ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 8-8

ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 8-8

สวัสดีค่ะ

ทางทีมงานขอแจ้งให้นักอ่านทุกท่านทราบว่า เนื้อหาตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปจะเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งการดำเนินเรื่องและภาษา มีเนื้อหาที่พูดถึงการทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ทั้งนี้ เป็นไปเพราะนิสัยและสภาวะจิตใจของตัวละครในขณะนั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

เขาคิดว่านี่อาจเป็นความฝัน และหยิกต้นขาตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้เป็นฝันร้าย ก็ไม่มีฝันร้ายแบบนี้อยู่จริงหรอก

พี่น้องสกุลอิมใช้เงินค่าจ้างรายวันที่ได้รับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนดื่มมักกอลลี[1] ตั้งแต่เช้า พวกเขาเมาหนักมากจนหลับไป และฝันร้ายก็เริ่มต้นขึ้นจากการที่ผู้ชายคนหนึ่งมาหาพวกเขาที่ห้องพักในขณะที่พวกเขาหลับโดยไม่เคาะประตู แต่เพราะเมา พวกเขาจึงต้องใช้เวลาสักพักถึงรู้ว่ามีใครบางคนเข้ามาในห้อง ตอนที่พวกเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไปคือหลังจากที่โดนชกหน้าอย่างแรงและหมดสติลงไปแล้ว

ตอนที่พวกเขาได้สติขึ้นมาอีกครั้ง พี่น้องสกุลอิมก็ได้รู้ว่าตัวเองถูกลากมาที่ภูเขาเตี้ยๆ และก็ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วผู้ชายที่ลากพวกเขามาคือคนที่พวกเขาผลักตกทะเลสาบก่อนหน้านี้

ผู้ชายที่ดูสะอาดสะอ้านถือพลั่วไว้ในมือข้างหนึ่ง เนื่องจากสีหน้าของชายหนุ่มที่สวมสูทราคาแพงอ่อนโยนอย่างไร้ที่ติ พวกเขาจึงไม่รู้สึกถึงวิกฤตแม้จะอยู่ในสภาพที่ถูกมัดมือและเท้าไว้ก็ตาม พอได้ยินคำว่าเหมือนเป็นดารา ชายคนนั้นก็บอกว่าตนเป็นดาราจริงๆ และบอกว่าจะทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจที่เกิดมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

พี่น้องสกุลอิมที่เจอกับเรื่องยากลำบากมามากหัวเราะเยาะคำพูดของชายหนุ่มที่เหมือนจะไม่เคยลำบากเลยสักครั้ง แต่ยังไม่ถึงหนึ่งนาทีดี เสียงหัวเราะเยาะนั้นก็กลายเป็นความตกใจที่ซ่อนความกลัวเอาไว้

ถ้าปีศาจที่สวมหน้ากากของมนุษย์มีอยู่จริงก็คงจะมีหน้าตาแบบนั้นแหละ

ชายคนนั้นใช้พลั่วทุบพวกเขาทั้งสองคนไม่ยั้งเหมือนกะให้ตายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้จะเห็นว่ากระดูกที่ขาของพวกเขาหักจนทะลุหัวเข่าออกมาแล้ว แต่ชายคนนั้นกลับไม่สะทกสะท้าน นั่นเป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาตอนที่เขาเห็นชายคนนั้นใช้ปลายพลั่วตัดข้อนิ้วของพี่ชายออกเป็นไปสองข้อด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อนโยน

แม้เขาจะลองร้องไห้คร่ำครวญถามว่า ‘ทำไมถึงทำแบบนี้ ทำไมถึงมาทำแบบนี้เอาป่านนี้’ แต่ก็ไร้ประโยชน์ ชายคนนั้นใช้พลั่วตัดปลายนิ้วของที่ชายที่ข้อต่อยังไม่ขาดออกจากกันดีและห้อยต่องแต่งอยู่ให้เรียบร้อย

คนทั้งคู่กรีดร้องด้วยความกลัว แต่ที่ภูเขาเตี้ยๆ ซึ่งมีฝนโปรยปรายนั้นกลับไม่มีใครได้ยินเสียงหรือมาช่วยพวกเขาเลย

ชายคนนั้นสั่งให้พวกเขาเลือกว่าจะถูกฝังอยู่ที่ภูเขา หรือว่าจะโดนแขวนอยู่ที่ต้นไม้ พอเห็นภาพด้านข้างของชายหนุ่มที่พึมพำว่าถูกฝังน่าจะเรียบร้อยกว่า เขาก็ไม่มองว่าใบหน้านั้นดูดีอีกเลย

