หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – ตอนที่ 591

ตอนที่ 591

บทที่ 591 ทำให้ถูกต้อง!
ขณะที่เกมกำลังเป็นที่โจษจันนั้น เครือข่ายวิญญาณก็เป็นที่นิยมขึ้นเช่นกัน จนอาจพูดได้ว่าภายในเวลาไม่กี่เดือน สหพันธรัฐได้เปลี่ยนสำนักวังเต๋าไพศาลไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เรียกได้ว่าเป็นการแทรกซึมเข้าไปในสำนักอย่างแท้จริง เป้าหมายที่ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพได้บอกไว้ในตอนที่เพิ่งมาถึงนั้น ได้กลายเป็นจริงแล้ว!

ท่านต้องการให้วัฒนธรรมและคนของสหพันธรัฐแทรกตัวอยู่ในทุกอณูของสำนักวังเต๋าไพศาล จนตัวสำนักเองกำจัดสหพันธรัฐออกไปไม่ได้!

แผนการของท่าน รวมถึงความสำเร็จของเครือข่ายวิญญาณ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ในคุณภาพชีวิตของศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขาไม่ออกจากบ้านเพื่อรับข่าวสารหรือซุบซิบนินทาภายในสำนักอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีความบันเทิง เครื่องมือสื่อสารพูดคุยกับสหาย และบริการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างศิษย์ของสำนัก ภายในเครือข่ายวิญญาณอีกด้วย นวัตกรรมใหม่เหล่านี้ทำให้ชีวิตของศิษย์ทุกคนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีผลอะไรกับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐแม้แต่น้อย เพราะแม้ว่าพวกเขาจะมีความอยากเล่นเครือข่ายวิญญาณอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงพอที่จะทำให้หมกตัวอยู่แต่ในบ้านเหมือนคนอื่น นี่ก็เพราะแม้ว่าสหพันธรัฐจะด้อยกว่าสำนักวังเต๋าไพศาลในแง่ของการฝึกปราณ แต่ชีวิตประจำวันของพวกเขาสนุกสนานและมีอะไรให้ทำเยอะกว่ามาก เนื่องจากสหพันธรัฐนั้นมีอารยธรรมและนวัตกรรมหลากหลายจากทั้งอาณาจักร แต่สำนักวังเต๋าไพศาลนั้นมีสมาชิกไม่มาก และวัฒนธรรมของพวกเขาก็ยังถือว่าตามหลังสหพันธรัฐอยู่ แน่นอนว่าก่อนหน้าที่สำนักดั้งเดิมยังคงอยู่นั้น สำนักวังเต๋าไพศาลถือว่าก้าวหน้ามากกว่าใครเพื่อน แต่การล่มสลายของสำนักก็ทำให้พวกเขาล้าหลังอยู่หลายสิบปีได้

ด้วยเหตุนี้ การปะทะกันของสองอารยธรรมจึงมีผลต่อศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลมาก นวัตกรรมของสหพันธรัฐทำให้ชีวิตของพวกเขาสบายขึ้น และยังทำให้สหพันธรัฐฝังรากลึกลงไปในสำนักอีกด้วย

ภารกิจถัดมาที่ประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพต้องทำให้ได้ คือการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอย่างลับๆ นอกจากนี้ ท่านยังต้องทำหน้าที่ปกป้องความสัมพันธ์ระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลอีกด้วย ท่านประมุขสำนักต้องใช้เวลาสร้างไมตรีจิตกับผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักวังเต๋าไพศาล ทั้งยังต้องฝึกปราณของตนเองไปด้วย โดยบัดนี้ปราณของท่านเข้าใกล้การบรรลุขั้นจุติวิญญาณเข้าไปทุกที

เมื่อเกมของเขาเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อก็เริ่มกระเป๋าตุงขึ้นเป็นเงาตามตัว ชีวิตของชายหนุ่มสะดวกสบายขึ้นอย่างเสียไม่ได้ กระนั้นเขาเองก็เลือกที่จะยังไม่ส่งกระบวนเวทกลับไปในทันที แต่แลกแต้มการรบจำนวนมากเป็นวัตถุดิบการหลอมอาวุธเวทเสียก่อน

