อีอูยอนใช้มือปิดปากของอินซอบไว้
“กินเข้าไปครับ”
“…!”
“กินเข้าไปให้หมด”
ระบบการย่อยของอินซอบอ่อนแอ แค่อมน้ำกามเอาไว้ในปากตอนนี้เขาก็เหนื่อยจะตายแล้ว แต่อีอูยอนกลับดึงดันขอให้อินซอบกินน้ำกามพวกนั้นเข้าไปให้หมด
“รีบกินเข้าไปเร็วสิครับ ครับ อย่างนั้นแหละครับ”
อีอูยอนทำให้อินซอบอ้าปาก แล้วตรวจดูว่ายังมีน้ำกามเหลืออยู่ข้างในหรือไม่ก่อนจะลูบหัวอินซอบ
“ทีนี้ก็เลียน้ำที่เปื้อนไอ้นั่นของผมด้วยครับ”
“…ต้องทำเหรอครับ”
“เลียทีละหยดเลยนะครับ เลียให้หมดเลย”
อินซอบหลับตาก่อนจะใช้ลิ้นเลียสิ่งนั้นของอีอูยอน รสชาติของน้ำกามที่มีกลิ่นคาวและกลืนได้ยากเริ่มกระจายไปทั่วและทิ้งรสเปรี้ยวไว้ในปาก
อีอูยอนจับหลังศีรษะของอีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อยจนกว่าอินซอบจะใช้ลิ้นเลียน้ำกามที่เปื้อนแท่งเนื้อร้อนของเขาจนหมดแล้ว
“…เสร็จหรือยังครับ”
อินซอบเงยหน้ามองอีอูยอนด้วยสายตาขออนุญาต ทันทีที่สบตากัน อีอูยอนก็ใช้ลิ้นเลียปากตัวเอง การกระทำที่กระตุ้นความรู้สึกทางเพศนั้นทำให้อินซอบหลบสายตาโดยไม่รู้ตัว
“ถึงจะเสียดายนิดหน่อย แต่วันนี้เราพอเท่านี้ก่อนเถอะครับ ยังมีตารางงานอื่นอีก”
ไม่มีวันไหนที่เขารู้สึกขอบคุณตารางงานที่แน่นเอี้ยดของอีอูยอนเท่าวันนี้ ชเวอินซอบลุกขึ้นจากที่ก่อนจะจัดการเสื้อผ้า
ชเวอินซอบที่ย้ายมานั่งตรงที่นั่งคนชับรถแล้วล้างปากด้วยน้ำแร่ที่เตรียมไว้ที่คอนโซล แม้เขาจะล้างปากอยู่หลายรอบ แต่ก็เหมือนจะยังเหลือรสชาติของน้ำกามอยู่ อินซอบจึงขมวดคิ้ว
“คุณอินซอบ”
ครั้นได้ยินเสียงเรียกของอีอูยอนที่ดังมาจากด้านหลัง อินซอบก็สะดุ้งตกใจและหันไปมอง
“ถ้าผมจับได้ว่าคุณลูบไอ้นั่นของผู้ชายคนอื่นต่อหน้าผมอีกครั้งเดียว ผมจะหักมือที่เหลือทิ้งนะครับ”
“…”
“ออกรถเลยครับ”
แล้วรถตู้ที่จอดอยู่ในมุมของลานจอดรถชั้นใต้ดินก็เริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ
***
“ขอบคุณที่ทำงานหนักครับ”
นั่นเป็นคำพูดที่อินซอบมักจะพูดเสมอตอนที่อีอูยอนลงจากรถหลังจากที่เสร็จตารางงานของวันนั้นๆ แล้ว พอพูดคำนี้ออกไปแล้ว อีอูยอนจะต้องกลับเข้าบ้านไปคนเดียวเสมอ แต่วันนี้ต่างออกไป
“ทำอะไรอยู่ครับ ไม่ลงมาล่ะ”
อินซอบลงจากรถอย่างอืดอาด แต่ละก้าวที่เขาเดินตามอีอูยอนไปช่างหนักอึ้ง เขานึกถึงสิ่งที่เคยได้ยินมาจากที่ไหนสักที่ว่าพอเป็นสามีภรรยากันและอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันแล้ว ต่อให้ทะเลาะกัน แต่ก็ยังต้องเดินเข้าไปในบ้านหลังเดียวกันนั้นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจที่สุด แต่พวกเขาไม่ใช่คู่สามีภรรยาและไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันตลอดไป ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สบายใจกับการที่ต้องเดินเข้าไปในที่ที่เดียวกับอีอูยอนหลังเลิกงานเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้นคือหลังจากที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นที่ลานจอดรถเมื่อตอนกลางวัน อินซอบก็ไม่สามารถมองหน้าอีอูยอนตรงๆ ได้ แม้แต่ในลิฟต์อินซอบก็ยืนให้ชิดมุมที่สุด และรอเวลาที่จะได้ออกไปจากพื้นที่เล็กๆ ที่เป็นพื้นที่ปิดแห่งนี้เร็วๆ แต่วินาทีที่เข้ามาในบ้านเขาตระหนักได้ว่าพื้นที่ที่กว้างและเป็นพื้นที่ปิดตายก็กำลังรอเขาอยู่เหมือนกัน
