ตอนที่ปีเตอร์ได้ยินข่าวนั้นคือตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาในห้องพักฟื้นหลังจากทำการผ่าตัดใหญ่ที่ใช้เวลาถึงสิบสามชั่วโมงเสร็จ เขารู้สึกเศร้าก่อนที่จะรู้สึกดีใจที่ตัวเองมีชีวิตรอดเสียอีก สำหรับเขาแล้วนี่เป็นข่าวที่เหมือนกับฟ้าถล่มลงมา ขณะที่เขาร้องคร่ำครวญว่าถ้าเขาตายไปพร้อมกับเจนนี่ก็คงจะดี แม่ก็ได้บอกสิ่งที่น่าตกใจว่าความจริงแล้วหัวใจของเขาหยุดเต้นไปเพราะช็อกในระหว่างผ่าตัด แต่หัวใจของเขาก็กลับมาเต้นอีกครั้ง และมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างปาฏิหาริย์ นอกจากนี้ท่านยังบอกคำพูดสุดท้ายที่เจนนี่ฝากถึงเขาอีกด้วย
“เจนนี่เขียนเพิ่มไว้ในตอนท้ายของจดหมายลาตายว่าเธอยกหัวใจให้ลูก แม่เลยคิดว่าที่หัวใจของลูกหยุดเต้นไปแล้วกลับมาเต้นอีกครั้งเป็นเพราะเจนนี่ได้ยกหัวใจให้ลูก ที่ลูกมีชีวิตอยู่เป็นเพราะเจนนี่นะ เพราะฉะนั้นห้ามพูดอะไรแบบนั้นออกมาอีกเด็ดขาด ได้โปรดอย่าพูดอะไรแบบนั้นเลย”
แม่จับมือเขาไปด้วยขณะที่พูดแบบนั้นพลางร้องไห้โฮ เขาเองก็ร้องไห้ไปด้วย หมอบอกว่าเขาห้ามฝืนตัวเอง เขาร้องไห้อยู่ตลอดจนกระทั่งหมอฉีดยาระงับประสาทให้เขาหลับไป
ใครบางคนมาหาเขาในตอนที่เขาออกจากโรงพยาบาลและกลับมาที่บ้าน สุภาพสตรีที่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ แนะนำตัวว่าเธอคือป้าของเจนนี่ คุณป้าสเปนเซอร์ เธอคือคนที่เจนนี่พูดถึงจนปากจะฉีกอยู่ตลอด เธอไม่สามารถมาร่วมงานศพของเจนนี่ได้เพราะมัวแต่ไปเที่ยวแอฟริกา เธอพูดถึงไดอารี่ของเจนนี่กับเขาด้วยดวงตาที่เอ่อไปด้วยน้ำตา ‘ฉันอยากให้เธอเก็บมันไว้ และมันคงเป็นสิ่งที่เด็กคนนั้นต้องการเหมือนกัน’ หลังจากพูดจบคุณป้าสเปนเซอร์ก็ขึ้นรถวากอนสีกรมท่าเก่าๆ จากไป
ปีเตอร์กลับมาที่ห้องก่อนจะเปิดไดอารี่อ่าน ในนั้นมีชีวิตประจำวันของเจนนี่เขียนเอาไว้ด้วยลายมือที่ย่ำแย่จนอ่านลำบาก มีข้อความเกี่ยวกับเจ้าชาย เรื่องที่ทะเลาะกับแม่ เรื่องที่ถูกแกล้งที่โรงเรียน เรื่องที่เจ้าตัวอยากตาย และเรื่องที่ว่าถ้าได้ตายไปจริงๆ ก็คงจะดีเขียนไว้ยาวเป็นพืด
ความสุขเพียงหนึ่งเดียวคือช่วงเวลาที่ได้ใช้กับปีเตอร์ ‘ฉันยอมทำอะไรก็ได้ ถ้าปีเตอร์จะกลับมาเชื่อฉันอีกครั้ง’ หน้าสุดท้ายของไดอารี่เขียนไว้แบบนั้น
เขาตระหนักได้ว่าว่าตนเป็นแรงผลักดันให้เจนนี่ตกลงไปในนรกของความสิ้นหวัง เพราะเขาปล่อยมือ เขาจึงเสียเจนนี่ไปแบบนี้