พอเขาเอ่ยถามว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรพลางก้มหัวขอร้องให้อีกฝ่ายไว้ชีวิตตนจนคอแทบแตก ชายคนนั้นก็พูดว่า ‘พูดกันรู้เรื่องสักทีนะ’ ด้วยรอยยิ้มกว้าง

ทันทีที่เห็นความหวังที่จะมีชีวิตรอด พี่น้องสกุลอิมก็ขอร้องชายคนนั้นเหมือนคนเสียสติ

‘โปรดไว้ชีวิตเราด้วย จะสั่งให้เราทำอะไรก็ได้ คุณจะให้ทำอะไรก็ได้ ขอแค่ไว้ชีวิตพวกเราก็พอ’

ชายคนนั้นสั่งให้พวกเขาจ่ายค่าเสียหายที่พวกเขาได้ทำผิดไป

“คะ ค่าเสียหายอะไรเหรอครับ”

“ค่าเสียหายที่จะฆ่าฉันไงล่ะ”

“ระ เรื่องนั้น…ถึงเราจะทำแบบนั้น แต่ แต่คุณก็ยังไม่ตาย และยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอครับ!”

พี่ชายว่าพลางจับนิ้วที่มีเลือดไหล แต่ชายคนนั้นดูเหมือนจะไม่พอใจในคำตอบของพี่ ถ้าดูจากการที่เขาใช้พลั่วฟาดหน้าพี่แล้วล่ะก็นะ

พี่ชายที่จมูกหักส่งเสียงร้องแปลกๆ และล้มลงไปกับพื้น แม้ชายคนนั้นจะใจเด็ด แต่เขากลับพูดต่อไปด้วยโทนเสียงนุ่มนวล

‘ก่อนอื่นเลยก็คือตอนนั้นฉันตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นพวกแกก็ต้องจ่ายค่าเสียหายอย่างสาสม การที่มีคนรอดชีวิตไม่ใช่ปัญหาของพวกแกซะหน่อย’

ชายคนนั้นสั่งให้พวกเขาเลือกว่าจะจ่ายค่าเสียหายตามกฎหมายอย่างเหมาะสม หรือจะจ่ายเป็นการส่วนตัวที่นี่ พี่น้องสกุลอิมรู้ว่าการ ‘จ่ายค่าเสียหายเป็นการส่วนตัว’ มีความหมายแบบไหนซ่อนอยู่ พวกเขาจึงทำได้เพียงตอบออกไปว่า ‘จะจ่ายตามกฎหมาย’

และผลลัพธ์ก็คืออิมคนพี่ถูกแขวนไว้ที่ต้นไม้ ส่วนอิมคนน้องกำลังนั่งอยู่บนรถที่วิ่งไปบนทางด่วน

“ฮ่าๆๆๆ เป็นพวกแกนี่ตลกจริงๆ เลยนะ”

อีอูยอนหัวเราะอย่างเต็มที่ก่อนจะหยุดหัวเราะ การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดนั้นทำให้อิมคนน้องได้ลิ้มรสความรู้สึกของการที่หัวใจหยุดเต้นด้วยความกลัว

“พวกแกสองคนเป็นฆาตกร เพราะตอนนั้นฉันตายไปแล้วครั้งหนึ่งไงล่ะ”

“…”

“ผมพาคุณมาก็เพราะเมื่อกี้คุณได้เลือกแล้ว แต่ถ้ารู้สึกไม่ยุติธรรมก็บอกได้นะครับ ผมจะได้พากลับไปที่ภูเขาตอนนี้เลย”

“มะ ไม่ครับ ไม่เลยครับ ผมจะจ่ายค่าเสียหายที่ผมทำผิดไปครับ”

ชายหนุ่มพนมมือที่เปื้อนเลือดพลางก้มหน้า

“ดีครับ งั้นเราไปกันต่อเลยนะครับ”

อีอูยอนกลับไปนั่งตัวตรง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า ‘จริงสิ’ แล้วพูดกับผู้ชายที่กำลังตัวสั่นเทาอยู่ด้านหลังต่อ

“ถ้าซ่อนความคิดอื่นไว้ หรือคิดที่จะหนี ผมว่าคุณพอแค่นั้นจะดีกว่านะครับ”

“มะ ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยครับ!”

