“ร้านเมื่อกี้ก็ใช้ได้นะครับ”
“หมายถึงร้านไหนเหรอครับ”
“ร้านที่เพิ่งออกมาเมื่อกี้น่ะครับ”
“เป็นร้านที่ออกมาเพราะไม่ถูกใจไม่ใช่เหรอครับ”
“ไม่พอใจพนักงานต่างหากครับ”
ชเวอินซอบเอียงคอด้วยความสงสัยก่อนจะพึมพำว่า ‘เธอก็ใจดีนี่นา’
“เพราะแบบนั้นแหละครับผมถึงไม่พอใจ เสื้อผ้าของคุณอินซอบน่ะ ผมจะต้องเป็นคนเลือกนะครับ ผมกำลังเลือกเองอยู่เลย”
“การที่พนักงานเลือกเสื้อผ้าให้มันแย่เหรอครับ”
“เดิมทีคนที่จะจับถอดก็ต้องเป็นคนเลือกให้สิครับ”
ชเวอินซอบรู้สึกแขยงก่อนจะหันไปมองรอบๆ โชคดีที่ไม่มีคนยืนอยู่ในระยะที่น่าจะได้ยินบทสนทนาของพวกเขาทั้งสองคน
“อย่าบอกนะครับว่าคุณอินซอบคิดว่าผมจะซื้อเสื้อผ้าให้ด้วยเจตนาที่ดีจริงๆ”
“…ขอโทษครับ คุณไม่ใช่คนแบบนั้น แต่…”
“ครับ ผมไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอนอยู่แล้วครับ ฮ่าๆๆ”
ขณะที่กำลังหัวเราะ อีอูยอนก็ได้ยินโทรศัพท์ดังออกมาจากกระเป๋า เขาจึงพูดว่า ‘แป๊บหนึ่งนะครับ’ เพื่อรับโทรศัพท์
พวกพนักงานในร้านใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปเขาขณะที่รับโทรศัพท์อยู่ไกลๆ อินซอบถอยไปยืนข้างหลังก้าวหนึ่งเพื่อไม่ให้ตัวเองโผล่เข้าไปในรูป จู่ๆ สีหน้าของอีอูยอนที่ยิ้มขณะคุยโทรศัพท์ก็จริงจังขึ้น แม้จะเป็นห่วง แต่อินซอบก็ไม่สามารถเข้าไปหาได้ จึงได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น
อีอูยอนพูดว่า ‘ทราบแล้วครับ’ ก่อนจะวางสายไป
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“บรรณาธิการของนิตยสารชวนให้ไปเจอกันครู่หนึ่ง เพราะการถ่ายทำในวันพรุ่งนี้น่ะครับ”
“งั้นผมจะไปเตรียมรถไว้ให้ครับ”
อินซอบคิดว่าโล่งอกไปทีที่การช้อปปิ้งจบลงแค่นี้ แต่อีอูยอนกลับส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอกครับ เหมือนจะคุยกันแค่สี่สิบถึงห้าสิบนาทีเอง เพราะเขาบอกให้ไปเจอแถวๆ นี้”
“ครับ งั้นจะไปที่ไหนดีครับ”
อีอูยอนยิ้มพลางหยิบการ์ดในกระเป๋าสตางค์ออกมายื่นให้อินซอบ
“ช้อปปิ้งต่อไปเถอะครับ เพราะเป็นแค่การพูดคุยที่คุณอินซอบน่าจะเบื่อ”
“ไม่ครับ พอแล้วล่ะครับ แค่นี้ก็พอแล้ว”
ถุงช้อปปิ้งที่อินซอบกำลังถืออยู่มีแค่สามใบ เขาไม่อยากได้เสื้อผ้ามากไปกว่านี้ และเขาก็เกลียดการที่จะต้องซื้อของด้วยการ์ดของอีอูยอนยิ่งกว่า
“ซื้อเพิ่มอีกครับ”
อีอูยอนยัดการ์ดใส่กระเป๋าของอินซอบก่อนจะก้มหน้าลงมากระซิบ ‘ผมสนุกกับการได้ถอดครับ’
อินซอบยืนนิ่งอยู่กับที่ทั้งๆ ที่หน้าแดงซ่าน อีอูยอนมองนาฬิกาพลางพูดต่อ
“งั้นเจอกันตอนห้าโมงนะครับ เจอกันที่ไหนดีครับ”
เขาจะต้องจัดแจงสถานที่นัดให้ชัดเจน เพราะชเวอินซอบไม่มีโทรศัพท์มือถือ อินซอบมองไปรอบๆ พักหนึ่ง เขาเจอร้านหนังสือเลยตอบว่า ‘ตรงนั้นแล้วกันครับ’
“ได้ครับ งั้นรอตรงหน้านั้นตอนห้าโมงนะครับ”
อีอูยอนบอกเวลานัดอีกครั้งหนึ่งก่อนจะหายไป อินซอบที่รับการ์ดมาครุ่นคิดว่าจะต้องซื้อเสื้อผ้าอะไรเพิ่มดี และก็ตัดสินใจว่าซื้อเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว หลังจากซื้อเสื้อยืดสีขาวเรียบๆ ที่ต่อให้ใครใส่ก็ไม่สะดุดตาคนมาแล้ว อินซอบก็ตรวจดูเวลา
เหลือเวลาอีกตั้งสามสิบนาทีกว่าจะถึงเวลาห้าโมงที่นัดกับอีอูยอนไว้ อินซอบเดินเข้าไปในร้านหนังสือกะว่าซื้อหนังสือสักเล่มน่าจะดี เขาเจอมุมท่องเที่ยว และหยุดอยู่ตรงนั้น
“ฮาวาย…”
เขาเลือกหนังสือที่มีตัวอักษรเขียนว่าฮาวายอยู่บนพื้นหลังหลากสีสันมาเล่มหนึ่ง พรุ่งนี้เขาจะได้ไปฮาวายเพื่อการถ่ายแบบนิตยสารของอีอูยอน
ฮาวายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เขาคิดว่าอยากจะไปให้ได้สักครั้งในสักวันหนึ่งเมื่อเขาอ่านบันทึกการเดินทางของผู้คนที่ได้เดินทางไปเที่ยวทุกที่บนโลกในตอนเด็กๆ อินซอบกางหนังสือออก และไล่มองรูปที่ตีพิมพ์ลงในนั้น เขามองรูปเกี่ยวกับชายหาดที่งดงามและสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ และเริ่มอ่านคำอธิบายที่เขียนอยู่ข้างใต้รูป
ในตอนที่เขากำลังอ่านคำอธิบายเกี่ยวกับอาหารที่จะต้องกินตอนไปฮาวาย ใครบางคนก็แย่งหนังสือที่เขาถืออยู่ออกไป
“…!”
“การสนุกกับฮาวายเป็นร้อยเท่าเหรอ จะต้องสนุกยังไงล่ะเนี่ยถึงได้สนุกเป็นร้อยเท่าน่ะครับ”
อีอูยอนยิ้มพลางพลิกหน้าหนังสือที่อินซอบกำลังถืออยู่ คนที่อยู่ในร้านหนังสือส่งเสียงเอะอะพลางมองมาทางพวกเขา
“ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าเวลา…”
พออินซอบมองนาฬิกา มันก็เลยเวลาห้าโมงที่นัดกันไว้มายี่สิบนาทีแล้ว
“เจอแล้วครับ”
“ขอโทษครับ”
“เพราะไม่มีโทรศัพท์มือถือ ก็เลยไม่ค่อยสะดวกสินะครับ”
ความโกรธของอีอูยอนพลุ่งพล่านขึ้นมาจนถึงหัว เพราะอินซอบไม่โผล่มาหน้าร้านหนังสือที่นัดกันไว้ เขาเดินวนไปวนมาแถวนั้นตั้งสามรอบ เขาทำแม้กระทั่งเดินเข้าไปทุกร้าน และถามว่าคนที่มาด้วยกันกับเขาเข้ามาบ้างไหม ไม่มีใครจดจำการมีตัวตนของผู้จัดการส่วนตัวผู้เก็บตัวที่มาพร้อมกับอีอูยอนได้เลย อีอูยอนคิดว่าถ้าจับได้ เขาจะหักขาของอีกฝ่ายทิ้ง และเดินกลับมาหน้าร้านหนังสือที่นัดกันไว้เป็นครั้งสุดท้าย พอเดินเข้ามาด้วยความคิดที่ว่าอาจจะเจอ ภาพของชเวอินซอบที่กำลังอ่านหนังสือด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กอยู่ตรงมุมหนังสือท่องเที่ยวก็โผล่เข้ามาในสายตาเขา อีอูยอนคิดว่าค่อยไปโกรธที่บ้าน และเดินไปหาอินซอบ
“ผมอ่านหนังสืออยู่…ขอโทษจริงๆ ครับ”
อีอูยอนยื่นหนังสือคืนให้อินซอบ พอเห็นว่าอินซอบวางมันลงที่ชั้นวางหนังสืออีกครั้ง อีอูยอนก็เอ่ยถามเหมือนกับสงสัย
“ไม่ซื้อเหรอครับ”
“ครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ได้จะไปเที่ยวอยู่แล้ว”
“ถ่ายเสร็จแล้วจะไปเที่ยวกันหนึ่งวันครับ”
“…”
อีอูยอนหยิบหนังสือที่อินซอบวางลงไปขึ้นมา
“ไม่ต้องซื้อก็ได้ครับ!”
“ผมจะอ่านครับ”
พอเขาถือหนังสือไปคิดเงิน คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็เข้ามามุงเหมือนกับกลุ่มเมฆ พนักงานคิดเงินใช้เครื่องสแกนยิงบาร์โค้ดทั้งๆ ที่ทำตาโตด้วยความตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอีอูยอน
“ขอบคุณครับ”
เมื่อคิดเงินเสร็จแล้ว อีอูยอนก็รับหนังสือและเดินออกไปจากร้านหนังสือ ผู้คนขยับตามหลังเขาเป็นพรวน อีอูยอนไม่สนใจคนที่เดินตามหลังตนเลยสักนิด และพูดกับอินซอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ไปฮาวายครั้งแรกเหรอครับ”
“ครับ”
“เป็นที่ที่ใช้ได้เลยล่ะครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยไปถ่ายหนังอยู่ครั้งหนึ่ง ก็น่าไปดูอยู่นะครับ มีที่ที่อยากไปไหมครับ”
“ผมไม่รู้เลยครับ เพราะเป็นครั้งแรก”
อีอูยอนยื่นหนังสือที่คิดเงินเสร็จแล้วให้อินซอบขณะลงบันไดเลื่อน
“ลองอ่านดูนะครับ แล้วพรุ่งนี้ก็บอกที่ที่อยากไปมาที่หนึ่ง”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงซะวันสุดท้ายก็มีเวลาว่างทั้งวันอยู่แล้ว”
“…”
แม้จะรับหนังสือมา แต่อินซอบก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ช่วงนี้เขามักจะทำตัวไม่ถูกทุกครั้งที่อีอูยอนทำดีกับเขาแบบนี้ แม้จะสับสน แต่ก็รู้สึกดี แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็คิดว่านี่ตัวเราเป็นคนแบบนี้เหรอ และรู้สึกผิดกับเจนนี่และอีอูยอน
“ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ”
“เปล่าครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามอินซอบอย่างไม่ยอมแพ้ ในขณะที่พวกเขาออกมาจากชั้นหนึ่งของห้างสรรพสินค้าและกำลังเดินไปที่ลานจอดรถ
“ไม่ก็ไม่ครับ แต่ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ”