วัตถุดิบจำนวนมากเหล่านี้มีไว้เพื่อใช้ปรับปรุงฝักกระบี่ภายในกายเขา กระนั้นหวังเป่าเล่อกลับไม่กล้าเริ่มกระบวนการหลอม เนื่องจากยังไม่มั่นใจมากพอ เขาลองวิเคราะห์ดูแล้วก็พบว่า หากเขาทำพลาดฝักกระบี่จะเสียหายอย่างรุนแรง เมื่อก่อนหน้าชายหนุ่มไม่ทราบเรื่องนี้ จนได้ต่อสู้กับตู้กูหลินด้วยฝักกระบี่ภายในกาย พลังดุร้ายรุนแรงที่ฝักกระบี่แผ่ออกมาระหว่างการต่อสู้นั้น ทำให้ชายหนุ่มตระหนักแล้วว่าสมบัติเวทชิ้นนี้สำคัญถึงเพียงใด

ยิ่งเขารู้ว่าฝักกระบี่นี้ล้ำค่ามาก เขาก็ยิ่งไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจหลอมอาวุธเวทระดับแปดก่อน หากทำสำเร็จและมั่นใจมากพอ เขาจึงจะเริ่มปรับปรุงฝักกระบี่ต่อไป

ขณะที่ธุรกิจเกมของหวังเป่าเล่อกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากนั้น จินตั้วหมิงที่เห็นปริมาณกำไรที่หลั่งไหลเข้ากระเป๋าหวังเป่าเล่อ ก็นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกต่อไป เขาไม่รู้จักเซี่ยไห่หยางมาก่อนหน้านี้ แต่เพิ่งมารู้จักชายหนุ่มผู้ทรงอำนาจคนนี้ผ่านเกมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จินตั้วหมิงจึงไม่ทราบว่าเซี่ยไห่หยางเคยศึกษาที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ความจริงข้อนี้มีแต่ศิษย์จากสำนักเท่านั้นที่จะทราบ นอกจากนี้ตัวเซี่ยไห่หยางเองยังเป็นคนลึกลับมาก จนมีแต่หวังเป่าเล่อเท่านั้นที่รู้จักเขาดีที่สุด จากบรรดาพันธุ์กล้าทั้งหมด

แม้แต่จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเองยังทำได้เพียงเดาเท่านั้น แต่ก็ไม่กล้าพิสูจน์ความจริง เนื่องจากต้องระวังเอาไว้ก่อน

จินตั้วหมิงไม่ทราบข้อมูลอะไรมากเกี่ยวกับตัวเซี่ยไห่หยาง ต่อให้เขาพยายามหาข้อมูลก็ได้กลับมาไม่มากนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจถามหวังเป่าเล่อเองไปเลย

จินตั้วหมิงยังไม่กล้าพอ… ที่จะพุ่งเป้าไปที่กำไรที่หวังเป่าเล่อทำได้จากเกม แต่เขาก็ยังต้องการบางสิ่งจากเซี่ยไห่หยาง และต้องการบางอย่างจากชายหนุ่ม…

“เซี่ยไห่หยางนะหรือ” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองจินตั้วหมิงที่นั่งยิ้มอยู่เบื้องหน้าเขา ชายหนุ่มวางขวดน้ำเย็นหล่อวิญญาณในมือลง เขาไม่ได้มองจินตั้วหมิงในแง่ลบแม้แต่น้อย แม้ทั้งสองจะต้องแข่งขันกันและมีบางเรื่องที่ต้องปะทะกันบ้าง แต่ชายหนุ่มก็คิดว่านี่เป็นเพราะแผนการของต้วนมู่ฉือเท่านั้น นอกจากนี้ชายหนุ่มยังมั่นใจว่าตนเองจะชนะ เมื่อดูรายรับที่เกมกำลังสร้างให้เขา และขั้นปราณของตนที่สูงกว่าจนจินตั้วหมิงเทียบไม่ติด ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนเองสามารถเอาชนะจินตั้วหมิงเมื่อใดก็ที่ต้องการ

ส่วนตัวทายาทของกลุ่มไตรจันทราเองนั้น ก็รู้วิธีการจัดการกับความสัมพันธ์ฉันมิตรเป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อยิ้มตอบจินตั้วหมิง อัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงที่เขาเพียรอ่านมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าโลกนี้ไม่ได้หมุนรอบตัวคนๆ เดียว เขาไม่ควรคิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