ชเวอินซอบใช้ฝ่ามือกดตาเอาไว้ น้ำตาไหลออกมาเพียงเพราะเขานึกถึงเรื่องในวันเก่าๆ
เจนนี่เขียนคำสาปแช่งฟิลลิปไว้เต็มไดอารี่ แม้แต่วันที่ตัวเธอคุยโวเรื่องความอ่อนโยนและใจดีของเจ้าชาย เธอก็ยังเขียนบันทึกไว้ในไดอารี่ว่าฟิลลิปไม่สนใจเธอและแกล้งเธอด้วย ตอนแรกเขาไม่เชื่อไดอารี่ของเจนนี่ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป การมองข้ามความเดียวดายของเจนนี่ก็ยากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เขียนไดอารี่ เธอมักจะเขียนสาดทั้งความรักและคำสาปแช่งใส่อีกฝ่าย เธอบอกว่าฟิลลิปแกล้งเธอ และหนทางที่จะหลุดพ้นจากความเดียวดายมีแค่ความตายเท่านั้น ในไดอารี่ที่เขียนในวันสุดท้ายเธอเขียนขอโทษปีเตอร์ และขอให้เขาเชื่อเธอ และขอให้เขาช่วยเธอแก้แค้น เพราะฟิลลิปแกล้งเธอ ส่วนจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็เป็นความจริงที่มีแต่เจนนี่เท่านั้นที่รู้
เพราะเธอเก็บความจริงนั้นไว้ และจากโลกนี้ไปแล้ว เขาจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อเรื่องนั้น
เขาทำอะไรไม่ได้เลย
อินซอบใช้มือปิดหน้า เขาอ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้ หรือตอนนั้นก็ตาม เขาในตอนนี้ซึ่งไร้เรี่ยวแรง และนอนแผ่ในสภาพที่เปลือยเปล่าก็คือเขาในตอนนั้น
เราทำอะไรอยู่กันแน่ นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ทำมาเป็นพูดว่าเชื่อคำพูดของเจนนี่ และมาที่นี่ แต่สุดท้ายก็ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนจนได้
“ฮ่า…ให้ตายสิ…”
ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพนิ่งอึ้งและฝืนหัวเราะออกมา ถ้าเขาเอาเรื่องนี้ไปพูดกับใครก็คงจะถูกหัวเราะเยาะว่าการแก้แค้นที่โง่ขนาดนั้นมีที่ไหนกะนอย่างแน่นอน
“เจนนี่…ฉันมาเพื่อแก้แค้น แต่ก็ถูกจับได้”
พอพูดออกไปแล้ว ตัวเขาเองก็ยิ่งสลด เขาตั้งใจลับใบมีดของการแก้แค้น และวิ่งเข้ามาเพื่อจัดการกับสัตว์ร้าย แต่กลับกลายเป็นว่าเขาใช้มีดนั้นได้ไม่ดี และถูกแย่งมีดไปจนกลายเป็นเชลยของสัตว์ร้ายนั้นแทน สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือเขาหวั่นไหวให้กับสัตว์ร้ายที่น่ากลัวนั้นจนตัวเองคิดจะกลับบ้านเกิดไปเฉยๆ แม้จะขุดคุ้ยจุดอ่อนของสัตว์ร้ายนั้นเจอแล้วก็ตาม
ถ้าทำเรื่องนี้เป็นหนังสือนิทาน ต่อให้ขายในราคาร้อยวอนต่อเล่มก็คงขายได้ไม่ถึงห้าเล่มด้วยซ้ำ เรื่องโง่ๆ แบบนี้มีที่ไหนในโลกกันล่ะ
