อีอูยอนขยุ้มผมของอินซอบไว้ ส่วนอินซอบก็หอบเหมือนคนที่จะหยุดหายใจในไม่ช้าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมา วินาทีที่สบตากัน อีอูยอนก็ได้รู้ว่าตนเองกำลังจะทำอะไร เขาประทับริมฝีปากลงไป พอชเวอินซอบตกใจปิดปากสนิท อีอูยอนก็กัดริมฝีปากล่างของอีกฝ่ายและบังคับให้อ้าปาก เขาอยากจะครอบครองข้างในนั้น ความรู้สึกในยามที่ลิ้นเล็กๆ เฉียดผ่านและสัมผัสของการโลมเลียซี่ฟันในปากจุดไฟในร่างกายของเขา ภายในปากของอินซอบให้ความรู้สึกดีจนความเสียใจที่ว่าทำไมเขาถึงเพิ่งมาลองชิมมันเอาตอนนี้ถาโถมขึ้นมา
พอจูบยาวนานออกไปเรื่อยๆ ลมหายใจของอินซอบก็ค่อยๆ ขาดห้วง อินซอบหายใจสุดชีวิตเหมือนคนจมน้ำทุกครั้งที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายผละออกไปสั้นๆ ท่าทางนั้นน่ารักเสียจนอีอูยอนไม่ยอมปล่อยอินซอบไปจนอินซอบหายใจหอบและเกือบจะทรุดลงไปจริงๆ
“หะ ฮ่า ดะ…เดี๋ยว หะ…หายใจ”
“ใช้จมูกหายใจก็ได้นี่ครับ”
“อึก แฮ่ก แฮ่ก…”
“ทำไมถึงทำตัวเหมือนคนไม่เคยจูบแบบนั้นล่ะครับ”
ตาของอินซอบแดงขึ้นมา เพราะการเย้าแหย่ของอีอูยอน อีอูยอนเข้าใจความหมายของการเปลี่ยนแปลงนั้นดี เขาจึงยิ้มพลางเอ่ยถาม
“ไม่เคยจูบจริงๆ เหรอครับ”
“…”
“ช่องทางที่เรียกว่ารูของคุณอินซอบเนี่ย ผมได้ชิมเป็นคนแรกหมดเลยสินะครับ”
อีอูยอนทำหน้าพอใจ และเอาปากของตนมาแตะริมฝีปากของอินซอบอีกครั้ง พอริมฝีปากสัมผัสกันเบาๆ จนเกิดเสียงดัง จุ๊บ อินซอบก็หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งพลางก้มหน้าลง อีอูยอนทำตาหยีและยิ้มให้กับภาพของอินซอบที่โดนทำอะไรต่อมิอะไรมาหมดแล้ว แต่ก็ยังหน้าแดงเหมือนเด็กสาวที่เขินอายและทำตัวไม่ถูก
“อ๊ะ…”
พอช่วงล่างขยับในขณะที่ถูกถอดถอนออกมาอย่างยากลำบากอีกครั้ง ไหล่ของอินซอบก็สะดุ้ง อีอูยอนใช้มือลูบไหล่ของเขาพลางกระซิบอย่างอ่อนหวานเหมือนจะทำให้ละลาย ‘คราวนี้เราไปที่เตียงกันไหมครับ’
อินซอบรู้ดีว่าตัวเลือกมีเพียงหนึ่งเดียว เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ ราวกับไม่อยากให้เห็น
***
สติของเขาติดๆ ดับๆ สลับกัน และเขาก็ได้ยินเสียงรอบข้างเบาๆ ยังมีชีวิตอยู่สินะ ยังไม่ตาย แล้วก็ยังมีชีวิตอยู่สินะ ฉันยังมีชีวิตอยู่
ในตอนที่คิดแบบนั้น เขาก็รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจไปทั่วร่าง เขาได้ยินเสียงของแม่เป็นครั้งคราวในสติที่กลับมาอย่างเลือนราง ‘เจนนี่…จะทำยังไงดีล่ะ…แล้วงานศพ…จะต้องบอกปีเตอร์ยังไงดี…’
แม่พูดอะไรกันแน่ เรายังมีชีวิตอยู่แบบนี้ ทำไมถึงพูดเกี่ยวกับงานศพกันล่ะ ผมยังไม่ตายนะครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดเรื่องแบบนั้นก็ได้ครับ…แล้วทำไมแม่ถึงร้องไห้อยู่ตลอดเลยล่ะ