หวังเป่าเล่อผลักความคิดของตนไปเสีย ก่อนคิดถึงพื้นเพของเซี่ยไห่หยาง รวมถึงความสงสัยในตัวชายหนุ่มที่เขารู้สึก ก่อนจะยอมบอกจินตั้วหมิงไปแต่โดยดี

“หมิงน้อย เซี่ยไห่หยางเป็นชายที่ลึกลับซับซ้อนนัก ข้าเองก็ไม่เข้าใจเขาอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นกัน ข้ารู้เพียงแต่ว่าเขาได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแรงจากสำนักวังเต๋าไพศาล จึงขอแนะนำว่าเจ้าไม่ควรไปยุ่งกับเขา มิเช่นนั้นอาจเดือดร้อนได้” หวังเป่าเล่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้า

สายตานั้นทำให้จิตใจของจินตั้วหมิงสั่นสะเทือน แม้จะอยากเป็นประธานสหพันธรัฐ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ต้องการทำให้หวังเป่าเล่อไม่พอใจเช่นกัน สิ่งที่เขาคิดไว้คือ หากวันหนึ่งเขาได้เป็นประธานสหพันธรัฐขึ้นมาจริงๆ เขาจะสละสิทธิ์นั้นเสีย ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก และคิดถึงเพียงแต่ว่าหากตนเองสละตำแหน่งแล้ว หวังเป่าเล่อจะเป็นหนี้เขามากเพียงใด เท่านั้นก็คงเพียงพอแล้วที่จะทำให้ชีวิตในสหพันธรัฐของเขาสุขสบายตลอดไป

ด้วยเหตุนี้จินตั้วหมิงจึงเชื่อทุกสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูด ท่ามกลางความเงียบที่เข้าปกคลุม ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะไม่ขุดค้นเบื้องหลังของเซี่ยไห่หยางอีกต่อไป เพราะหากเจ้าตัวมาทราบเข้าก็อาจเข้าใจผิดกันได้ จินตั้วหมิงหายใจเข้าลึก ก่อนโค้งคำนับพร้อมทำมือคราวะหวังเป่าเล่อเพื่อแสดงคำขอบคุณ เขาพูดคุยกับหวังเป่าเล่อต่ออีกสั้นๆ ก่อนจะหยิบเอาวัตถุดิบการหลอมอาวุธเวทออกมาจากกระเป๋า และส่งให้ชายหนุ่ม

“เป่าเล่อ ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้เจ้าซื้อวัตถุดิบการหลอมไปเป็นจำนวนมาก ข้าก็มีอยู่บ้างเช่นกัน เจ้าเอาไปใช้ก่อนเถิด”

หวังเป่าเล่อมองวัตถุดิบตรงหน้าและรู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย นี่ก็เพราะวัตถุดิบเหล่านี้มาจากสหพันธรัฐ ไม่ใช่สำนักวังเต๋าไพศาล นอกจากนี้เป็นสิ่งที่แพงจับใจมาก และต้องใช้ในการหลอมอาวุธเวทระดับเก้าอีกด้วย

ชายหนุ่มจึงหัวเราะออกมา และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตนเองต้องการของตรงหน้า เขารับของนั้นเอาไว้ ก่อนบอกลาจินตั้วหมิงเพื่อเริ่มถือสันโดษทันที อาทิตย์หนึ่งเดินหน้าผ่านไป ขณะที่พลังปราณในตัวชายหนุ่มกำลังเพิ่มขึ้นสูงนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นจากการนั่งสมาธิ รู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมใจอย่างบรรยายไม่ถูกที่แผ่ออกมาจากร่าง

ความรู้สึกนั้นทำให้หวังเป่าเล่อรู้ว่า ตนเองได้ทำให้พลังปราณที่พุ่งสูงขึ้นจากพลังของเมล็ดแห่งการดูดกลืน เสถียรได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในจุดสูงสุดของระดับกำเนิดแก่นในขั้นปลาย โดยห่างจากขั้นสมบูรณ์แบบอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น!

ในเวลาเดียวกันนั้น ตัวเขาเองก็เข้าใจกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงมากขึ้น ชายหนุ่มเดินหน้าฝึกวิชาต่อไปอีกสองสามวัน จนบรรลุขั้นที่สามของกระบวนเวทนี้ได้ในที่สุด!