“โอเคครับ คิดได้ดีแล้วล่ะครับ ถ้าหนีไปแล้วจะยังไงล่ะ ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน คุณก็น่าจะถูกจับอีกรอบอยู่ดี ผมว่าการที่คุณจ่ายค่าเสียหายที่ทำความผิดไป และเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างขาวสะอาดน่าจะดีกว่าการที่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวว่าผมจะมาจับเมื่อไหร่ไปชั่วชีวิต และโดนฝังหลังจากถูกผมจับได้อีกรอบนะครับ”

อีอูยอนยิ้มก่อนจะพูดต่อ

“แล้วก็อย่าคิดที่จะไปพูดจาไร้สาระที่สถานีตำรวจล่ะครับ เพราะถึงแม้จะไม่ใช่ผม แต่ก็มีคนที่จะจับพวกคุณไปจัดการเยอะเลย”

“ฮึก…”

“ไปกันเถอะครับ”

อีอูยอนเหยียบคันเร่ง เฟอร์รารี่สีแดงส่งเสียงเครื่องยนต์ดังลั่นอีกครั้งก่อนจะเริ่มเคลื่อนตัว

***

“ถ้าอีอูยอนมา ฉันจะฆ่าเขาแน่”

“…ฆ่าเลยครับ ต้องฆ่าให้ได้เลยนะครับ ฆ่าสักสองรอบ สามรอบเลยนะครับ”

“ถ้าฉันไม่ฆ่าหมอนั่น ฉันจะยอมรีดมือของตัวเอง[2] เลย…ให้มันมาก่อนเถอะ ขอแค่มันมา ฉันจะไม่ปล่อยมันไว้แน่!”

กรรมการผู้จัดการคิมแผดเสียงพลางทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา ช่วงเช้าวันนี้ผู้บริหารใหญ่ของแผนกบันเทิงจากบริษัท M โทรศัพท์มาหาเขาเพื่อบอกว่าคิมแฮชินกำลังเตรียมข่าวอยู่ และเนื้อหาก็ไม่ธรรมดาเสียด้วย นักข่าวคิมแฮชินไปหาคังยองโมที่สามารถพูดได้แล้ว และเอารูปของอีอูยอนที่ถูกกล้อง CCTV แถวนั้นถ่ายเอาไว้ให้ดูพร้อมกับบอกให้เขาลองดูว่ามีจุดไหนที่แปลกหรือเปล่า

‘ถึงจะจำคนร้ายไม่ได้ แต่ถ้าลองคิดดูดีๆ คนร้ายแต่งตัวแบบนี้หรือเปล่าคะ ถึงมองไกลๆ จะเห็นได้ไม่ชัดว่าคนคนนี้เป็นใคร แต่ไม่รู้สึกว่านี่คือคนร้ายบ้างเหรอคะ’

เธอสร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างคนร้ายกับอีอูยอนให้คังยองโมฟังอย่างไม่ยอมแพ้ และเธอก็ดึงเอาคำตอบที่บอกว่าผู้ชายที่โจมตีตนมีรูปร่างคล้ายอีอูยอนออกมาจากปากของคังยองโมจนได้ เธอบอกว่าการที่คนที่แจ้งตำรวจจงใจใช้โทรศัพท์สาธารณะก็แปลก และเธอยังบอกอีกว่าตนมีบทสัมภาษณ์คนที่คาดว่าจะเป็นคนโทรแจ้งด้วย ข่าวนั้นจบด้วยคำพูดที่ว่าคนแจ้งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนร้าย เขาบังเอิญเห็นเหตุการณ์ และแจ้งความ แต่ในอนาคตเขาจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับคนร้ายอีกแล้ว

ผู้บริหารใหญ่ยังบอกอีกว่าในข่าวนั้นมีรูปภาพ CCTV ที่ไม่ว่าใครเห็นก็คิดว่าเป็นอีอูยอนถูกตีพิมพ์ลงไปด้วย ปัญหาก็คือมันมีไฟล์ที่คิมแฮชินสัมภาษณ์ผู้ชายที่มีเสียงคล้ายกับคนแจ้งความอยู่ด้วย และคิมแฮชินก็บอกว่าวันนี้หลังจากที่สัมภาษณ์เสร็จแล้ว เธอจะเขียนข่าวนี้ให้เสร็จสมบูรณ์พร้อมกับรายงานออกไป ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ภายในหัวของกรรมการผู้จัดการคิมขาวโพลน เขาต่อสายหาหัวหน้าทีมชากับอีอูยอน และตะโกนสั่งให้พวกเขารีบกลับมาที่บริษัท อีอูยอนฟังคำอธิบายสถานการณ์อยู่ในห้องทำงานก่อนจะบอกว่า ‘อย่างนั้นเหรอครับ’ ด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านก่อนจะลุกขึ้น แต่หลังจากได้ยินเสียงในไฟล์ที่กรรมการผู้จัดการคิมเปิดให้ฟัง เขาก็หน้าเครียดขึ้นมาทันที

ปกติแล้วตอนออกอากาศ เสียงของผู้แจ้งความจะได้รับการปกป้องทางกฎหมาย จึงไม่มีใครสนใจเสียงนั้น เพราะมันผ่านการปลอมแปลงเสียงมาแล้ว แต่วินาทีที่กรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชาได้ยินเสียงนั้น พวกเขาก็นึกออกทันทีว่าเป็นใคร

‘นี่มัน…คล้ายกับเสียงของคุณอินซอบเลยไม่ใช่เหรอ’

หัวหน้าทีมชาพูดอย่างระมัดระวัง ได้ยินดังนั้นกรรมการผู้จัดการคิมก็พยักหน้า และบอกว่า ‘เพราะอย่างนั้นน่ะสิ’

อีอูยอนจำได้ว่าหัวหน้าทีมชาโผล่มาช้ามาก เพราะมัวแต่รอชเวอินซอบ เนื่องจากวันนั้นอินซอบเอากุญแจรถกลับบ้านไปด้วย

ทำไมวันนั้นชเวอินซอบที่รอบคอบถึงขนาดจดทุกอย่างลงสมุดโน้ตถึงเอากุญแจกลับไปด้วย หรือความจริงแล้วเขากลับมา และกลับไปโดยที่ไม่ได้ฝากกุญแจไว้กันแน่

แววตาของอีอูยอนค่อยๆ ดำมืดลงอย่างโหดร้าย

กรรมการผู้จัดการคิมรับรู้ได้ว่าบรรยากาศไม่ปกติ เขาจึงพยายามโทรศัพท์หาชเวอินซอบ แต่อีอูยอนห้ามไว้ อีอูยอนบอกว่าถ้าชเวอินซอบรู้อะไรจริงๆ ก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะโทรศัพท์ไปหาตอนนี้

กรรมการผู้จัดการคิมแผดเสียงใส่ว่า ‘แล้วจะให้ทำยังไง’ อีอูยอนจึงตอบไปว่าขอเวลาตนหกชั่วโมง

จากนั้นเขาก็สั่งให้กรรมการผู้จัดการคิมแจ้งระงับการรายงานข่าวไว้ เพราะตนน่าจะแก้ไขทุกอย่างได้ในเวลาหกชั่วโมง

อีอูยอนทิ้งท้ายไว้ดังนั้นก่อนจะเข้าไปรื้อโกดังเก็บของของบริษัท เขาหาเชือกป่านกับพลั่ว และเอามันใส่กระเป๋า พอกรรมการผู้จัดการคิมถามด้วยสีหน้าซีดเผือดว่าจะเอาของพวกนั้นไปทำอะไร อีอูยอนก็ยื่นมือออกมาขอยืมรถที่เร็วที่สุดกับอีกฝ่าย

แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะตะโกนว่า ‘จะบ้าหรือไง ตอนนี้นายมีสติอยู่หรือเปล่า’ แต่อีอูยอนก็เดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่ไม่ยิ้มเลยสักนิด และตอบกลับไปว่าขอกุญแจรถ

และนั่นก็คือเหตุผลที่เขารออีอูยอนที่ถือพลั่วและยืมรถขับออกไปมาแปดชั่วโมงแล้ว

แม้เขาจะขอร้องให้ระงับการออกอากาศข่าวไปแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะห้ามได้จนถึงเมื่อไร ถ้าไม่ได้สิ่งที่ใหญ่กว่าหัวข้อข่าวที่คิมแฮชินบอกว่าจะแฉล่ะก็ อีอูยอนได้จบเห่แน่

“มีแค่อีอูยอนที่จะจบเหรอ ให้ตาย มีแค่มันที่จะจบหรือไง บริษัทเราจะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์อาทิตย์หน้าแล้วนะ ฉันจะทำยังไงดี!”

กรรมการผู้จัดการคิมเด้งตัวขึ้นมา และเดินไปเดินมาภายในห้องของกรรมการผู้จัดการพร้อมกับระบายความแค้นออกมา

“ฉันไม่น่าเก็บมันเอาไว้เลย เขาบอกว่าอย่าไปช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักบุญคุณโดยไม่คิดให้รอบคอบ นี่ฉันบ้าหรือเปล่า เพราะฉันถูกใบหน้าที่เกินจริงนั่นล่อล่วงแท้ๆ ให้ตาย ฉันบ้าไปแล้วแน่ๆ”

“มาเสียใจกับเรื่องที่ทำลงไปเมื่อสองสามปีก่อนตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรที่ล่ะครับ พวกเราบอกให้เขามอบตัวกับตำรวจเงียบๆ เถอะครับ”

หัวหน้าทีมชายื่นข้อเสนอที่มีความเป็นจริงมากที่สุด

“มอบตัวเหรอ ไอ้นั่น ไอ้บ้านั่นมันคงจะบอกว่า โอเค แล้วก็ยอมมอบตัวหรอกมั้ง! หมอนั่นมันต้องขับเฟอร์รารี่ของฉันหนีไปแล้วแน่ๆ ไอ้บ้าเอ๊ย เฟอร์รารี่ของฉัน! เฟอร์รารี่ของฉัน! เฟอร์รารี่ที่ยังขับไม่ถึงสิบครั้งของฉัน!”

