อินซอบกอดป๊อปคอร์นเอาไว้ และเดินตามหลังอีอูยอนเข้าไปในโรงภาพยนตร์ ภายในโรงภาพยนตร์สว่างพอที่จะมองเห็นได้ทั่วถึง เพราะยังอยู่ในช่วงที่ฉายโฆษณา
“ไม่มีคนสักคนเลยเหรอครับ”
“ไม่มีทางที่จะมีคนมาดูหนังแบบนี้ในเวลานี้หรอกครับ นั่งตรงไหนก็ได้ครับ”
อีอูยอนไม่คิดที่จะตรวจเลขเก้าอี้ด้วยซ้ำ เขาจับจองที่นั่งตรงกลางและนั่งลง อินซอบนิ่งไปสักพักก่อนจะนั่งลงข้างๆ อีกฝ่าย เขาคิดว่าตนต้องพร้อมที่จะหลบให้เมื่อเจ้าของที่ปรากฏตัวขึ้น และไม่ยอมถอดเสื้อตัวนอกออก
“ไม่มีใครมาหรอกครับ”
“ทำไมเหรอครับ”
“เพราะผมเช่าไว้ทั้งโรงแล้วครับ”
“…ผมจะจ่ายค่าป๊อปคอร์นครับ”
พออินซอบหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋า อีอูยอนก็หัวเราะออกมา
“ล้อเล่นครับ มีคู่รักคู่หนึ่งเข้าโน่นแล้วครับ”
พออินซอบเห็นคนอื่น เขาก็ทำหน้าวางใจอย่างมาก
“กลัวว่าผมจะทำอะไรแปลกๆ ที่โรงหนังเหรอครับ”
“…”
“คุณคิดแบบนั้นกับผมได้ยังไงครับเนี่ย อ้อ เริ่มแล้วครับ”
อีอูยอนพิงตัวกับเก้าอี้ พอไฟในโรงภาพยนตร์ดับลง อินซอบก็ถอดเสื้อนอกที่สวมอยู่ออก เขาแขวนเสื้อไว้ที่เก้าอี้ตัวข้างๆ ก่อนจะหันหน้ามาด้านหน้า ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้ตัวแข็งอยู่กับที่
“…หนังเรื่องนี้…เป็นหนังสยองขวัญเหรอครับ”
“ครับ”
อีอูยอนตอบอย่างสบายๆ
“ทำไม…ถึงเป็นเรื่องนี้ล่ะครับ”
“เวลามันพอดีกัน แล้วก็ไม่มีคนด้วยครับ”
เขาคิดว่าจะมีคนมาดูหนังสยองขวัญที่เหมือนกับขยะนี่เป็นหนังรอบดึกด้วยเหรอก่อนจะจองตั๋ว แน่นอนว่าถ้าไม่มีใครเลย เขาก็คิดที่จะทำให้ชเวอินซอบลองดูดไอ้นั่นของเขาดีไหมอยู่พักหนึ่งด้วยเหมือนกัน
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ
“…!”
ยังไม่ทันจะมีอะไรออกมา อินซอบก็กลัวพร้อมกับสะดุ้งเสียแล้ว ในจอภาพยนตร์ตัวแสดงแค่เดินไปตามทางเดินเท่านั้นเอง
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับหยิบป๊อปคอร์นขึ้นมากิน ภาพที่น่าตื่นเต้นสำหรับเขาไม่ใช่ภาพยนตร์สยองขวัญเกรดต่ำ ชเวอินซอบกลัวและหลับตาลงทุกครั้งที่อะไรบางอย่างออกมาในจอ แต่พอมีเสียงเกิดขึ้นหลังจากนั้น ดวงตาที่ปิดอยู่ก็ค่อยๆ ลืมขึ้น เพราะมันน่ากลัวมากกว่าเดิม
แต่เขาก็ทำแบบนั้นได้ไม่นาน
[“อ๊าก!!!”]