หวังเป่าเล่อสร้างผนึกมือ ร่างที่ซ้อนทับกับตัวเขาก็แยกออกจากร่างที่แท้จริงในทันที ร่างอวตารสายฟ้าที่ก้าวออกมานั้น เหมือนกันหวังเป่าเล่อทุกกระเบียดนิ้ว แม้กระทั่งทุกอณูของเลือดและกระดูก จนแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร

ร่างอวตารสายฟ้านั้นก็มีพลังจากเมล็ดแห่งการดูดกลืนอยู่ด้วยเช่นกัน จนแทบจะเหมือนหวังเป่าเล่ออีกคนหนึ่งเลยทีเดียว

ชายหนุ่มมองร่างอวตารตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น เขาควบคุมร่างนั้นให้พุ่งทะยานออกจากถ้ำที่พัก และเหาะออกไปไกล เมื่อร่างนั้นห่างออกไปไกลหลายพันเมตรจนถึงขีดจำกัก ชายหนุ่มก็พึมพำออกคำสั่งในใจทันที

อัสนีตีจาก!

ทันทีที่เอ่ยจบ ร่างอวตารก็พลันพร่ามัว ภายในพริบตาเดียว ร่างจริงของหวังเป่าเล่อก็สลับกับร่างอวตารที่เขาสร้างขึ้น ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นเหนือทะเลเพลิงร้อนระอุแทบเท้า

หวังเป่าเล่อทดลองดูอีกหลายครั้งจนพอใจ เมื่อกลับมาถึงถ้ำที่พักเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มก็อดไม่ได้หัวเราะเบาๆ ด้วยใจเป็นสุข

ข้าสลับตัวกับร่างอวตารของตนเองได้ด้วยวิชาอัสนีตีจากเป็นที่เรียบร้อย แปลว่าพลังการต่อสู้ของข้าก็แข็งแกร่งขึ้นไปอีก! เมื่อนึกถึงกระบวนเวทเหนือความคาดหมายมากมายที่ตนเองครอบครอง ชายหนุ่มนั่งลงทำสมาธิด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเริ่มใช้วิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิลักอัคคี

แม้ขั้นที่สองของวิชานี้จะยากมาก แต่เขาก็เริ่มเข้าใจมันมากขึ้นเมื่อศึกษาไปสักพัก ในตอนนี้เส้นปราณสีเลือดที่พุ่งออกจากตัวเขาเริ่มมีด้ายสีขาวปกคลุมอยู่ ด้ายสีขาวนั้นมีไม่มาก แต่เขาก็รู้ว่าเป็นสัญญาณว่ากระดูกกำลังเริ่มก่อตัวขึ้น

ขาดก็แต่เพียงการเฝ้าเพียรฝึกอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อให้กระดูกที่สมบูรณ์ถือกำเนิดขึ้นเท่านั้น วิชาระดับที่สองของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิจะสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อเขาทำขั้นตอนนี้สำเร็จเท่านั้น

ข้าต้องค่อยเป็นค่อยไป… นอกเสียจากว่าจะมีวิธีลัดเหมือนตอนที่ข้าใช้วิชาลักอัคคี ในการบรรลุขั้นแรกของวิชาเกราะจักรพรรดิ… หวังเป่าเล่อรีบตรวจดูเกราะจักรพรรดิของตนเองในทันที เขามีหลายวิธีที่คิดเอาไว้ในใจ แต่ก็ตัดทิ้งไปแทบหมดสิ้น

ช่างมันเถิด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ข้าก็แข็งแกร่งกว่าตอนที่เข้าแข่งขันเมื่อก่อนหน้าอยู่มากแล้ว! ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนหยิบเอากลีบดอกไม้ออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บของตน กลีบดอกไม้นั้นคือสิ่งที่เขาหยิบมาจากบุปผาห้าสีของตู้กูหลิน หลังจากการประลอง ตู้กูหลินไม่ได้ขอคืน ส่วนหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้นำกลับไปให้

หลังจากที่สำรวจอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็หยิบเอาเหรียญทองแดงออกมาหนึ่งเหรียญ ประกายประหลาดแวบเข้ามาในดวงตาขณะมองเหรียญนั้น

“ข้าต้องเดินหน้าทำความเข้าใจเจ้าวัตถุประหลาดนี้ต่อไป แล้วก็ต้องซ่อมหอกสีดำด้วย…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก เริ่มเตรียมการหลอมอาวุธเวทของตนเองทันที ก่อนที่ประตูตำหนักวังบูชาจะเปิดออก

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท