๆ นี้ไม่มีที่ให้เขาถอยอีกต่อไปแล้ว