อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด เขาตกลงไปในสระว่ายน้ำทั้งๆ ที่ยังใส่เสื้อผ้าอยู่ ตัวของเขาจึงสั่นเทา และเสื้อผ้าที่เปียกก็แนบเนื้อเขาจนทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี แม้แต่มือที่โดนอีอูยอนจับก็เจ็บแปลบ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเขารู้สึกว่าตัวเองที่เดินขณะที่มีน้ำหยดติ๋งๆ ตามไปด้วยเหมือนคนโง่มากๆ
“โง่จริงๆ…โง่ที่สุดในโลกเลย”
เขารู้สึกว่าทางไปล็อบบี้จากสระว่ายน้ำไกลเป็นพิเศษ และพอนึกภาพของตัวเองที่คิดว่าอีอูยอนมาหา เลยเปิดประตูออกไปหาเต็มที่แล้ว เขาก็รู้สึกปวดร้าวเป็นพิเศษ
ตู้โทรศัพท์สาธารณะโผล่เข้ามาในสายตาของอินซอบที่เดินอย่างหมดแรง เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าและหยิบเหรียญที่ใส่ไว้เมื่อกี้ออกมา อินซอบเดินไปที่โทรศัพท์เหมือนกับโดนล่อลวง และหยอดเหรียญลงไปก่อนจะต่อสาย
‘ฮัลโหล’
[…]
วินาทีที่ได้ยินเสียงของแม่ ก้อนสะอึกและอะไรบางอย่างร้อนๆ ก็ตีตื้นขึ้นมาในลำคอ
‘ฮัลโหล ใครคะ’
[ผมเองครับ ปีเตอร์]
‘ปีเตอร์เหรอ ปีเตอร์ อะไรกันเนี่ย เบอร์โทรศัพท์นี้น่ะ กลับเข้ามาในประเทศแล้วเหรอ’
[ครับ สักพักหนึ่งน่ะครับ เพราะเรื่องงาน…]
ในขณะที่พูด น้ำที่หยดจากเสื้อของเขาก็ทำให้พื้นเปียก อินซอบใช้มือกำชายเสื้อเอาไว้ และบิดเอาน้ำออก ถึงแม้การทำแบบนั้นจะไม่ทำให้ความน่าสมเพชของตนเองลดลง แต่เขาก็อยากจะบิดเอาน้ำออกให้ได้มากที่สุด
‘งั้นก็มาที่บ้านสิ อยู่ไหนล่ะ’
อินซอบลังเลไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่าฮาวาย
‘ไม่อยากเจอแม่เหรอ จะกลับมาเมื่อไหร่กันแน่ล่ะ คนอื่นๆ เขาก็รออยู่นะว่าลูกจะกลับมาเมื่อไหร่’
[เดี๋ยวก็จะกลับแล้วครับ]
‘เดี๋ยวน่ะเมื่อไหร่ล่ะ คราวที่แล้วก็บอกว่าจะมาตอนสุดสัปดาห์ คนอื่นๆ เขาก็เลยเตรียมตัวรอลูกกันอยู่ที่บ้าน คุณป้าสเตซี่ก็มา คุณยายก็มาด้วยนะ’
[ประมาณอีกสองอาทิตย์ ผมจะกลับ…]
มือที่ยื่นออกมาจากด้านหลังปัดหูโทรศัพท์ทิ้ง พออินซอบหันหลังไปมองด้วยความตกใจ อีอูยอนก็กำลังยืนยิ้มอยู่
“จะไปไหนเหรอครับ”
“…”
น้ำเสียงที่พูดแบบนั้นทำให้บรรยากาศรอบๆ ที่อบอุ่นหนาวเหน็บขึ้น
“ใครบอกว่าอีกสองสัปดาห์จะปล่อยคุณกลับไปเหรอครับ”
“…ก็อีกสองสัปดาห์สัญญาที่ทำกับคุณอีอูยอนจะสิ้นสุดแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ใช่ครับ จะสิ้นสุดแล้วครับ แต่ยังไม่มีใครรู้เลยนะครับว่าคุณอินซอบจะได้กลับอเมริกา หรือว่าจะได้เดินเข้าคุก”
อีอูยอนไล่มองอินซอบจากบนลงล่าง
“ดูเหมือนจะสนุกกับการว่ายน้ำในตอนกลางคืนนะครับ”
เขาตกลงไปในในสระว่ายน้ำทั้งๆ ที่ยังใส่เสื้อผ้าอยู่ อินซอบอายกับสภาพของตัวเองที่ออกมา เขาจึงไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้ และเอามือลูบชายเสื้ออยู่อย่างนั้น
“ผมไปดื่มเหล้าแล้วก็กลับออกมาน่ะครับ”
“…”
“เพราะตลอดเวลาที่ดื่มเหล้าเอาแต่คิดว่าคุณชเวอินซอบจะร้องไห้อยู่ที่ห้องหรือเปล่า รสชาติของเหล้าก็เลยลดลง”
“ไม่ได้ร้องครับ”
อินซอบโกหก
เขาอยากทำเหมือนไม่เป็นอะไร แม้เขาจะมีสภาพเหมือนคนโง่ที่ตกลงไปในสระน้ำ และมีน้ำหยดออกมาติ๋งๆ แต่เขาก็อยากทำเหมือนไม่เป็นอะไรต่อหน้าอีอูยอน
“นั่นสินะครับ ผมนี่เป็นห่วงโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ ห่วงคนที่สนุกได้โดยไม่มีผมน่ะ”
อีอูยอนดึงมือของอินซอบเข้ามาหา อินซอบร้องดัง ‘อ๊าก’ ก่อนจะทรุดลงไป อีอูยอนเลิกปลายแขนเสื้อขึ้น และมองข้อมือข้างซ้ายของอินซอบที่ตนเองจับอยู่ ข้อมือที่บวมขึ้นเป็นสองเท่ามีสีม่วงๆ
“ออกไปว่ายน้ำด้วยมือแบบนี้เหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถาม
“เพราะคุณอีดายองเรียก ถึงจะมีมือแบบนี้ก็อยากจะออกไปงั้นเหรอครับ”
“…เมื่อกี้มันไม่ได้เป็นอะไรครับ”
“ถึงเมื่อกี้จะไม่ได้เป็นอะไร แต่ตอนนี้มันก็มีสภาพเป็นแบบนี้ไปแล้ว…ให้ตายเถอะ”
อีอูยอนเสยผมขึ้นพลางกลืนคำด่าลงไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สุดท้ายตนเองก็เป็นคนที่ทำให้มือของอินซอบเป็นแบบนี้ อีอูยอนดึงมือของอินซอบเข้ามา
“ไปโรงพยาบาลกันครับ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ประคบสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”
“ถ้าบวมแบบนี้กระดูกอาจจะร้าวก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะจัดการเองครับ”
ชเวอินซอบเกลียดอีอูยอน เขาเกลียดอีอูยอนที่สร้างบาดแผลให้เขา แต่ตอนนี้กลับพูดถ้อยคำแสดงความเป็นห่วงอย่างอ่อนโยนใส่ เขาเกลียดอีอูยอน เพราะเขาไม่ชอบตัวเองที่ใจสั่นกับคำพูดแบบนั้น และคิดเหมือนคนโง่ว่าคนคนนี้เป็นห่วงเราจริงๆ หรือเปล่า
ชเวอินซอบสะบัดมืออีอูยอนทิ้ง แต่อีอูยอนกลับยืนขวางหน้าอินซอบไว้อย่างไม่ย่อท้อ
“ไปโรงพยาบาลครับ”
“ไม่ครับ”
“ฟังที่ผมพูดสิครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“เป็นครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าประคบไว้สักวัน…”
“แต่ผมไม่โอเคครับ”
อีอูยอนจับไหล่อินซอบไว้และเอ่ย คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มเหลือบมองก่อนจะจ้องมองคนทั้งคู่ แม้จะไม่มากเท่าที่เกาหลี แต่ก็มีคนเอเชียอยู่เยอะ และก็มีคนจำอีอูยอนได้พอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นอีอูยอนก็ไม่สนใจ และไม่ยอมปล่อยมืออินซอบด้วย
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะครับ…”
น้ำเสียงของอินซอบอู้อี้จากการร้องไห้ เขาไม่สามารถตามหัวใจของอีอูยอนได้เลย บางครั้งอีอูยอนก็อ่อนโยนกับเขาจนเขาไม่อยากจะเชื่อ แต่ในตอนที่เขาชินกับความอ่อนโยนนั้นโดยไม่รู้ตัว ฝ่ายนั้นก็จะทิ้งขว้างอินซอบอย่างไม่ใยดี เขาทำตัวไม่ถูก เพราะอยากได้ความรัก เพราะอยากจะได้รับความรักจากคนคนนี้ ถ้าอีกฝ่ายกอดเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากมอบหัวใจให้อีกฝ่ายขึ้นมา
ความจริงที่ว่าอีอูยอนทำให้ตนเจ็บปวดได้โดยไม่ได้กะพริบตาสักครั้งทำให้เขาเจ็บปวดมากกว่าข้อมือที่บวมเสียอีก สุดท้ายแล้วตัวเขาเองก็เป็นได้แค่ของแบบนั้นสำหรับอีอูยอน
“ขอโทษนะครับ ผมเกลียด…ถ้าทำแบบนั้นเพื่อที่จะทำให้ผมเจ็บปวดล่ะก็ ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วครับ เพราะผมไม่ชอบ ผมรับความเจ็บปวดที่จะสามารถรับได้ไปหมดแล้ว…”
อินซอบพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้นก่อนจะผลักอีอูยอนออกไป อีอูยอนที่มองเขาอยู่เงียบๆ เอ่ยถาม
“อยากกลับบ้านเหรอครับ”
“…”
“อยากกลับบ้านเหรอครับ”
อินซอบพยักหน้า แม้น้ำตาของเขาจะหยดและไหลลงมาทุกครั้งที่ขยับหน้า แต่น้ำตาก็เอ่อขึ้นมาอีกครั้งในทันที และชุ่มจนทำให้การมองเห็นของเขามัว
เขานึกถึงกลอนบทหนึ่งในหนังสือที่บอกว่า ‘ถ้าความรู้สึกชอบมากขึ้น ก็จะทำให้คนรู้สึกเจ็บ‘ อินซอบเจ็บที่หัวใจเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นแบบนี้การผ่าตัดหัวใจที่สำเร็จได้อย่างปาฏิหาริย์ ก็คงจะกลายเป็นศูนย์
อีอูยอนถอนหายใจก่อนจะเช็ดน้ำตาให้อินซอบ อินซอบเกลียดมือที่อ่อนโยนนั้น และสะบัดหน้าหนีและพยายามที่จะหลบมือนั้นอยู่สองสามครั้ง อีอูยอนจับคางของอินซอบไว้ และทำให้เขาหันหน้าไปไหนไม่ได้ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือเช็ดน้ำตาทั้งหมดของอินซอบ
“ไปไม่ได้ครับ”
“…”
“คุณอินซอบไปที่ไหนไม่ได้นะครับ ดังนั้น…ผมจะทำให้คุณชอบผมไปเรื่อยๆ”
‘ทำให้ชอบผม’
อินซอบหายใจไม่ออกให้กับคำพูดที่แผ่วเบาเหมือนเสียงลมหายใจที่อีกฝ่ายพูดเป็นคำสุดท้าย และเขาก้มหน้าให้กับความสิ้นหวัง เจ็บปวด และความหวั่นไหวที่เหมือนกับยาเสพติดที่แทรกเข้ามาในใจเขา
***
“ไม่เป็นไรนะครับ เพราะวันนี้ไม่ต้องทำอะไร”
อีอูยอนพูดขณะช่วยทายาที่ข้อมือของอินซอบ อินซอบสะดุ้งและตัวสั่นทุกครั้งที่เขาโดนมืออีกฝ่าย แม้จะเป็นเรื่องที่เขาคิดเอาเอง แต่อีอูยอนก็รู้สึกเป็นทุกข์
เขาดันยาแก้ปวดที่รบกวนให้ล็อบบี้โรงแรมเอามาให้เข้าปากอินซอบ และให้อีกฝ่ายดื่มน้ำในแก้วตาม
อาการบวมของข้อมือดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่นี้ แม้อีอูยอนจะยืนกรานให้ไปโรงพยาบาล แต่อินซอบก็ไม่ฟังคำพูดของเขาอย่างถึงที่สุด สุดท้ายอินซอบก็เลยถูกมือของอีอูยอนลากมาที่ห้องของเขาที่อยู่ที่ชั้นสิบสอง อีอูยอนถอดเสื้อที่เปียกของอินซอบออก และเปลี่ยนเป็นเสื้อของตัวเอง
หลังจากที่ทายาที่ข้อมือของอินซอบแล้ว อีอูยอนก็กางผ้าขนหนูบางๆ ไว้ข้างบน และเอาผ้าขนหนูที่ถูกทำให้เปียกด้วยน้ำอุ่นขึ้นไปวางทับ อินซอบนั่งเงียบๆ และจ้องมองสิ่งที่เขาทำเท่านั้น
อินซอบอยู่ในสภาพที่ช็อคและซึมไม่น้อยจากคำพูดของอีอูยอนที่บอกว่าไม่สามารถไปที่ไหนได้ ความหวังที่เขาอาจจะได้กลับไปที่อเมริกาในอีกสองสัปดาห์เป็นแรงที่ทำให้อินซอบทนมาจนถึงตอนนี้
“จะกินอะไรไหมครับ”
“…”
เขาส่ายหน้า
“คอไม่แห้งเหรอครับ”
“…”
คราวนี้เขาพยักหน้า อีอูยอนนั่งลงข้างๆ ชเวอินซอบ อินซอบหดตัวหนีและถอยไปจากที่ที่นั่งอยู่
“กลัวเหรอครับ กลัวว่าผมจะจับคุณอินซอบที่บาดเจ็บมาขืนใจเหรอครับ”
“…”
“ผมไม่ใช่คนสารเลวขนาดนั้นนะครับ อย่ากังวลเลย”
พออีอูยอนยื่นมือมาเพื่อที่จะปัดผมของอินซอบขึ้นไป อินซอบก็ผวาตกใจ และหันหน้าไปข้างๆ อีอูยอนถอยออกไปนั่งห่างจากอินซอบโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ คนทั้งคู่นั่งโดยมีเตียงกั้นและไม่พูดอะไรกันเลยอยู่สักพัก ความเงียบที่น่าอึดอัดใจวนอยู่รอบๆ พวกเขาทั้งคู่ เหมือนกับตอนที่เข้ามาครั้งแรก
ชเวอินซอบคิดว่าจะขอกลับห้องของตัวเองเมื่อไหร่ดี ส่วนอีอูยอนก็เอ่ยถามทั้งๆ ที่ยังหลุบตามองด้านล่างอยู่
“ตัดสินใจได้หรือยังครับ”
“ครับ?”
“ที่ที่อยากไปน่ะ”
อินซอบกะว่าจะตัดสินใจวันนี้ตอนอ่านหนังสือ แน่นอนว่าในสถานการณ์แบบนี้หนังสือไม่มีทางอยู่ในสายตาของเขา และต่อให้บอกว่ามีที่ที่อยากไป เขาก็ไม่มีแก่ใจที่จะไปกับอีอูยอน
“ผมอยากกลับบ้านครับ”
“ไม่ได้ครับ”
“งั้นก็ไม่มีแล้วครับ”
อินซอบตอบอย่างเด็ดขาด แม้ตาที่เหมือนจะหวาดกลัวกับเสียงที่สะอึกสะอื้นจะยังอยู่ แต่อีอูยอนสามารถอ่านความตั้งใจที่แน่วแน่ในหัวใจของอีกฝ่ายได้
“มีฟาร์มสับปะรดอยู่นะครับ จะลองไปไหม คุณอินซอบชอบสับปะรดหรือเปล่า”
อีอูยอนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อินซอบก็ไม่ได้พูดอะไรเลยเหมือนกัน
“ไปชายหาดทางเหนือไหมครับ ที่นั่นมีกุ้งทอดเนยกระเทียมด้วย เป็นของขึ้นชื่อของฮาวายเลยครับ”
“…”
“หรือจะย้ายเกาะดีครับ ถ้าไปที่เมาอิจะมีอุทยานแห่งชาติฮาเลอาคาลาอยู่นะครับ ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันที่นั่นไหม พักสักวันก็ดีนะครับ”
“…”
อินซอบไม่ยอมพูดและนั่งอยู่อย่างนั้นด้วยความดื้อรั้น ความโกรธของอีอูยอนพลุ่งพล่านขึ้นมา ความคิดที่ว่าจะต้องรั้งอีกฝ่ายไว้ทำให้เขางุ่นง่านใจ
“ถึงทำแบบนั้น ผมก็จะไม่ปล่อยคุณอินซอบไปอยู่ดี”
“…รู้ครับ”
“ถ้ารู้ ก็ช่วยทำตัวว่านอนสอนง่ายทีสิครับ เพราะต่อไปจะได้อยู่กันดีๆ”
อีอูยอนไม่พลาดการที่สีหน้าของอินซอบหมองลงกับคำพูดที่บอกว่า ‘ต่อไป’ อีอูยอนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่แวบหนึ่งพลางลุกขึ้น
“ผมขอไปสูบบุหรี่สักเดี๋ยวนะครับ”
“ครับ”