เขาพยายามจะตั้งสติ แต่ตากลับลืมไม่ขึ้น แต่คำพูดก็เข้ามาในหัวเขาอย่างชัดเจนมากกว่าเมื่อกี้
‘เพราะเธอเขียนถึงปีเตอร์ไว้ในจดหมายสั่งเสีย แม่ของเจนนี่ก็เลยสั่งให้ตำรวจสืบสวน…ลูกสาวของตัวเองตายนี่นะ เขาคงอยากจะโยนความโกรธไปที่ไหนสักที่นั่นแหละ แล้วปีเตอร์ผิดอะไรล่ะ พวกเขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของกันและกันนะ…ดังนั้นงานศพจะทำยังไงดี…’
หัวใจของเขาเต้น นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เขาอยากให้ใครก็ได้ช่วยอธิบายอย่างง่ายๆ ให้เขาเข้าใจ แล้วทำไมเราถึงลืมตาไม่ขึ้นล่ะ แล้วทำไมเจนนี่ถึงตาย แล้วตำรวจจะมาทำไม งานศพงั้นเหรอ เจนนี่ตายได้ยังไงล่ะ เดี๋ยวก่อนครับ เดี๋ยวก่อน ใครก็ได้ช่วยอธิบายให้หน่อย…
“…!”
พอเขาเด้งตัวขึ้นมา เขาก็หายใจไม่ออกเหมือนกับมีใครมาบีบคอเขาไว้ เขาจับคอไว้และพยายามหอบหายใจ แต่ก็ยังหายใจไม่สะดวกอยู่ดี หัวใจของเขาเต้นตึกๆ จนมองไม่เห็นข้างหน้า และเขาก็ใช้มือที่สั่นเทาคว้าผ้าปูที่นอนเอาไว้
“เป็นอะไรไหมครับ”
น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้น แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เขาก็ยื่นมือออกไปหาอีกฝ่ายที่เป็นที่พึ่งทางใจเพียงหนึ่งเดียวในความมืดนี้และจับเขาไว้
“ฝันน่ะครับ ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัวนะครับ”
มือใหญ่ๆ นั่นช่วยลูบหัวและตบหลังเขาเบาๆ การกระทำนั้นให้ความรู้สึกปลอดภัยมากจนเขาเผลอเอาหน้าเอาไปซุกกับอีกฝ่าย มือนั้นหยุดไปพักหนึ่งเพราะตกใจกับการกระทำที่กะทันหัน แต่เสียงหัวเราะก็เผยตัวออกมาในทันที เป็นเสียงหัวเราะที่นุ่มนวลและทำให้รู้สึกดี
“ผมมีนิสัยที่ไม่ดีซะแล้วล่ะครับ เพราะเวลาที่ได้เห็นคุณอินซอบกลัว ก็จะคิดว่าสวยขนาดนี้”
อินซอบคือใครกัน เขาเป็นใครนะ อีกฝ่ายถึงได้เรียกอย่างอ่อนโยนขนาดนั้น
เขาพิงไหล่กว้างๆ ของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าไปและคิด …ดีจังนะ คนที่ชื่ออินซอบน่ะ เพราะมีคนที่คอยเรียกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแบบนั้น
“ไม่เป็นไรนะครับ ค่อยๆ หายใจก็ได้ครับ ค่อยๆ นะ คุณอินซอบ ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวนะครับ ทุกอย่างเป็นแค่ฝันครับ”
เขาค่อยๆ หายใจและพ่นลมหายใจออกมาตามที่เสียงนั้นสั่ง หน้าอกที่อึดอัดผ่อนคลายลงเยอะ และการมองเห็นที่ชวนให้เวียนหัวในความมืดก็ชัดเจนขึ้นมาทีละนิด
“ได้สติขึ้นมาบ้างหรือยังครับ”
“…”
“จำได้ไหมครับว่าผมเป็นใคร”
อีอูยอนแตะหน้าผากของอินซอบที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อพลางเอ่ยถาม ชเวอินซอบกะพริบตาอยู่ครั้งสองครั้งในขณะที่มองอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอย
“รู้ไหมครับว่าผมเป็นใคร”
คนที่งดงามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แม้เขาจะนึกชื่ออีกฝ่ายไม่ออก แต่เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคู่นั้นที่มองตนอยู่ เขาจึงพยักหน้าน้อยๆ
“โอเคครับ เก่งมากครับ”
แม้เขาจะไม่รู้ว่าเขาเก่งมากเรื่องอะไร แต่อินซอบก็รู้สึกดีกับมือที่ตบตนเองเบาๆ และหลับตาลงไปอีกครั้งทั้งๆ อย่างนั้น เขาพิงไหล่กว้างนั่นและลมหายใจที่เคยหายใจอย่างรุนแรงก็ค่อยๆ เบาลง
อีอูยอนก้มลงมองอินซอบที่หลับอยู่ในอ้อมกอดของตน ทั่วทั้งตัวของอินซอบเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เพราะอีกฝ่ายฝันถึงฝันร้ายที่น่ากลัวอะไรสักอย่าง อีอูยอนดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้อินซอบ รอจนกระทั่งอินซอบหลับสนิท เขาถึงลุกออกจากเตียงไป อีอูยอนเอาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น และเอามาเช็ดหน้าผากของอินซอบอย่างระมัดระวัง
เพราะพอใจกับสัมผัสอุ่นๆ อินซอบที่นอนหลับอยู่จึงยิ้มเหมือนกับจะออดอ้อนพร้อมกับพลิกตัวมาหา เพราะอีกฝ่ายยิ้มไม่เก่ง เขาถึงไม่รู้ แต่ใบหน้าตอนยิ้มของอีกฝ่ายก็ไม่ได้แย่ ถ้าอีกฝ่ายยิ้มบ้างก็น่าจะดี
เขาพอใจกับใบหน้านั้น อีอูยอนจึงนอนอยู่ข้างๆ อินซอบ และตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ จนกระทั่งแสงของรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
***
“…ไม่ต้องซื้อให้ก็ได้ครับ”
“จะไปฮาวายด้วยชุดแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ ไปลองใส่ตัวอื่นออกมาครับ”
อินซอบหยิบเสื้อผ้าตัวอื่น และเดินเข้าไปในห้องลองชุดตามที่อีอูยอนสั่ง วินาทีที่อีอูยอนเข้ามาในห้างสรรพสินค้า สายตาของคนทั้งหลายก็พุ่งมาที่เขาเป็นตาเดียว ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว เขามีหน้าที่คอยกันคนที่เข้ามามุงออกไป แต่ชเวอินซอบกำลังโดนอีกฝ่ายลากไป และทำได้แค่ลองเปลี่ยนชุดตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
“ไม่เหมาะจริงๆ…”
อินซอบใส่เสื้อผ้าที่อีอูยอนเลือกให้ และมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกที่อยู่ในห้องลองชุด เขาถอนหายใจออกมาโดยอัตโนมัติ เขามีร่างกายที่ต่างจากอีอูยอนที่ไม่ว่าจะใส่ชุดอะไรก็พอดีเหมือนกับเป็นชุดที่ดีไซเนอร์ออกแบบมาเพื่อเจ้าตัวโดยเฉพาะ เขาห่อไหล่ลง เพราะคิดว่าเนื่องจากตัวเองผอมมาก ถ้าใส่เสื้อผ้าสีสันแบบนี้อีก ก็คงจะสะดุดตามากขึ้น
ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะใส่ชุดสูทที่เรียบร้อยเหมือนกับที่ใส่อยู่ตอนนี้ที่ฮาวายด้วย…
“ทำอะไรอยู่ครับ”
“เฮือก…!”