ในที่สุดตัวแสดงคนแรกก็ตาย อีอูยอนที่ไม่มีความรู้สึกที่เรียกว่าความกลัวอยู่ตั้งแต่แรกมองจอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ชเวอินซอบที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับทำหน้าหมดแรงเหมือนกับคนที่โดนห้อยหัวอยู่ตรงหน้าผา
“กลัวเหรอครับ”
“…”
“อ๊ะ นั่นผีนี่”
อีอูยอนใช้นิ้วชี้ตรงมุมจอ พออะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากตรงนั้นอย่างกะทันหันและตะครุบตัวแสดงเอาไว้ อินซอบก็โยนป๊อปคอร์นที่ถืออยู่ทิ้ง และก้มหน้าไปด้านข้าง
หน้าผากของอินซอบที่ตัวสั่นระริกๆ แตะเข้ากับไหล่ของอีอูยอน รอยยิ้มของอีอูยอนที่กำลังยิ้มอยู่หุบลง เขาก้มลงมองอินซอบ แม้แต่ในโรงภาพยนตร์มืดๆ เขาก็ยังมองเห็นว่าดวงตากลมโตของอินซอบขยับไปตรงนั้นทีตรงนี้ที
ภายในจอมีฉากที่เลือดกระเด็นออกมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังไปทั่ว
“อื้อ…”
อินซอบซุกหน้าลงกับไหล่ของอีอูยอนอีกครั้ง เขาใช้มืออีกข้างหนึ่งจับแขนอีอูยอนไว้ด้วย ถ้าเป็นอินซอบในเวลาปกติ เขาจะไม่ทำพฤติกรรมแบบนี้เด็ดขาด อีอูยอนใช้นิ้วลูบแก้มอินซอบ
อินซอบที่กำลังตัวสั่นด้วยความกลัวยิ่งกลัวมากขึ้น เพราะมือของอีกฝ่ายที่เข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน และส่งเสียงกรีดร้องออกมา คู่รักที่นั่งอยู่ตรงมุมของโรงภาพยนตร์ตัวติดกันเหมือนกับเป็นร่างๆ เดียวกันไปแล้ว และไม่สนใจพวกเขาเลย
“กลัวเหรอครับ”
พออีอูยอนเอ่ยถาม อินซอบก็พยักหน้าทันที เขาทำตาเหมือนกับว่าจะร้องไห้ในอีกไม่ช้า
ป๊อปคอร์นที่เขาโยนทิ้งด้วยความตกใจค่อยๆ ตกลงบนเสื้อของอินซอบ อินซอบที่มักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ในเวลาปกติได้โยนภาพลักษณ์เหล่านั้นทิ้งไปแล้ว
“อ๊า…!”
อินซอบมองจออีกครั้งก่อนจะซุกหน้าลง อีอูยอนใช้มือตบหัวอินซอบเบาๆ และพบว่ามันนุ่ม ทั้งผมของอินซอบ และผิวตรงต้นคอด้วย
“จับมือไหมครับ”
อีอูยอนยื่นมือออกมา
“…”
ในระหว่างนั้นอินซอบก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ทันทีที่ผีโผล่ออกมาดึงขาของผู้หญิงเอาไว้ และลากเธอลงบันไดในฉากต่อไป อินซอบจับมืออีอูยอนไว้ไม่ยอมปล่อย อีอูยอนกลั้นหัวเราะให้กับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนั้น
มือของอินซอบเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ อินซอบจับมือของอีอูยอนด้วยแรงทั้งหมดที่มีทุกครั้งที่มีฉากที่น่ากลัวโผล่ออกมา เป็นแรงที่ไม่ได้มีค่าอะไรเลย อีกฝ่ายเกาะตัวเขาไว้สุดชีวิตด้วยแรงแบบนั้น แต่อีอูยอนกลับชอบมันอย่างประหลาด ต่อให้อีกฝ่ายจับแรงขึ้นอีกก็คงไม่เป็นไร
อีอูยอนหันหน้าไปมองอินซอบขณะที่ยังนั่งพิงเก้าอี้อยู่ แสงสลัวๆ ที่ปรากฏในจอทำให้เกิดโครงร่างรางๆ ไปตามกรอบหน้าของอินซอบ สายตาของอีอูยอนขยับตามแสงสลัวๆ นั้น
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากเล็กๆ อีอูยอนรู้สึกกระหายน้ำ เขาจึงหยิบโค้กขึ้นมา แม้เขาจะเอาน้ำแข็งเข้าปากเคี้ยว แต่ความกระหายที่บีบรัดอยู่ภายในช่องคอของเขาก็ไม่ได้หายไป ชเวอินซอบร้องดัง ‘เฮือก’ และกอดไหล่อีอูยอนไว้อีกครั้ง ถ้าปล่อยไว้แบบนั้น อีกฝ่ายก็น่าจะอยู่ในท่าที่กอดคอเขาไว้มากกว่า