“เปล่าครับ ผมไม่เป็นไรครับ”
“แต่หน้าคุณไม่ได้ดูไม่เป็นไรสักนิดเลยนะครับ ทำไมครับ พอผมทำดีด้วยแล้วอารมณ์ไม่ดีเหรอ”
“…”
เขาจะต้องตอบว่าไม่ออกไปทันที แต่อินซอบก็พลาดช่วงเวลานั้น อีอูยอนแสร้งหัวเราะเสียงต่ำก่อนจะพูดต่อ
“ทำให้คนอารมณ์เสียเก่งจริงๆ เลยนะครับ ผมอุตส่าห์สละเวลาพามาที่ห้าง ซื้อเสื้อผ้าให้ ซื้อหนังสือให้ แล้วก็ให้เลือกที่ที่อยากไปด้วย แต่คุณกลับมาทำหน้าตาแบบนั้น”
“…ขอโทษครับ”
ชเวอินซอบไม่มีทางไม่รู้ว่าความจริงแล้วอีอูยอนตั้งใจแบ่งเวลามาที่ห้างสรรพสินค้า เพราะเขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่จัดการตารางงานของอีกฝ่าย
“ต่อให้อารมณ์ไม่ดีก็ต้องยิ้มสิครับ เวลาหนึ่งเดือนที่ตกลงกันไว้เหลืออีกไม่ถึงสองสัปดาห์แล้วนะครับ ลืมเหรอครับ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
“ให้ตายเถอะ ทำตัวน่าเบื่อจริงๆ เลยนะครับ”
อีอูยอนถอนหายใจก่อนจะเดินนำไปข้างหน้า ชเวอินซอบรู้สึกหนักใจยิ่งกว่าเมื่อสักครู่นี้ ตอนที่เดินเข้าไปใกล้กับหน้ารถตู้ที่จอดไว้ อินซอบก็พบจดหมายที่ถูกเสียบไว้กับกระจกหน้ารถ เป็นจดหมายที่ถูกวางทิ้งไว้ตรงหน้ากระจกรถตู้เกือบจะทุกวันในช่วงนี้
“นี่มัน…”
“ทิ้งไปครับ”
อีอูยอนไม่อ่านจดหมายจากแฟนคลับที่มาหาตนส่วนตัว เป็นหลักการของเขาเองที่คิดว่าการอ่านจดหมายที่คนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งหน้าส่งมาเป็นการเสียเวลา อย่างไรก็ตามพอเขาไม่ทิ้งจดหมายให้เห็นต่อหน้า อินซอบก็เลยต้องเก็บของพวกนั้นใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง
อีอูยอนไม่ได้นั่งที่ที่นั่งข้างคนขับ แต่ไปนั่งที่เบาะหลัง ชเวอินซอบยิ้มอย่างขมขื่น นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าตนเองที่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องน่าเสียใจนั้นหลอกหลวง เขาบอกให้อีกฝ่ายรู้เหมือนกับพูดคนเดียวว่า ‘จะออกเดินทางแล้วนะครับ’ เหมือนอย่างที่เป็นมาเสมอในขณะที่ออกรถ อีอูยอนไม่ตอบอะไร เขาสามารถอ่านได้ว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายขุ่นเคืองเป็นอย่างมากผ่านบรรยากาศที่ไม่น่ายินดี
อินซอบเหลือบมองหนังสือที่อีอูยอนยื่นให้เมื่อสักครู่นี้ในขณะที่รอสัญญาณไฟจราจร
ตัวหนังสือของคำว่า ‘ฮาวาย’ โผล่เข้ามาในสายตาเขา ตัวอักษรนั้นทำให้หัวใจของอินซอบรู้สึกจั๊กจี้ อินซอบกลืนน้ำลายก่อนจะอ้าปากพูดอย่างใจเย็น
“เป็นครั้งแรกเลยครับ…ที่ผมได้ไปเที่ยว”
“ครับ?”