“เปลี่ยนเสร็จแล้วทำไมไม่ออกมาล่ะครับ”
“เอ่อ จะ จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
พอชเวอินซอบหยิบเสื้อขึ้นมาทีละตัวและเดินออกมา อีอูยอนก็ดันเขาเข้าไปในห้องลองชุดอีกครั้ง
“ชุดที่ใส่อยู่ตอนนี้ไม่เหมาะกับคุณเลยครับ เปลี่ยนใหม่ครับ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบคิดว่าโล่งอกไปทีพลางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เขากำลังถอดเสื้อผ้าที่ใส่อยู่อย่างยืดยาด แต่อีอูยอนก็แหวกม่าน และยื่นหน้าเข้ามาด้านในอีกครั้ง
“…! ทำไม ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะครับ”
“ผมคิดว่าคุณถอดหมดเลยดีกว่านะครับ”
”…!”
“รีบเปลี่ยนแล้วออกมาเถอะครับ เราไม่มีเวลาแล้ว”
เสียงหัวเราะของอีอูยอนไกลออกไปพร้อมกับเสียงรองเท้า อินซอบเปลี่ยนชุดกลับไปเป็นชุดที่สวมมา และกล่าวขอโทษพนักงานก่อนจะยิ้มให้
แม้แต่ระหว่างทางที่เดินไปร้านอื่นๆ ภายในห้างสรรพสินค้า สายตาของผู้คนก็ยังจับจ้องมาเรื่อยๆ มีคนที่ถ่ายรูปไปอยู่หลายคน และในระหว่างนั้นก็มีคนที่มีความกล้าพอที่จะเข้ามาขอลายเซ็นด้วย อีอูยอนปฏิเสธการให้ลายเซ็นอย่างสุภาพ และส่งสายตาบอกให้ชเวอินซอบรีบตามมา
“เชิญขะ…ตายแล้ว”
ทันทีที่อีอูยอนเข้าไปในร้านค้า พนักงานที่จำเขาได้ก็อุทานออกมาอย่างตกใจ แม้จะได้รับการอบรมมาว่าต่อให้ดาราที่มีชื่อเสียงขนาดไหนจะเข้ามา ก็ห้ามแสดงท่าทีมากเกินไป หรือห้ามแสดงความรู้สึกเป็นการส่วนตัวออกมา แต่พออีอูยอนปรากฏตัวขึ้น ร้านค้าก็วุ่นวายอย่างช่วยอะไรไม่ได้
“มีอะไรให้ฉันช่วยคะคุณลูกค้า”
“ผมมาเดินดูเฉยๆ น่ะครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยจะรบกวนนะครับ”
“บอกได้เสมอเลยนะคะคุณลูกค้า”
อินซอบคิดว่าเป็นการพูดที่ผสมความชอบส่วนตัวลงไปมากๆ พลางเดินตามหลังอีอูยอนไป
“ตัวนี้เป็นไงครับ”
อีอูยอนเลือกเสื้อตัวหนึ่งมาทาบบนตัวของอินซอบพลางเอ่ยถาม
“ไม่รู้สิครับ”
“ก็ผมไม่รู้นี่ครับว่าคุณมีรสนิยมเรื่องเสื้อผ้าแบบไหน”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
ชเวอินซอบตอบไปตามตรง เขาใส่เสื้อผ้าที่แม่ซื้อให้เกือบจะทั้งหมด และหลังจากที่มาเกาหลีแล้ว เขาก็ใส่แค่สูทสีเข้มเท่านั้น เขาไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่ารสนิยมเกี่ยวกับเสื้อผ้าเลย เขาก็แค่เอาใจใส่กับการเลือกเสื้อผ้าที่เรียบๆ และไม่สะดุดตาที่สุดเท่านั้น
“ใส่สีสว่างๆ หน่อยก็ได้นะครับ แต่ถ้าสว่างมากไปจะไม่เข้า”
“ท่านไหนเป็นคนใส่เหรอคะ ลูกค้าท่านนี้เป็นคนใส่หรือเปล่าคะ”
