“ประหม่าเหรอครับ”
“ครับ? เปล่าครับ ผมไม่เป็นไรครับ”
ความจริงแล้วฝ่ามือของเขาชื้นไปด้วยเหงื่อ ชเวอินซอบรีบถูมือบนเสื้อเพื่อไม่ให้อีอูยอนจับได้ เขาเพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินครั้งแรกตอนมาเกาหลี ตอนนั้นในหัวของเขาเต็มไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับวันคืนที่จะต้องใช้ชีวิตในที่ที่ไม่คุ้นเคยกับความคิดที่จะต้องจากบ้านไป และความรู้สึกผิดเกี่ยวกับเจนนี่ เขาจึงไม่สามารถรับรู้ได้อย่างเต็มที่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
ตอนนี้เขารู้อย่างชัดเจนเลยว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนเครื่องบิน และอีกไม่นานเครื่องบินก็จะขึ้น เขาได้ยินคำแนะนำของกัปตันเครื่องบินและเครื่องบินก็เริ่มขยับ อินซอบมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินด้วยสีหน้ากระวนกระวาย พอเสียงหนักๆ ของเครื่องยนต์ดังหึ่ง เขาก็รู้สึกว่าที่ใต้เท้าของเขากำลังจะพังครืน
“…!”
อินซอบคว้าที่วางแขนไว้ด้วยความตกใจ อีอูยอนที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่มองอินซอบพลางเอ่ยถามเหมือนจะแซวเล่น
“ให้จับมือไว้ไหมครับ”
“ไม่ เป็นไรครับ”
พอเครื่องบินค่อยๆ ลอยตัวสูงขึ้น อินซอบก็รู้สึกเหมือนตัวถูกดึงขึ้นไปด้านบน อีอูยอนกางผ้าห่มออกเพื่อให้ผ้าห่มบังระหว่างที่นั่งของคนทั้งคู่เอาไว้ เขาสอดมือเข้ามาใต้ผ้าห่มและกุมมือของอินซอบไว้
“…!”
“อีกเดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้วครับ ผมจะจับไว้จนกว่าจะถึงตอนนั้นนะครับ”
อินซอบไม่กล้าสะบัดมือทิ้ง เพราะน้ำเสียงของอีอูยอนที่พูดแบบนั้นอ่อนโยนมาก มือที่ถูกจับอยู่ใต้ผ้าห่มร้อนผ่าว ความรู้สึกตื่นกลัวที่รู้สึกในขณะที่ออกห่างจากพื้นดินถูกมือนั้นย้ายไปจนหมด
พอเครื่องบินลอยขึ้นมาอยู่ในระดับความสูงที่ปลอดภัย สัญญาไฟตรงสายรัดนิรภัยก็ดับลง พอเห็นอินซอบขยับมือไปมาอยู่ใต้ผ้าห่มก่อนจะลอบมองเขา อีอูยอนก็ปล่อยมือออก ไออุ่นที่กุมอยู่บนหลังมือหายไปในทันที
“เหมือนจะมีนิสัยที่ไม่ดีเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ เลยนะครับ เพราะเอาแต่เกาะติดผมแค่ตอนที่กลัวอะไรเท่านั้น”
เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่เจือด้วยเสียงหัวเราะ อินซอบก็คิดว่าเหมือนจะเคยเกิดเรื่องคล้ายๆ แบบนี้ในฝันมาก่อน เหมือนว่าอีอูยอนจะปลอบตนพลางกระซิบถ้อยคำที่อ่อนโยนแบบนั้นอยู่ทั้งคืน…แต่มันก็เป็นแค่ฝันใช่ไหม
“อ่านหนังสือจบแล้วเหรอครับ”
“เปล่าครับ ยังเหลืออีกประมาณครึ่งหนึ่ง”
“โอเคครับ อยากจะค่อยๆ อ่านหรือทำอะไรในระหว่างที่ไปก็จัดการเอาเลยนะครับ เพราะเวลาที่ใช้ในการบินมันนาน”
อีอูยอนพูดแบบนั้นก่อนจะหลับตาลง ชเวอินซอบหยิบผ้าห่มที่กางอยู่ขึ้นมาก่อนจะห่มให้อีกฝ่ายด้วยความระมัดระวัง
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นแบบนี้ไม่ได้ แต่อินซอบก็จ้องมองอีอูยอนตอนหลับอยู่เรื่อยๆ ในสภาพที่เอาหัวพิงกับเบาะที่นั่งไว้ สิ่งที่เขาอยากทำตอนนี้มีแค่เรื่องนั้นเท่านั้น
***
พวกเขาพบรถที่เช่าไว้ที่สนามบิน อีอูยอนนั่งลงตรงที่นั่งฝั่งคนขับรถ แม้อินซอบจะบอกว่าเขาจะขับรถเอง แต่อีอูยอนกลับไล่ให้เขาไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับแทน
“วันนี้คุณอยู่เฉยๆ เถอะครับ นี่เป็นการมาเที่ยวครั้งแรกนี่”
“แต่…”
อินซอบคิดว่าการทำให้อีอูยอนสามารถมีสมาธิอยู่ที่การถ่ายทำเพียงอย่างเดียวเป็นหน้าที่ของตน เพราะเขาตามมาที่นี่ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็จะได้ลองจับพวงมาลัยหลังจากที่ไม่ได้จับมานานแล้วด้วย”
พออีอูยอนสวมแว่นกันแดด และจับพวงมาลัย มันก็กลายเป็นภาพถ่ายในนิตยสารอีกแล้ว อินซอบเหลือบมองภาพด้านข้างของอีอูยอนอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ถูกจับได้
“คุณอินซอบ”
“ครับ?”
“ฝั่งนั้นไม่มีอะไรให้ดูเหรอครับ ถึงได้แต่มองหน้าผมอย่างเดียว”
“…!”
“มองหน้าผมเยอะขนาดนั้นไม่เบื่อเหรอครับ”
“มะ…ไม่ได้มองครับ”
อินซอบหันหน้าไปทางอื่น อีอูยอนหัวเราะพลางเอื้อมมือมาจับให้หน้าของอินซอบหันไปทางตนเอง
“มองให้เต็มที่เลยครับ เพราะผมไม่มีทางห้ามคนที่มาเที่ยวทั้งทีแต่ก็ยังมองผมหรอกครับ จริงสิ แค่ที่มองตอนอยู่บนเครื่องบินคงจะยังไม่พอสินะครับ”
“…!”
เขานึกว่าอีกฝ่ายหลับ ก็เลยวางใจมากๆ และมองอีกฝ่าย…
เนื่องจากหน้าของเขาค่อยๆ แดงขึ้น อินซอบไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้
“ร้อนเหรอครับ หน้าแดงเชียว ให้เปิดหลังคาให้ไหมครับ”
อินซอบพยักหน้า เพราะเขาไม่สามารถแก้ตัวเป็นอย่างอื่นได้ พอหลังคารถถูกยกขึ้น ลมเย็นๆ ก็พัดผ่านหน้าของคนทั้งคู่ แค่สิ่งนั้นก็ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
อินซอบกะพริบตาพลางคิดว่า อ๋อ นี่เองสินะการมาเที่ยว
เรากำลังเที่ยวอยู่สินะ กำลังเที่ยวกับอีอูยอนด้วย ได้เที่ยวกับคนที่…ชอบ
“พอได้มาเที่ยวกับคนที่ชอบแล้วเป็นไงบ้างครับ”
อีอูยอนถามแบบนั้นเหมือนกับคนที่อ่านความคิดภายในหัวเขาออก อินซอบตกใจและถามกลับไปว่า ‘ครับ?’
“ผมถามว่ารู้สึกยังไงบ้างครับที่ได้มาเที่ยวกับคนที่ชอบ”
แม้แต่น้ำเสียงของอีอูยอนที่เอ่ยถามแบบนั้น ก็ยังตื่นเต้นมากกว่าปกตินิดหน่อย อินซอบรู้ถึงความต่างที่ละเอียดอ่อนนั้น แม้คนอื่นจะไม่รู้ แต่เขาสามารถอ่านมันออก…เพราะเขาชอบอีอูยอนยอน
“รู้สึกดีครับ”
อินซอบตอบไปตามตรง อีอูยอนยื่นมือมาลูบผมอินซอบ เหมือนกับว่าเขาได้ฟังคำตอบที่น่าพึงพอใจ
“เหมือนจะเป็นการเที่ยวที่สนุกนะครับ”
อีอูยอนวาดรอยยิ้มที่เหมือนกับภาพวาดไว้ที่ริมฝีปาก
ผมรู้สึกสนุกแล้วล่ะครับ อินซอบเก็บคำที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ไว้ในใจก่อนจะเบนสายตาไปยังวิวสวยงามที่เปล่งประกายอยู่ในแสงแดด
***
หลังจากย้ายสัมภาระไปยังที่พักแล้วการถ่ายทำก็เริ่มขึ้นทันที อินซอบเหงื่อหยดติ๋งๆ อยู่ใต้ร่มกันแดดขนาดใหญ่ และเนื่องจากเป็นการถ่ายทำที่ชายหาด เขาจึงต้องจับตามองกองถ่ายเอาไว้
ถ้าช่างภาพที่ได้ชื่อว่าเรื่องมากสั่งเป็นภาษาอังกฤษ อีอูยอนก็เข้าใจคำสั่งนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบก่อนจะเปลี่ยนท่าโพส ถ้าเขาหยุดโพสสักพักหนึ่งและปรึกษากับผู้กำกับ พวกโคดี้[1] ก็จะวิ่งเข้าไป และแต่งหน้าเพิ่มให้พร้อมกับจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
อินซอบถือขวดน้ำแร่เย็นๆ เข้าไปหาอีกฝ่ายอยู่สองสามครั้ง แต่อีอูยอนกลับรับขวดน้ำไปโดยไม่มองมาทางเขาเลย เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับการถ่ายแบบ
“ที่เขาบอกกันว่าพวกดาราเนี่ยมีพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิดนี่ท่าจะจริงนะคะ”
จู่ๆ อีดายองที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม อินซอบที่คิดแบบนั้นเหมือนกันทุกครั้งที่เห็นอีอูยอนในกองถ่ายพยักหน้า และเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“ช่างภาพคนนั้นน่ะ เป็นคนที่ได้ชื่อว่านิสัยไม่ดี แล้วก็ชอบใช้กำลังแหละค่ะ เพื่อนของฉันเป็นกองบรรณาธิการของบริษัทนิตยสาร ถ้าเป็นพอล อันเซลล่ะก็ เพื่อนฉันจะเครียดมากเลยล่ะค่ะ แต่ถ้าตอนนี้เป็นแบบนั้น ก็คงจะอารมณ์ดีจริงๆ นั่นแหละ”
อินซอบเห็นช่างภาพตะโกนว่า ‘ว่าไงนะ’ ใส่อีอูยอน เขาจึงยิ้มแหยๆ ก่อนจะพยักหน้า
“ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากกว่ากว่าที่คิดอีกนะคะ นี่มันสวรรค์แท้ๆ เลย ว่าอย่างนั้นไหมคะ”
อีดายองนั่งลงบนทราย และเอนไหล่ไปด้านหลังก่อนจะฉีกยิ้มให้เห็น ใบหน้าของหญิงสาวที่ถูกแสงแดดทำให้เป็นประกายดูสุขภาพดีจนอินซอบคิดว่าน่าอิจฉา
“มาในที่ที่ดีแบบนี้แล้ว ทำไมคุณอินซอบถึงเศร้าหมองแบบนั้นล่ะคะ อารมณ์ไม่ดีเหรอ”
“ดีครับ”
“แต่ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะคะ เหมือนบังคับให้ตัวเองเศร้าเลยค่ะ”
คำว่าเหมือนบังคับให้ตัวเองเศร้าของเธอปักเข้าไปในใจของอินซอบ เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านั่นเป็นความจริงหรือเปล่า
แค่ได้เห็นวิวที่ระยิบระยับและเป็นประกายแบบนี้ ก็ทำให้อินซอบมีความสุข ใจสั่น และก็ตื่นเต้นอยู่บ่อยๆ แล้ว เขาหันไปมองรอบๆ บ่อยๆ เหมือนคนมาเที่ยว และตื่นเต้นไม่หยุดจนหัวเราะออกมา แต่ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นอินซอบก็จะคิดขึ้นมาได้ว่าตนเองที่มีความสุขกับของแบบนี้เป็นคนดีหรือเปล่านะ และกดมันเอาไว้ด้วยตัวเอง
“ลืมเรื่องที่กังวลไปสักพัก แล้วก็เพลิดเพลินไปกับมันก็พอค่ะ ในชีวิตนี้จะได้มาที่ที่ดีแบบนี้อีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีแล้วก็เข้มแข็งจริงๆ เลยนะ
ชเวอินซอบส่งสายตาอิจฉาไปให้อีดายองที่มีนิสัยที่ตัวเองไม่สามารถมีได้ อีดายองเริ่มคุยเกี่ยวกับเรื่องอาหารที่จะต้องกินที่ฮาวายกับอินซอบ อินซอบทำหน้าตาจริงจังพร้อมกับฟังที่เธอพูดไปด้วย เพราะคิดว่าอยากจะไปกับอีอูยอน โคดี้ที่เห็นภาพของคนทั้งคู่พูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กันอยู่บอกว่า ‘เป็นแบบนั้นจะต้องตกหลุมรักกันแน่ๆ เลย’ ในขณะที่เซทผมให้อีอูยอนก่อนจะยิ้ม
อีอูยอนที่เช็ครูปภาพที่ใช้ในการทำงานจากโน้ตบุ๊คที่เชื่อมต่อกับกล้องถ่ายรูปอยู่นั้นหันหน้าไปทางที่อินซอบนั่งอยู่ สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ขาเรียวบางของอินซอบที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นออกมาก่อนอย่างอื่น ถ้าเขากระทำชำเราช่วงล่างของอีกฝ่ายในขณะที่เอามือข้างเดียวกุมข้อเท้าเอาไว้และบังคับให้ยกขึ้นไปด้านบน ชเวอินซอบจะต้องร้องไห้งอแงพร้อมกับกอดตนเองไว้แน่ และถ้าเขาลูบต้นขานั่นพร้อมกับกระซิบถ้อยคำที่อ่อนโยน อินซอบก็จะต้องก้มหน้าด้วยความเขินอาย สายตาของอีอูยอนไล่มองต้นคอของอินซอบ ต่อจากนั้นเขาก็มองหน้าของอินซอบที่ใช้มือบังแดดพร้อมกับพูดคุยไปด้วย และมองไปตามแขน นิ้วมือ เส้นผม ติ่งหู แก้ม และริมฝีปาก ไม่มีที่ไหนเลยที่สายตาของเขาไม่ได้มอง
เขาอยากจะพาชเวอินซอบกลับไปโรงแรมไปทั้งๆ แบบนี้ จับอีกฝ่ายถอดเสื้อผ้าออกจนหมด และปลดปล่อยในตัวของอีกฝ่ายตลอดทั้งคืน เขาอยากทำให้ภายในของอีกฝ่ายแฉะไปด้วยน้ำกามของเขา และปล่อยให้อีกฝ่ายตัวอ่อนปวกเปียก เขารู้สึกว่าต่อให้จะกอดอีกฝ่ายมากเท่าไรก็ยังไม่พอ
[กำลังคิดอะไรอยู่]
ช่างภาพพอล อันเซลตีแขนอีอูยอนพลางเอ่ยถาม
[ไม่ได้คิดอะไรเลยครับ]
[งั้นเหรอ ถ้าฉันถ่ายอีกครั้งด้วยสีหน้าแบบเมื่อกี้จะดีไหมล่ะ]
[สีหน้าแบบไหนเหรอครับ]
อีอูยอนยิ้มพลางเอ่ยถาม
[สีหน้าหิวโหยของสัตว์ร้ายที่รอที่จะกัดต้นคอของเหยื่อน่ะสิ ฉันขอให้นายหยุดทำหน้าตาอ่อนโยนแบบตอนนี้ แล้วก็ทำหน้าโหดๆ แล้วก็ดุร้ายเหมือนเมื่อกี้น่ะ แบบนั้นจะได้หรือเปล่า]
อีอูยอนพยักหน้า ภาพของอินซอบที่ยื่นน้ำแร่ให้กับอีดายองเข้ามาในสายตาของเขาอีกครั้ง และความปรารถนาที่หิวโหยก็เกิดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