“ไม่เป็นไรนะครับ มันก็แค่หนังเอง”
อีอูยอนว่าพลางตบหลังอินซอบเบาๆ อินซอบเพิ่มแรงลงไปที่มือที่กำลังจับอีอูยอนเอาไว้ เสียงหัวเราะของอีอูยอนดังขึ้นทุกครั้งที่แรงที่จับตนเองไว้ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ตลอดเวลาที่ดูภาพยนตร์ ชเวอินซอบเกาะติดอยู่ข้างๆ อีอูยอน และจับมือของอีกฝ่ายไว้แน่น แม้เนื้อเรื่องของภาพยนตร์จะน่าสมเพชจนน้ำตาจะไหล แต่อีอูยอนกลับได้ใช้เวลาที่น่าพึงพอใจแทน
เอนเครดิตเลื่อนขึ้นมา และเพลงประกอบภาพยนตร์เพลงสุดท้ายก็ดังขึ้น ชเวอินซอบหมดแรงเหมือนคนที่ว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกคนเดียวในระหว่างนั้น คู่รักที่จูบกันเสียงดังจ๊วบจ๊าบและทำตัวติดกันอยู่ด้านหน้าเขาตลอดเวลาที่ดูภาพยนตร์ได้ออกไปข้างนอกก่อนที่ไฟในโรงภาพยนตร์จะถูกเปิดเสียอีก
“เป็นไงบ้างครับ สนุกไหม”
“…ผมไม่รู้เลยนะครับว่าคุณมีรสนิยมแบบนี้”
อีอูยอนก้มลงมองมือของอินซอบที่ยังจับตนเอาไว้พลางยิ้มบางๆ
“นั่นสินะครับ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมีรสนิยมแบบนี้”
“…ครับ”
อินซอบไม่สามารถโกรธคนที่พาเขามาดูภาพยนตร์ได้จริงๆ และเขาก็ไม่เหลือแรงที่จะทำแบบนั้นด้วย เขารู้สึกมึนหัว คลื่นไส้ และมือก็มีเหงื่อ…
“…!”
พอเห็นว่าตัวเองจับอีอูยอนไว้แน่น อินซอบก็ตกใจและรีบสะบัดมือออก
“ขะ ขอโทษครับ เหมือนผมจะไม่มีสติบ้าไปแล้ว…พอดีไม่ค่อยมีสติ”
พอมือของอินซอบผละออกไป อุณหภูมิในร่างกายเขาก็เย็นขึ้นในทันที อีอูยอนก้มมองมืออยู่สักพัก และพยักหน้าชวนให้อินซอบออกไป
ชเวอินซอบหยิบเสื้อนอกที่แขวนไว้ตรงเก้าอี้ตัวข้างๆ ขึ้นมา เขากำลังจะลุกขึ้น แต่ก็ต้องจับที่วางแขนของเก้าอี้ในโรงภาพยนตร์เอาไว้ และทรุดตัวลงไปนั่งตามเดิม เขาไม่มีแรง เพราะเขาตื่นกลัวตลอดเวลาที่ดูภาพยนตร์
“จะดูต่ออีกรอบเหรอครับ หลังจากนี้ไม่มีรอบฉายหนังแล้วนะครับ”
“…”
“หรือเป็นเพราะขาไม่มีแรง?”
“…ขอโทษครับ”
อีอูยอนยื่นมือให้อินซอบ
“ผมช่วยจับเองครับ”
“ไม่เป็นไรครับ รออีก…!”
เขาจะบอกว่ารออีกสักพักก็ไม่เป็นไรแล้ว ถ้าอีอูยอนไม่ฉวยมือเขาไปเสียก่อน
ตอนนี้ต่างกับก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ในสภาพที่ไม่มีสติอยู่กับตัวและพยายามหาที่ยึดเหนี่ยวเพราะไม่อยากตายอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ถูกมือของอีอูยอนลากลงมาจากบันไดของโรงภาพยนตร์ ชเวอินซอบก็ทำตัวไม่ถูก เพราะความมึนงง
“มะ ไม่เป็นไรแล้วครับ ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ ถ้าตอนนี้ผมปล่อยมือ คราวหน้าต่อให้คุณขอจับ ผมก็จะไม่ให้จับแล้วนะ”
“…ไม่เป็นไรครับ”
อินซอบคิดว่าถ้าอีอูยอนชวนไปดูภาพยนตร์อีกต่อให้เป็นเหตุผลอะไรก็ตาม เขาก็จะปฏิเสธ อีอูยอนบอกว่า ‘งั้นก็ได้ครับ’ พร้อมกับค่อยๆ ปล่อยมือออก ตอนที่พวกเขาทั้งคู่ออกมานอกโรงภาพยนตร์ พวกพนักงานพาร์ทไทม์ที่ได้ยินข่าว และแอบมองอยู่ใกล้ๆ ก็กรูกันเข้ามา
“เซ็นลายเซ็นให้หน่อยได้ไหมคะ”
“ขอถ่ายรูปด้วยสักใบสิคะ”