พนักงานที่สังเกตโอกาสที่จะแทรกเข้ามาพูดว่า ‘นี่แหละ’ พลางชี้ไปที่ชเวอินซอบ อีอูยอนที่ยิ้มไปพลางเลือกเสื้อผ้าไปพลางตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า ‘ครับ’ อินซอบที่แค่ฟังน้ำเสียงของเขา ก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายอารมณ์ดีหรือไม่ดีลอบสังเกตอีอูยอน และมองไปที่พนักงาน
“ลูกค้าน่าจะเหมาะกับโทนสีอุ่นๆ แบบนี้นะคะ เพราะหน้าค่อนข้างขาวและสีผมก็สว่างด้วย เป็นไงคะ”
พนักงานเลือกเสื้อยืดสีเบจมาวางทาบใต้ใบหน้าของอินซอบ
“ไม่…รู้สิครับ”
“ตัวนี้เป็นไงคะ เป็นสินค้าที่เข้ามาใหม่รอบนี้ค่ะ ได้รับกระแสตอบรับดีมากด้วยค่ะ”
“ยะ อย่างนั้นเหรอครับ”
“อยากได้สไตล์แบบไหนเหรอคะ ถ้าคุณลูกค้าบอกมา ดิฉันจะ…”
“ผมจะเลือกเองครับ”
อีอูยอนยิ้มก่อนจะพูดแทรกพนักงาน
“ถ้าบอกมา ฉันจะช่วย…”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะเลือกเองครับ ถ้าต้องการความช่วยเหลือ ผมจะรบกวนนะครับ ขอบคุณครับ”
เป็นคำปฏิเสธที่นุ่มนวล แต่ก็เด็ดขาด พอพนักงานทำท่าทีเสียดายและเดินห่างออกไป อีอูยอนก็เดาะลิ้นด้วยใบหน้าไม่พอใจ
“ออกไปกันเถอะครับ”
แม้จะไม่แน่ใจว่าอะไรที่กวนใจอีกฝ่าย แต่ในเวลานี้การเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ชเวอินซอบก้มหัวให้พนักงานและเดินตามหลังอีอูยอนออกไป
อินซอบมองแผ่นหลังของอีอูยอนที่เดินเนิบๆ อยู่ข้างหน้า และพูดเหมือนกับพึมพำ
“ขอโทษครับ”
“ครับ?”
“ขอโทษครับ คุณ…ตั้งใจจะซื้อเสื้อให้ด้วยความตั้งใจดี แต่เพราะผมเป็นแบบนี้ พวกเสื้อผ้าก็เลยไม่เหมาะกับผมหมดเลย”
“คุณอินซอบเป็นยังไงเหรอครับ”
“…”
พอต้องมาโต้เถียงเกี่ยวเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกต่อหน้าผู้ชายที่มักจะถูกเลือกทุกครั้งที่มีการเลือกนักแสดงที่มีใบหน้างดงามที่สุดในประเทศของเราแล้ว อินซอบก็ทำได้แค่เป็นทุกข์
“เป็นยังไงเหรอครับ”
“…น่าเกลียด…”
เขาไม่สามารถพูดคำต่อไปออกมาได้ แค่มองความแตกต่างของส่วนสูงที่สะท้อนในดิสเพลย์ของร้านต่างๆ เขาก็ต่างกับอีอูยอนราวฟ้ากับเหวแล้ว
“คุณอินซอบสวยนะครับ”
“…!”
“ตอนร้องไห้”
อินซอบทำตัวไม่ถูกกับคำพูดที่อีกฝ่ายพูดเสริมอย่างมีความหมายลึกซึ้งพลางทำคอตก อีอูยอนเดินเข้าไปด้านข้างของอินซอบ และรั้งใบหน้าของเขาหันไปทางด้านดิสเพลย์ของร้าน
“ดูสิครับว่าน่าเกลียดตรงไหน”
“…”
“ตาก็โต จมูกกับปากก็น่ารักออกครับ”
“มะ ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องปลอบกันก็ได้ครับ”
อินซอบจับมือของอีอูยอนออกก่อนจะหันหน้าหนี อีอูยอนหัวเราะพร้อมกับเริ่มเดินอีกครั้ง สายตาของคนส่วนใหญ่ก็ขยับไปตามร่างของอีอูยอน
ชเวอินซอบจึงรีบเดินตามหลังอีกฝ่ายไป