และอีอูยอนสามารถได้รับคำว่า ‘โอเค’ จากพอล อันเซลที่เรื่องมากได้ในครั้งเดียว
***
การถ่ายทำที่กินเวลากว่าหกชั่วโมงจบลง พวกสตาฟเริ่มเก็บอุปกรณ์ก่อนจะร่ำลากัน อินซอบลุกขึ้น และช่วยจัดการให้เรียบร้อยพร้อมกับคนอื่นๆ อีอูยอนกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับช่างภาพและหัวหน้าฝ่ายศิลป์ของนิตยสารเกี่ยวกับการทำถ่ายทำที่ถ่ายไปวันนี้และการถ่ายทำที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ หลังจากอุปกรณ์ถูกนำไปใส่ไว้ในรถหมดแล้ว อินซอบก็ยืนห่างออกมาจากอีอูยอนและรอให้อีกฝ่ายคุยเสร็จ
[เด็กน้อยขี้อาย]
พอล อันเซลโบกมือให้อินซอบ อินซอบหันหน้าไปมองรอบๆ เพราะสงสัยว่าอีกฝ่ายเรียกตัวเองใช่หรือเปล่า แต่คนส่วนใหญ่กำลังเก็บย้ายอุปกรณ์กันอยู่ พออินซอบลังเลพลางเดินเข้ามาหา พอลก็เริ่มพูดอย่างรวดเร็ว
[ไปดื่มด้วยกันไหม เราจะไปคุยเรื่องของพวกผู้ใหญ่กันต่อน่ะ]
“คุณช่างภาพชวนไปดื่มคอกเทลด้วยกันน่ะครับ”
ผู้กำกับฝ่ายศิลป์ของนิตยสารที่อยู่ข้างๆ แปลคำพูดของผู้กำกับให้อินซอบ แน่นอนว่าเขาเข้าใจในหนเดียวว่าคำพูดนั้นหมายความว่าอะไร แต่อินซอบก็กะพริบตาก่อนจะหันไปมองอีอูยอน
[ขอโทษครับ ผู้จัดการส่วนตัวของผมเขาดื่มไม่ได้]
[ก็ดูจะเป็นแบบนั้นนะ แค่มองดูก็เหมือนกับพาเด็กที่ทำตัวเป็นเด็กๆ ที่จะไปล้มที่ไหนก็ได้มาด้วยเลย ถ้าจะทำมาหากินก็ต้องพาเด็กที่มีแรงมาสิ]
[ผมจะจำไว้ตอนที่เลือกคนคราวหน้าครับ]
คำพูดของอีอูยอนที่บอกว่าคราวหน้าทำให้หัวใจของอินซอบเจ็บปวด การสิ้นสุดสัญญาที่เหลือไม่ถึงสองสัปดาห์ค่อยๆ ใกล้เข้ามาแล้ว ชเวอินซอบรู้ดีว่าอีอูยอนไม่เชื่อคำพูดของตน ด้วยอารมณ์แปรปรวนของอีกฝ่าย การที่เขาอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว
[งั้นพวกเราไปที่นั่นก่อนนะ ตามมาล่ะ]
เมื่อนับว่าเป็นการเจอกันครั้งแรกวันนี้แล้ว พอล อันเซลแสดงท่าทีไม่เขินอายเลยสักนิด เพราะเขาถูกใจอีอูยอนพอสมควร และอีอูยอนเองก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม พอพวกสตาฟกลับไปหมดแล้ว และเหลือแค่พวกเขาสองคน อินซอบก็เอ่ยถามอีอูยอน
“จะให้พาไปที่ไหนดีครับ”
“ไปโรงแรมก่อนก็ได้ครับ เพราะเราตกลงกันว่าจะไปดื่มที่บาร์ที่อยู่ด้านล่างของโรงแรม ผมอยากพาคุณอินซอบไปด้วยนะครับ แต่เหมือนกับอากาศจะไม่ดีเท่าไร เพราะควันบุหรี่”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะอยู่ที่ห้อง”
อินซอบคิดว่าเขาจะนอนอ่านหนังสือที่เตียงคนเดียว
“อยู่ที่ห้องไหนเหรอครับ ห้องผมอยู่ชั้นสิบสองนะ”
อินซอบก้มหน้าที่แดงซ่านลงไป และตอบว่า ‘ผมจะอยู่ที่ห้องผมครับ’ อีอูยอนยื่นมือมาลูบแก้มอินซอบ เขากระซิบแผ่วเบา
“งั้นก็รออยู่ที่นั่นนะครับ”
ความร้อนวูบวาบพุ่งขึ้นมาในใจ อินซอบพยายามแกล้งทำเป็นเฉยชาก่อนจะก้าวเท้าเดิน
[1] โคดี้ คือทีมงานที่เป็นทั้งสไตลิสและเมคอัพอาร์ตติส