คนที่พูดกับอีอูยอนเป็นพวกผู้หญิง อินซอบถอยไปยืนอยู่ด้านหลังอีอูยอนหนึ่งก้าว แม้ปกติเขาจะมีหน้าที่กันพวกแฟนๆ ที่วิ่งมาหาอีอูยอน แต่ตอนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอีอูยอนน่าจะดีกว่า
“ผมจะเซ็นให้นะครับ”
อีอูยอนรับปากกามาถือไว้ก่อนจะเซ็นลายเซ็น ถ้าไม่มีเรื่องใหญ่อะไร เขาก็เป็นพวกที่จะให้ลายเซ็นอยู่แล้ว
“ถ่ายรูปด้วยไม่ได้เหรอคะ”
ในช่วงเวลาแบบนี้อินซอบควรจะต้องออกหน้าแล้ว เขาพูดขอโทษกับพวกพนักงานพาร์ทไทม์ที่มุงอยู่ และบอกว่าจะต้องไปแล้ว
“ขอโทษครับ ถ้าคราวหน้ามีโอกาสไว้พบกันนะครับ”
พออีอูยอนกล่าวลา พวกพนักงานพาร์ทไทม์ผู้หญิงก็พูดไล่หลังมาว่า ‘ฉันเป็นแฟนคลับพี่นะคะ’ ‘ฉันจะคอยเชียร์พี่นะคะ’ ‘รักนะคะ’ ด้วยสีหน้าเสียดาย
เนื่องจากดึกมากแล้ว จึงไม่มีคนเดินไปเดินมาตรงทางเดินที่เชื่อมออกไปด้านนอก อินซอบเดินตามหลังอีอูยอนอยู่หนึ่งก้าว
“มาข้างๆ นี่ครับ”
อีอูยอนหยุดยืนอยู่สักพักและเสนอที่ข้างๆ ตัวเองให้อีกฝ่าย อินซอบชะงัก และเดินไปยืนข้างๆ เขา
“บอกตามตรง ไม่รู้ทำไมพวกเขาถึงอยากได้ลายเซ็น ของแบบนั้นจะไปมีประโยชน์อะไรเหรอครับ”
“ก็แค่…ของพวกนั้นก็เป็นของมีค่าไม่ใช่เหรอครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ งั้นผมเซ็นให้คุณอินซอบด้วยดีไหม”
“พอแล้วครับ”
อีอูยอนหัวเราะ วันนี้เขาได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายพอสมควร เป็นเสียงเหมือนกับก้อนกรวดเล็กๆ กลิ้งกระทบน้ำ แต่ก็เป็นเสียงหัวเราะที่เขาชอบฟัง
อินซอบไม่อยากโดนจับได้ถึงความคิดของตัวเอง เขาจึงเดินต่อไปในท่าทางที่ก้มหน้า เขาได้ยินเสียงที่เป็นลางไม่ดีในระหว่างที่เดินไปใกล้กับทางเข้า อินซอบพูดว่า ‘อย่าบอกนะ’ พลางขมวดคิ้ว ฝนกำลังตก
“ในพยากรณ์อากาศไม่เห็นบอกเลยนี่…”
เขาต้องเดินตากฝน เพราะจอดรถไว้ในที่จอดรถข้างทาง อินซอบหันไปมองรอบๆ พลางเอ่ย
“ผมจะไปซื้อรถที่ร้านสะดวกซื้อนะ…”
อีอูยอนถอดเสื้อคลุมที่ใส่อยู่ออกและคลุมไหล่ข้างหนึ่งเอาไว้ เขาใช้มืออีกข้างจับเสื้อคลุมและยกขึ้น แม้จะรู้ความหมายในการกระทำของอีกฝาย แต่อินซอบก็ไม่สามารถเดินเข้าไปใต้เสื้อคลุมนั้นได้
“ทำอะไรครับ”
“ผม…”
อีอูยอนจับอินซอบให้มาอยู่ข้างไหล่ของตน
“วิ่งได้ไหมครับ”
“…นิดหน่อย”
พอได้ยินคำตอบของอินซอบ อีอูยอนก็โอบไหล่เขาไว้ และเริ่มวิ่ง ฝนที่หนาวเย็นยังคงโดนหน้าเขา แต่อินซอบเทความสนใจทั้งหมดไปที่มือของอีอูยอนที่แตะไหล่ของตัวเอง แม้แต่ฝนก็ไม่สามารถเรียกความสนใจจากเขาได้
พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีในการวิ่งมาจนถึงที่ที่จอดรถไว้ แต่สำหรับอินซอบแล้วเขารู้สึกว่าห้านาทีนั้นนานเหมือนห้าปี เซลล์ประสาทสัมผัสของไหล่ที่โดนมือของอีอูยอนไวต่อความรู้สึกเหมือนกับถูกทำให้ตั้งขึ้นพร้อมๆ กัน ไหล่ของเขาแสบร้อน แต่มันก็อบอุ่นด้วย เขาไม่สามารถมองหน้าของอีอูยอนได้เลย เขาอยากจะหลุดออกไปจากอาณาเขตของอีกฝ่ายไวๆ ตอนที่มาถึงหน้ารถ อินซอบหลุดออกมาจากมือของอีอูยอน และถอนหายใจอย่างโล่งใจ แต่ใช้เวลาไม่นานลมหายใจนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นความตกใจ
“อ๊ะ!”
ดวงตากลมโตของอินซอบเบิกกว้าง เขาวางมือลงบนฝากระโปรงหน้ารถ แม้จะก้มตัวลงไปเช็คก็ยังเหมือนเดิม
“ยางถูกเจาะหมดเลยครับ”
“นั่นสินะครับ”
อีอูยอนตอบเหมือนกับมันไม่สำคัญอะไรในขณะที่สวมเสื้อ อินซอบใช้ฝ่ามือเช็ดน้ำฝนที่ไหลมาโดนตาพลางสำรวจรถ กันชนหน้ารถที่เป็นปกติจนถึงตอนที่เขาจอดรถ ตอนนี้กลับบิดเบี้ยวเพราะถูกใครบางคนใช้หินทุบ
“เหมือนจะต้องแจ้งความนะครับ”
“เข้าไปก่อนเถอะครับ”
อีอูยอนเปิดประตูรถพลางเอ่ย เขานั่งลงตรงที่นั่งฝั่งคนขับ อินซอบเดินไปฝั่งตรงข้าม และนั่งลงตรงที่นั่งด้านข้างคนขับ
พอเข้าไปด้านในและปิดประตู เขาก็ได้ยินเสียงฝนที่ตกลงมาด้านนอกดังขึ้น อีอูยอนหยิบทิชชู่ที่อยู่ในลิ้นชักเก็บของหน้ารถออกมายื่นให้อินซอบ แม้กระทั่งตอนที่เช็ดน้ำออก อินซอบก็ยังคาใจ และไม่เลิกทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะคนที่มาเจาะยางล้อรถทั้งหมดทิ้งไว้
“ไม่ต้องแจ้งความเหรอครับ”
“ช่วงนี้ผมเข้าๆ ออกๆ สถานีตำรวจบ่อยมากครับ มันครบจำนวนของปีนี้แล้ว”
“…”
“เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยหรอกครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย เมื่อก่อนผมเคยแจ้งตำรวจครั้งหนึ่ง แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป แต่สุดท้ายก็ดีแต่ให้เหตุผลหมาๆ ว่าทำไปเพราะชอบมากๆ แล้วก็เสียค่าปรับก่อนจะถูกปล่อยตัวไป”
อีอูยอนถอดหมวกและโยนไปด้านหลัง เขาใช้มือยีผมที่ถูกกดลงไปพลางหันหน้าไปหาอินซอบ
“คุณอินซอบพูดในฐานะตัวแทนสตอล์กเกอร์หน่อยสิครับ ว่าทำไมถึงทำเรื่องเหมือนอันธพาลแบบนี้”
รถที่อยู่รอบๆ ปกติดี สุดท้ายนี่ก็หมายความว่าเป็นการกระทำของใครบางคนที่รู้ว่านี่คือรถของอีอูยอน อินซอบอ้าปากพะงาบๆ เพราะความรู้สึกว่าถูกพูดกระทบโดยไม่จำเป็น และพึมพำว่า ‘ขอโทษครับ’ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ฮ่าๆๆๆ ขอโทษอะไรล่ะครับ คุณอินซอบไม่ได้ทำซะหน่อย”
“…”
“รถน่ะซ่อมได้ครับ ไม่ต้องสนใจหรอก เพราะผมอารมณ์เสียกับพวกที่ดึงเสื้อผม หรือวิ่งเข้ามากอดผมมากกว่าเรื่องแบบนี้เป็นร้อยเท่าเลยครับ”
อีอูยอนทำตัวเย็นชากับแฟนคลับนิสัยก้าวร้าวที่มักจะพุ่งเข้าใส่ตนเอง แม้พวกแฟนๆ จะบอกว่าให้รักษาเส้นของแต่ละคนไว้ เพราะรู้ถึงความจริงข้อนั้นดี แต่สุดท้ายพวกคนที่ก้าวร้าวก็ยังทำตามอำเภอใจอยู่ดี