อินซอบเอาผ้าห่มคลุมหัว และตำหนิตัวเองไม่หยุด แต่การหลับตาครู่หนึ่งดูเหมือนจะทำให้เขาเผลอหลับไป พอได้ยินเสียงเปิดประตูในขณะที่นอนหลับและลืมตาขึ้น เขาก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายอยู่ตรงหัวนอน
“ยอดไปเลย”
ไม่เข้าใจเลย ตอนนี้พวกเราทั้งคู่กำลังทำสงครามประสาทใส่กันอย่างเยือกเย็นอยู่ แต่พอกลับมาบ้านอีกฝ่ายกลับเอาผ้าห่มพันตัวเองหลายๆ รอบแล้วนอนหลับอยู่บนโซฟาอย่างนั้นเหรอ
อินซอบแกล้งทำเป็นหลับ และรอจังหวะให้อีอูยอนเดินออกไป อีกฝ่ายจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาจึงได้ยินเสียงประตูหนักๆ ของห้องแต่งตัวที่ถูกเปิด อินซอบเด้งตัวขึ้นมา และแม้จะคิดว่าตนควรจะวิ่งเข้าไปในห้องแต่งตัว แล้วขโมยเสื้ออะไรก็ได้ออกมาดีไหม แต่เขาก็กลัวว่าจะมีปัญหาในอนาคต ไม่สิ เขาคงโดนกระชากหัวลากออกมาทั้งๆ ที่ยังหนีไปได้ไม่กี่ก้าวอย่างแน่นอน แล้วคราวนี้เขาคงโดนขังอยู่ในห้องแต่งตัว
อินซอบถอนหายใจก่อนจะลบความฝันสั้นๆ เกี่ยวกับการหลบหนีทิ้งไป อีอูยอนออกมาที่ห้องนั่งเล่นหลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เขาเดินมาด้านหน้าโซฟาอีกครั้งต่างจากความคิดของอินซอบที่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะหยิบน้ำจากตู้เย็นมาดื่ม และกลับเข้าไปด้านใน อีกฝ่ายยืนอยู่อย่างนั้นและอุ้มอินซอบขึ้นมาทั้งผ้าห่ม
ชเวอินซอบกรีดร้องอยู่ในใจ เขายังคงหนาวสั่นและขนลุกทุกครั้งที่ปลายนิ้วของอีอูยอนโดนตัว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาอยากจะหลบออกไปจากการถูกกอดอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายแบบนี้ แต่เนื่องจากเขาแกล้งทำเป็นหลับตั้งแต่แรกจึงไม่สามารถดิ้นรนและหลบออกไปได้
อีอูยอนวางอินซอบลงบนเตียง อินซอบรู้สึกถึงสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังนอนอยู่ข้างๆ จึงรู้ประหม่าอย่างมากอยู่ในผ้าห่ม
“ฝันดีนะครับ”
เขาปิดไฟในห้อง อินซอบรอให้ผู้ชายที่นอนอยู่ข้างๆ หลับด้วยใจระทึก ทันใดนั้นเสียงลมหายใจของอินซอบก็ผ่อนคลายลงไปตามระเบียบ
อินซอบค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วดึงผ้าห่มลง และมองไปด้านข้าง อีอูยอนหลับตาและนอนหลับสนิท อินซอบค่อยๆ ลงจากเตียง
เมื่อกี้อีอูยอนวางโทรศัพท์ไว้ตรงนี้แน่ๆ…
“…!”