“เป็นการไปเที่ยวครั้งแรกน่ะครับ ครั้งแรกเลยตั้งแต่เกิดมา”
เพราะร่างกายอ่อนแอ ทั้งชีวิตของเขาจึงมีแค่บ้าน โรงเรียน และโรงพยาบาลเท่านั้น แม้แต่การมาเกาหลีก็ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการมาเที่ยว เพราะเขามาเพื่อการทำงานหลอกๆ อันที่จริงแม้กระทั่งมาถึงเกาหลีแล้ว อินซอบก็ไม่เคยไปสวนสาธารณะที่มีวิวสวยๆ เลยสักครั้ง อันที่จริงการไปเที่ยวฮาวายครั้งนี้ก็คือการไปเที่ยวครั้งแรกตั้งแต่เขาเกิดมา
“ครั้งแรกเหรอครับ”
อีอูยอนถามซ้ำเหมือนจะไม่เชื่อ
“เพราะร่างกายไม่ค่อยดี ผมก็เลยอยู่บ้านเกือบจะตลอดน่ะครับ”
น้ำเสียงของอินซอบที่เล่าเรื่องของตัวเองสั่นเล็กน้อย เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่น่าอวดสักเท่าไร
“ถึงแม้จะเคยลองอ่านในหนังสือ แต่ผมก็คิดว่าอยากจะไปฮาวายสักครั้งหนึ่งในสักวันให้ได้…ผมตั้งตาคอยเลยล่ะครับ”
เขาลังเลว่าจะพูดว่าตั้งตาคอยตบท้ายดีไหมแล้วก็พึมพำออกมาอย่างระมัดระวัง อีอูยอนหัวเราะพลางเอ่ยตอบ
“ตั้งตาคอยกับอะไรเหรอครับ”
อินซอบเดาได้ว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายเย็นลงแล้วจากน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง
“ก็แค่พวกทะเล ชายหาด แล้วก็พวกพระอาทิตย์น่ะครับ”
“จะไปว่ายน้ำเหรอครับ พอมาคิดดูแล้วคุณได้ซื้อชุดว่ายน้ำไว้หรือเปล่าครับ”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้จะว่ายน้ำหรอกครับ”
อินซอบไม่เคยคิดว่าจะใส่ชุดว่ายน้ำเลยแม้แต่ในความฝัน เพราะรอยแผลผ่าตัดที่หน้าอก
“ไปถึงที่นั่นแท้ๆ แต่จะกลับมาโดยไม่เอาตัวไปแช่น้ำสักครั้งเลยเหรอครับ”
“แค่ไปเดินดูเฉยๆ ก็ได้ครับ”
ดวงอาทิตย์อุ่นๆ ทรายนุ่มๆ และทะเลที่มีฟองแตกกระจาย ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย ตอนนี้เขายังไม่คิดที่จะเป็นส่วนหนึ่งกับที่นั่น และแค่มองดูอย่างเดียวเขาก็พึงพอใจแล้ว
“ถ้ามีสิ่งที่อยากได้ ก็ต้องได้สิครับ”
“…”
“บอกว่าแค่มองดูเฉยๆ น่ะ แค่นั้นคุณอินซอบพอใจเหรอครับ”
ชเวอินซอบตอบว่าใช่ครับพลางยิ้มอย่างอายๆ เขาเคยมีช่วงเวลาที่มีสิ่งที่อยากได้ และอยู่ในโลกที่เขาอยากจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่หลังจากที่ได้รู้ความจริงว่าเรื่องพวกนั้นเป็นไปไม่ได้ อินซอบก็ไม่มีความต้องการเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นอีกเลย ไม่สิ เขาพยายามทำให้ไม่มีและมองข้ามไปต่างหาก
“ถ้ามีสิ่งที่อยากได้ ก็ต้องลองพยายามดูสิครับ อย่าเอาแต่ยืนเหม่อลอย”
“ถ้าคุณอีอูยอนมีสิ่งที่อยากได้…คุณจะทำยังไงเหรอครับ”
เป็นคำถามที่โผล่ขึ้นมาในหัวอย่างกะทันหันเหมือนกับการจาม หลังจากที่คำถามนั้นหลุดออกไปจากปากแล้ว อินซอบก็ได้รู้ว่าเขาได้ถามคำถามที่ไร้สาระออกไปเสียแล้ว
“ผมเหรอครับ ไม่รู้สิครับ จะทำยังไงดีน้า”
อีอูยอนหรี่ตาและพึมพำเหมือนคนที่มีอาหารอร่อยๆ วางอยู่ตรงหน้า และกำลังคิดว่าจะกินอะไรก่อนดี
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายคืออะไรนะครับ ถ้าเป็นสิ่งที่จ่ายเงินซื้อได้ ก็แค่จ่ายเงินซื้อมา แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ทำแบบนั้นไม่ได้ ก็แค่เอามาเฉยๆ เลยครับ”
“เอามาเฉยๆ เลยเหรอครับ แบบนั้นไม่ใช่อาชญากรรมเหรอครับ”
“งั้นก็ต้องรับเงินไปแล้วขายให้สิครับ”