“ทำไมครับ วันนี้ถุงเท้าสกปรกเหรอ ให้ผมอุ้มไปที่ห้องน้ำไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ถุงเท้าสะอาดดี …ไม่สิ ถึงมันจะไม่ได้สะอาดมากก็เถอะ”
อินซอบก้มลงมองถุงเท้าพลางบ่นพึมพำคนเดียวต่อ อินซอบถอดรองเท้าวางไว้อย่างเรียบร้อยก่อนจะเข้ามาในบ้าน
“ผมอาบน้ำนะครับ”
อีอูยอนว่าพลางเดินเข้าไปในห้องด้านใน ห้องน้ำสำหรับแขกที่อยู่ในห้องนั่งเล่นเป็นกรรมสิทธิ์ของอินซอบ พอเข้ามาในห้องน้ำ ชเวอินซอบก็มองภาพของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกอย่างเหม่อลอย
“…ทีนี้นายจะทำยังไงล่ะ”
ถึงจะพึมพำกับตัวเองอย่างนั้น แต่ตัวเขาในกระจกก็ไม่ตอบอะไรกลับมา พอเปิดน้ำอุ่นและเข้าไปยืนใต้ฝักบัวแล้ว ความเหนื่อยล้าก็ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว อินซอบรีบอาบน้ำให้เสร็จ และใส่เสื้อที่ตนถอดวางเอาไว้ เขามองเสื้อที่วางอยู่หน้าห้องน้ำก่อนจะตะโกนออกมาอย่างตกใจ
“นี่มันอะไรเหรอครับ”
“เสื้อไงครับ”
เขาได้ยินคำตอบดังมาจากบริเวณห้องครัว
“สะ เสื้อที่จะให้ผมใส่เหรอครับ”
“จะใส่เสื้อที่ใส่ออกไปข้างนอกในบ้านได้ยังไงล่ะครับ ก็จะต้องส่งไปซักสิ”
“…”
แต่นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ
อินซอบพูดไม่ออกกับความเอาแต่ใจของผู้ชายที่เอาแค่เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ตัวเดียวมาวางไว้ให้ และยืนเหม่ออยู่อย่างนั้น ไม่รู้ด้วยแล้ว อินซอบคิดก่อนจะสวมมันไปทั้งอย่างนั้น ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สวมแม้แต่เส้นด้ายสักเส้น และใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยการเอาผ้าห่มมาห่อตัว นี่มันก็ดีกว่าผ้าห่มนั่นแล้วไม่ใช่เหรอ
แต่พอใส่เสื้อและออกมาที่ห้องนั่งเล่นแล้ว อินซอบก็ต้องเปลี่ยนความคิดของตัวเองในวินาทีที่เห็นใบหน้าของอีอูยอนที่มองตน
“ฮ่าๆๆๆ พอดีเลยนะครับเนี่ย เสื้อนั่นน่ะ”
“…”
“ผมวางไว้ให้แค่นั้นก่อน เพราะท่อนล่างของคุณคงไม่พอดีกับเสื้อผ้าของผม ไว้พรุ่งนี้ผมจะไปซื้อชุดนอนให้ครับ”
ขณะที่พูดแบบนั้น อีอูยอนก็มองขาของอินซอบที่โผล่พ้นชายเสื้อเชิ้ตโดยไม่มีอะไรปิดบังและเผยยิ้ม แม้จะคิดว่าอย่าไปสนใจเลย แต่อินซอบก็เอาแต่ดึงชายเสื้อเชิ้ตลงมาด้านล่างให้มันยาวขึ้นเพราะสายตานั้น
“ดื่มสักแก้วไหมครับ”
อีอูยอนยกไวน์ที่กำลังดื่มอยู่ให้ดูก่อนจะเอ่ยถาม แม้จะไม่ได้ชอบเหล้า แต่อินซอบก็คิดว่าในวันที่หดหูอย่างวันนี้ การเข้านอนโดยพึ่งพาเหล้าก็ไม่ได้แย่อะไรจึงพยักหน้าเบาๆ
อีอูยอนรินไวน์ใส่แก้วไวน์ก่อนจะยื่นให้ อินซอบใช้มือทั้งสองข้างรับแก้วมาถือไว้ และวิเคราะห์รสชาติของไวน์ทีละนิด
“ดื่มเหล้าได้หรือเปล่าครับ”
“ครับ?”
อีอูยอนใช้นิ้วชี้ไปที่รอยแผลผ่าตัดที่อยู่บนหน้าอก อินซอบรีบดึงคอเสื้อมาปิดรอยแผลเป็นจากการผ่าตัด
“ตะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วครับ”
“แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้นเหรอครับ”
“…เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรกแล้วครับ”
“หัวใจไม่สมประกอบ? อะไรแบบนั้นเหรอครับ”
“ครับ”
แม้กระทั่งในระหว่างที่พูดจี้จุดเรื่องบาดแผลของคนอื่น อีอูยอนก็ดูไม่มีความตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนคนคนนี้จะเลิกแสดงต่อหน้าเราแล้วล่ะมั้ง อินซอบถอนหายใจก่อนจะจิบไวน์ไปอึกหนึ่ง
“ตอนนี้หายดีแล้วเหรอครับ”
“ถ้าถามว่าหายดีไหม เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วก็คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่ถึงยังไงตอนนี้ผมก็สามารถใช้ชีวิตเหมือนกับคนอื่นๆ ได้บ้างแล้วครับ”
อินซอบเชื่อว่าเป็นเพราะเจนนี่ เขาคิดเสมอว่าหัวใจที่หยุดเต้นไปแล้วครั้งหนึ่งบนเตียงผ่าตัดกลับมาเต้นอีกครั้งได้ด้วยความตั้งใจของเจนนี่ เพราะฉะนั้นหัวใจนี้ต้องเป็นของขวัญที่เธอมอบให้อย่างแน่นอน
“งั้นก็ห้ามออกกำลังกายหนักเหรอครับ”
“ถึงการออกกำลังกายเบาๆ จะไม่เป็นไร แต่ถ้าหนักมากเกินไป ไม่ว่ายังไงก็อันตรายครับ”
แม้เขาจะได้ยินจากคุณหมอที่แซวเล่นอย่างอารมณ์ดีทุกครั้งที่เข้ารับการตรวจสุขภาพตามกำหนดว่าถ้าเขาดูแลตัวเองแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถอยู่ได้จนถึงอายุร้อยปี แต่หมอก็กำชับเพิ่มเติมทุกครั้งว่าห้ามหักโหมเด็ดขาด
สีหน้าของอีอูยอนดูไม่ค่อยดีแวบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดาะลิ้น
“ที่ผ่านมาคุณขับรถโต้รุ่งได้ยังไงครับ”
“ครับ? เรื่องแค่นั้นมัน…”
“ต่อไปอย่าตามผมไปถ่ายละครโต้รุ่งอีกนะครับ เพราะผมไม่อยากเก็บซากศพในรถตู้ที่ผมนั่ง”
อินซอบลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงหรือแค่แสดงออกว่าเขาไม่อยากเก็บศพกันแน่ จากนั้นอินซอบก็เลือกที่จะกล่าวขอบคุณเพียงเท่านั้น
“ขอบคุณครับ”
อีอูยอนไม่ตอบอะไร ดูเหมือนว่าเขาจะแค่ไม่อยากเก็บศพเฉยๆ อย่างที่คิด
อินซอบนั่งลงตรงมุมโซฟาก่อนจะจิบไวน์โดยไม่พูดอะไร ความเงียบที่น่าอึดอัดใจเกิดขึ้นในห้องนั่งเล่น เขารู้ดีว่าถ้าไม่ใช่ที่ตอนอีอูยอนจะดูหนัง อีกฝ่ายจะไม่เปิดโทรทัศน์ แต่ในเวลาแบบนี้เขาอยากจะเปิดอะไรก็ได้ทิ้งไว้เพื่อปิดกั้นความเงียบนี้
แม้แต่ตอนก่อนที่เขาจะได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีอูยอน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยโต้ตอบกันได้อย่างราบรื่นอยู่แล้ว อีอูยอนไม่ใช่คนพูดมาก ส่วนอินซอบเองก็ไม่คิดที่จะพูดกับอีกฝ่ายเช่นกัน
แต่พอได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายแล้ว ความคิดที่อยากจะพูดคุยด้วยก็หายไปนานมากแล้ว อินซอบหวังให้อีอูยอนเข้าห้องนอนไปก่อนไวๆ
“ไม่นอนเหรอครับ”
“นอนสิครับ”
“แล้วไม่เข้าไปนอนเหรอครับ”
“…ใครเหรอครับ”
“คุณอินซอบไงครับ”
“ทำไมผมต้องเข้าไปด้วยล่ะครับ”
“ก็ห้องนอนมันอยู่ตรงโน้นไงครับ”
อีอูยอนชี้ไปที่ห้องนอน อินซอบมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอย เขาชี้ไปที่โซฟาแล้วบอกว่า ‘ผมจะนอนตรงนี้ครับ’
“ผมเชื่ออะไรได้ถึงจะปล่อยให้คุณอินซอบนอนที่โซฟาครับ คุณอาจจะพังห้องนิรภัยแล้วหนีไปก็ได้ ผมต้องนอนกอดคุณไว้ให้แน่นเพื่อไม่ให้คุณหนีไปได้สิครับ”
“…”
พอเห็นว่าสีเลือดหายไปจากใบหน้าของอินซอบ อีอูยอนก็หัวเราะสั้นๆ ก่อนจะบอกว่า ‘ล้อเล่นครับ’
“แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ต้องนอนข้างล่างเตียงครับ ในที่ที่ผมมองเห็น”
“เข้าใจแล้วครับ”
หากปฏิเสธไปว่าไม่ ก็มีแต่เขาที่จะเปลืองพลังงาน อินซอบยอมรับคำพูดของอีอูยอนอย่างง่ายดาย เมื่อดื่มไวน์เสร็จ อินซอบก็เดินไปที่ห้องนอน เขาวางหมอนลงข้างล่างเตียงก่อนจะนอนลง
พออีอูยอนเดินเข้ามาเห็นว่าอินซอบนอนอยู่ที่พื้น เขาก็สะกิดหลังของอีกฝ่ายโดยใช้เท้า
“…?”
“นอนเอาหัวหันมาอีกด้านสิครับ ให้ผมได้เห็นหน้าของคุณได้”
“…เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบขยับหมอนเพื่อที่จะได้นอนขนานไปกับเตียง อีอูยอนถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออก และวางไว้ที่ปลายเตียง อินซอบนึกถึงนิสัยของอีกฝ่ายที่จะถอดเสื้อนอนขึ้นมาได้ เขาจึงดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดตาอย่างลุกลี้ลุกลน
“แทนที่จะปิดตา คุณต้องมองไม่ใช่เหรอครับ”
“…ฝันดีครับ”
อินซอบหันหลังไปอีกด้านพลางเอ่ยตอบ เขาได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของอีอูยอนที่ดังมาจากบนเตียง พอไฟในห้องนอนถูกปิดลง ความเงียบก็เข้าปกคลุมเหนือศีรษะของคนทั้งคู่อีกครั้ง เสียงลมหายใจดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ในห้องมืดๆ
อินซอบนอนพลิกไปพลิกมาอยู่หลายครั้งพลางคิดถึงเรื่องในอนาคต เราแก้แค้นไม่สำเร็จ แล้วเราจะหนีออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่า พรุ่งนี้เราจะต้องโทรศัพท์ไปที่อเมริกาด้วย แล้วเราจะต้องทำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวันอีกหรือเปล่า นั่นหมายความว่าเราจะต้องทำแต่เรื่องแบบนั้น อีอูยอนถึงจะเชื่อเราหรือเปล่า เฮ้อ…เจนนี่ ทำไมพวกเราต้องมาตกหลุมรักผู้ชายแบบนี้ด้วยนะ คิดถึงวิลจังเลย แม่…ผมจะทำยังไงกับเคทที่ผมวางทิ้งไว้ที่ดาดฟ้าดี ผมจะต้องให้น้ำเธอนะ แม่…ผมอยากหนีไปจัง
ความคิดที่สับสนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันลมหายใจของอินซอบก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย และสม่ำเสมอในที่สุด
อีอูยอนนอนตะแคงอยู่บนเตียงและก้มลงมองอินซอบ หลังจากที่ตรวจดูว่าอินซอบหลับเรียบร้อยแล้ว เขาก็วางหัวลงบนหมอน
วันที่แสนยาวนานกำลังจะจบลงแล้ว
***
“โอ้ คุณอินซอบ”
พอเห็นอินซอบที่ห้องทำงาน หัวหน้าทีมชาก็ทักทายอย่างยินดี
“สวัสดีครับ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ กินข้าวเช้าหรือยัง”
“ครับ กินมาเรียบร้อยแล้วครับ”
“แล้วข้าวเย็นเมื่อวานล่ะ”
“กินแล้วครับ”
“ข้าวกลางวันเมื่อวานล่ะ แล้วเมื่อวานตอนเช้า…ได้กินข้าวก่อนมาหรือเปล่า”
“ครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”
“โอเค”
หัวหน้าทีมชาตบบ่าอินซอบ อินซอบรู้ว่าความนัยที่อยู่ในท่าทางการขยับมือเหล่านั้นคืออะไร เขาจึงก้มหน้าโดยไม่พูดอะไร แม้จะเดาได้ว่าพวกเขาต่างก็รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของอีอูยอน แต่ไม่ยอมพูดออกมา พวกเขาแค่แสดงความขอบคุณในความเหนื่อยล้าของกันและกันจากการปลุกใจที่ไม่มีคำพูดอะไรในทุกครั้งที่เจอกันเท่านั้น
“กินยาแผนโบราณที่ให้ไปคราวก่อนหมดหรือยัง ฉันปรุงให้เพิ่มอีกห่อเอาไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะครับ”
แม้จะตอบอย่างวางท่า แต่อินซอบรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลให้กับจิตใจของหัวหน้าทีมชาที่ดูแลตนอย่างอบอุ่น หัวหน้าทีมชามองอินซอบอย่างเศร้าใจ
เด็กนี่ต้องรู้เรื่องของอีอูยอนแล้วแน่ๆ เห็นได้ชัดเลยว่าชเวอินซอบรู้ความจริงที่ว่าอีอูยอนเป็นไอ้ขยะนิสัยไม่ดีแล้วแน่ๆ เรากับกรรมการผู้จัดการคิมทำอะไรไม่ได้ เพราะตัวผูกติดอยู่กับบริษัท แต่ทำไมเด็กคนนี้ถึงยังอยู่แบบนี้ ไม่ยอมหนีไป…หรือว่าจะโดนเจอจุดอ่อนเข้า
หัวหน้าทีมชาเดาะลิ้นพลางส่ายหน้า วันที่อีอูยอนสั่งให้ยื่นเรื่องเลื่อนการรายงานข่าวและลงหนังสือพิมพ์ที่คิมแฮชินทำงานอยู่ และถือพลั่วออกไปนั้นจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างคนทั้งคู่แน่ๆ แต่ถ้าถามถึงเรื่องนี้ ไอ้อึหมาสันดานไม่ดีอีอูยอนนั่นจะต้องยิ้มหวานแล้วตอบว่า ‘ไม่ต้องยุ่งหรอกครับ’ และชเวอินซอบที่นิสัยดี ใสซื่อ และน่าสงสารก็คงแค่น้ำตาคลอและไม่ยอมพูดอะไรเท่านั้น
ต้องมีเรื่อง ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