อินซอบเจอโทรศัพท์มือถือของอีอูยอนที่วางไว้ใกล้กับโต๊ะ และรีบวิ่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับกำโทรศัพท์ไว้ในมือ ก่อนอื่นเราจะโทรศัพท์หาพ่อแม่ และบอกว่าแม้ผมจะไม่ได้…สบายดี แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ
อินซอบรีบกดเบอร์โทรศัพท์ และก้มตัวลงด้วยสภาพที่ใช้มือบังบริเวณไมค์ของโทรศัพท์มือถือเอาไว้ หลังจากเสียงต่อสายโทรศัพท์ดังขึ้นประมาณห้าหรือหกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงของแม่พูดว่า ‘ฮัลโหล’
“ผมเองครับปีเตอร์”
[ปีเตอร์เหรอ ลูกอยู่ที่ไหน แม่โทรหาไม่ได้เลย เมื่อวานลูกบอกว่าจะกลับมานี่ แต่ก็ไม่ติดต่อมาเลย เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่]
แม่รัวคำถามใส่เขาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างที่คิด อินซอบลดเสียงให้เบาที่สุดก่อนจะกระซิบ
“มีเรื่องนิดหน่อยน่ะครับ แต่ผมจะกลับไปเร็วๆ นี้แหละครับ”
[ว่าไงนะ แม่ได้ยินไม่ชัดเลย ปีเตอร์พูดดังๆ หน่อย]
“มีเรื่อง…!”
โทรศัพท์มือถือลอยขึ้นไปเหนือหัวของเขา
“พอดีมีเรื่องเกิดขึ้นที่บริษัทนิดหน่อยก็เลยยังกลับไปไม่ได้สักพักหนึ่งน่ะครับ หวังว่าจะเข้าใจนะครับ งั้นผมขอวางสายก่อนนะครับ”
เมื่ออีอูยอนพูดโทรศัพท์ด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่วจบ เขาก็กดปุ่มปิดเครื่องก่อนจะโยนมันไปที่โซฟา อินซอบมองอีอูยอนด้วยใบหน้าที่เหมือนกับเห็นผี…ไม่สิ ตอนนี้อีอูยอนน่ากลัวยิ่งกว่าผีเสียอีก
เขาออกมาตอนไหน เราไม่ได้ยินเสียงเท้าเลยนะ…
“ผมบอกว่าห้ามโทรศัพท์ไงครับ”
“ผมต้องโทรศัพท์คุยกับแม่สามวันครั้งน่ะครับ ผมสัญญาไว้แล้ว”
“แล้ววันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ”
“คุณอีอูยอนเองก็มีแม่นี่ครับ คุณก็น่าจะเข้าใจเรื่องแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”
สุดท้ายเขาก็ประท้วงถึงความรู้สึกเกี่ยวกับแม่ที่ไม่ว่าใครก็ต้องมีถ้าหากเป็นมนุษย์
“ผมโทรคุยกับแม่…ไหนลองนับหน่อยซิ…น่าจะมากกว่าสี่ห้าปีที่แล้วมั้งครับ”
“…”
แต่อีกฝ่ายไม่เข้าใจความรู้สึกที่มีความเป็นมนุษย์ อินซอบจัดการกับความรู้สึกสิ้นหวังและดึงผ้าห่มที่ยับยู่ยี่ขึ้นมา
“อย่าทำตัวเหมือนสาวบริสุทธิ์ไปเลยครับ ถึงจะเห็นร่างกายที่เปลือยเปล่า ผมก็ไม่เกิดอารมณ์หรอก”
“…!”
อินซอบหูแดงและก้มหน้าลง เมื่ออีอูยอนเห็นดังนั้นก็จุดยิ้มแปลกๆ ขึ้นที่ริมฝีปาก
“ทำไมครับ คุณเป็นสาวบริสุทธิ์จริงๆ เหรอ ไม่เคยลองทำเลยเหรอครับ”
“…”
“ดูเหมือนคุณจะรักษาความบริสุทธิ์ไว้จนถึงตอนนี้เพราะอยากลองทำกับผมสินะครับ”
“ปะ เปล่านะ…”
ถ้าจะให้พูดอย่างละเอียดก็คือเขาไม่ได้รักษาความบริสุทธิ์ไว้จนถึงตอนนี้เพราะอยากลองทำกับอีอูยอน แต่ที่เขารักษาความบริสุทธิ์มาได้เป็นเพราะเขาไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรจึงไม่สามารถออกเดตกับใครได้ต่างหาก
“คุณอินซอบชอบผมตรงไหนเหรอครับ”
“…”
อินซอบกัดปากแน่ก่อนจะหันหน้าไปด้านข้าง ทันทีที่เขาทำแบบนั้นอีอูยอนก็เอื้อมมือออกมา และรั้งใบหน้าของเขากลับไปหาตัวเอง
“ผมถามว่าชอบผมตรงไหนครับ”
ความเย็นยะเยือกที่รุนแรงผุดขึ้นมาในดวงตาที่กำลังยิ้มของอีอูยอน
อินซอบคิดว่าควรจะตอบว่าอะไรดีก่อนจะตอบไปว่าไหล่ตามที่เห็น
“ทำไมเหรอครับ”
“…เพราะมันกว้าง”
“อ๋อ คราวก่อนถึงได้บอกว่า…”
อีอูยอนแย้มยิ้มเมื่อนึกถึงความทรงจำที่น่ายินดีก่อนจะพูดต่อ
“อยากให้ผมใส่เข้าไปสักครั้งไหมครับ”
“…!”
“น่าเสียดายนะครับ ถ้าเป็นผู้หญิง ผมก็น่าจะช่วยใส่ให้สักครั้ง”
“พะ พะ พอแล้วครับ”
เขาอยากหนีไปจากบรรยากาศแบบนี้ อินซอบกำผ้าห่มไว้ และเดินไปที่โซฟา แต่อีอูยอนกลับเดินตามหลังเขามาอย่างไม่ยอมแพ้
“เคยลองทำตอนที่คิดถึงผมไหมครับ”
“…!”
“ทำตอนที่จินตนาการแบบไหนเหรอครับ”
“มะ ไม่เคยทำครับ เรื่องแบบนั้นน่ะ”
แม้เขาจะส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด แต่อีอูยอนกลับไม่แม้แต่จะแกล้งทำเป็นเชื่อด้วยซ้ำ
“จินตนาการว่าผมยัดเข้าไปทางด้านหลังเหรอครับ คุณช่วยตัวเองคนเดียวตอนที่คิดแบบนั้นใช่ไหมครับ”
อินซอบนั่งอยู่ตรงซอกโซฟา เขาเอาผ้าห่มคลุมจนมิดหัว และแสดงออกว่าเขาไม่อยากจะพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว อีอูยอนจับผ้าห่มไว้ แม้ชเวอินซอบจะปกป้องผ้าห่มด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยพละกำลัง ผ้าห่มของเขาจึงตกไปอยู่ในมือของอีอูยอนทันที
อินซอบที่เปลือยเปล่าลนลานเหมือนคนตกน้ำ และพยายามเอาปลายผ้าห่มมาปิดร่างกายเอาไว้ อีอูยอนผลักเขาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ตอบมาสิครับ ผมจะได้ช่วยทำแบบนั้นให้”
“มะ ไม่เคยทำครับ มะ ไม่เคยทำหรือคิดเรื่องแบบนั้นด้วยครับ”
“ทำไมถึงไม่ทำล่ะครับ ก็คุณบอกว่าชอบผมถึงขนาดนั้นนี่นา”
อินซอบคิดว่าในเวลาสามวันที่สงบสุขนั้นอีอูยอนคงจะปกป้องศักดิ์ศรีอย่างสุดท้ายของตัวเขาไว้ แต่ตอนนี้เขาก็ได้รู้ว่าเขาคิดไปเองทั้งนั้น
“คงไม่ได้จะบอกว่าคุณมีรักอันบริสุทธิ์ทั้งๆ ที่อายุขนาดนั้นแล้วใช่ไหมครับ ว่าแต่มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ ตอนนั้นคุณยังดูดไอ้นั่นของผมอย่างเอร็ดอร่อยอยู่เลย”
อีอูยอนพูดคำพูดหยาบคายออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย เนื่องจากน้ำเสียงที่พูดนั้นอ่อนโยนและนุ่มนวลเป็นอย่างมาก มันจึงห่างไกลจากเนื้อหาที่พูดขึ้นเรื่อยๆ และฟังดูไม่สมจริง
“ขอโทษครับ ผมเป็นแบบนี้เพราะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร เป็นเพราะคุณอินซอบผมถึงตื่นขึ้นมาน่ะครับ”
น้ำเสียงนั่นไม่ได้ฟังดูเหมือนรู้สึกขอโทษเลยสักนิด
“ขอโทษครับ…”
“แล้วผมก็หงุดหงิดเพราะพาผู้หญิงมาที่บ้านไม่ได้เพราะคุณด้วย”
“งั้นก็ปล่อยผม…”
“เชี่ยเอ๊ย ช่วยหุบปากในตอนที่ผมยังพูดด้วยดีๆ เถอะนะครับ”
อีอูยอนโยนผ้าห่มที่ถืออยู่ลงบนพื้น อินซอบสะดุ้งก่อนจะขยับตัวไปที่มุมโซฟา
“ผมจะเชื่อและปล่อยคุณอินซอบไปเฉยๆ ได้ยังไงล่ะครับ”
“งั้นคุณเชื่อผมและให้ผมกลับมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวอีกครั้งได้ยังไงล่ะครับ”
แม้เขาจะกลัวแทบตาย แต่เขาก็ต้องพูดออกไป
“เพราะอย่างนั้นผมถึงขอร้องให้คุณทำให้เชื่อไงครับ”
“…”
“ช่วยโน้มน้าวให้ผมเชื่อว่าคำพูดของคุณเป็นความจริงสิครับ จะใช้วิธีไหนก็ได้”
“ทำไม…ถึงต้องทำแบบนั้นด้วยครับ ผม…บอกว่า…ผมชอบคุณอีอูยอนไงครับ…ถ้าคุณคิดแบบนั้น…มันจะมีอะไรต่างล่ะครับ”
อินซอบถามคำถามที่คิดอยู่ในหัวมาตลอดหลายวันกลับไปด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น อีอูยอนบอกว่า ‘ก็ไม่รู้สิครับ’ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ อินซอบ ตอนนี้อินซอบอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เขาจึงกระวนกระวายจนหัวใจตกไปที่ตาตุ่มทุกครั้งที่อีอูยอนขยับตัว
“จะมีอะไรเปลี่ยนไปงั้นเหรอครับ”
อีอูยอนพึมพำเหมือนพูดคนเดียวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“…”
นั่นเป็นสิ่งที่ผมเพิ่งถามไปยังไงล่ะครับ
เสียงตะโกนด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรมดังขึ้นมาในใจของอินซอบ
อีอูยอนพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า ‘แล้วจะมีอะไรต่างไปนะ’ ในขณะที่มองอินซอบอย่างใจจดใจจ่อ ท่าทางของอีกฝ่ายดูสงสัยเรื่องนั้นจริงๆ อินซอบจึงไม่สามารถรับรู้ถึงข้างในจิตใจของอีอูยอนได้ และข้างในของเขาก็ถูกเผาไหม้มากขึ้นเรื่อยๆ
อีอูยอนนั่งพิงโซฟาและจมอยู่กับความคิดครู่ใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็มองอินซอบด้วยดวงตาที่กลับมายิ้มอย่างนุ่มนวลอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ
“มาลองดูสักตั้งเถอะครับ เพราะผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่าจะมีอะไรต่างออกไป”
***