“เฟอร์รารี่อยู่นี่แล้วครับ”

กรรมการผู้จัดการคิมฉวยกุญแจรถที่ลอยมาทางด้านหลังกลางอากาศอย่างกะทันหัน

“อีอูยอนเหรอ?!”

“พอดีจู่ๆ ฝนก็ตก ผมก็เลยมาสายน่ะครับ”

อีอูยอนว่าพลางสะบัดน้ำที่หยดลงมาจากเสื้อ กรรมการผู้จัดการคิมหายใจติดขัดราวกับจะหยุดหายใจในอีกไม่ช้า และคว้าเสื้อของอีกฝ่ายไว้

“นายมัวแต่ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนถึงได้มาเอาป่านนี้ หา? นายไปทำอะไรที่ไหนมา…เลือดนี่มันอะไร”

กรรมการผู้จัดการคิมมองเลือดที่เปื้อนปลายแขนชุดสูทของอีอูยอนด้วยใบหน้าซีดเผือด

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่ใช่เลือดผม”

“นี่! ไอ้บ้าเอ๊ย! ฉันห่วงเพราะมันไม่ใช่เลือดของนายต่างหาก!”

พอเห็นกรรมการผู้จัดการคิมจับต้นคอและทรุดลงไป หัวหน้าทีมชาก็รีบเดินเข้ามาช่วยประคอง

“กรรมการผู้จัดการครับ เป็นแบบนี้กรรมการผู้จัดการจะตายก่อนที่จะได้ฆ่าอีอูยอนนะครับ”

“นี่ หัวหน้าทีมชา ช่วย ช่วยฆ่ามันหน่อย”

“กรรมการผู้จัดการต้องฆ่าเองสิครับ”

“ไม่รู้ล่ะ ใครก็ได้ช่วยฆ่ามันที!”

อีอูยอนทำหน้าเสียใจพลางกอดอก

“ทำกับคนที่พยายามจะแก้ปัญหาเกินไปแล้วนะครับ”

“แก้เหรอ แก้งั้นเหรอ ถ้านายไม่…ไม่ฟาดคังยองโมตั้งแต่แรก ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ใช่หรือไง!”

ในระหว่างที่ตะโกนออกไปด้วยความโมโห กรรมการผู้จัดการคิมก็ปรับความดังของเสียงให้เป็นปกติ อีอูยอนถอดเสื้อสูทที่ใส่อยู่โยนไปที่โซฟา และเริ่มแก้เนคไท

“จะทำอะไรน่ะ”

“เปลี่ยนเสื้อครับ ที่นี่มีสูทสำรองอยู่อีกชุดใช่ไหมครับ”

“…มีแค่ชุดไว้ทุกข์ที่ให้นายยืมคราวก่อนเท่านั้นแหละ”

“ชุดนั้นก็ได้ครับ”

อีอูยอนว่าพลางถอดเสื้อเชิ้ตออกก่อนจะโยนทิ้ง จากนั้นเขาก็ถอดกางเกงที่ใส่อยู่ และโยนทิ้งเช่นกัน ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่เขาไม่มีความตะขิดตะขวงใจอะไรเลยกับการใส่กางเกงในตัวเดียว อีอูยอนสวมสูทสีดำที่แขวนอยู่และพูดต่อด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน

“ตอนนี้คนร้ายที่ฟาดหัวคังยองโมอยู่ที่สถานีตำรวจคังนัมแล้ว ช่วยติดต่อหาคิมแฮชินให้ไปที่นั่น และบอกให้เธอผูกขาดการเก็บข้อมูลได้เลยครับ”

[1] มักกอลลี เป็นเหล้าที่เกิดจากการนำข้าวมาหมัก มีสีขาวขุ่น รสชาติฝาดเล็กน้อย

[2] รีดมือตัวเอง เป็นสำนวนเกาหลีที่แปลว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ใช้เวลาที่เรามั่นใจแล้วว่าเรื่องนั้นจะไม่เกิดขึ้น

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท