“ตื่นแล้วเหรอครับ”
อีอูยอนสำรวจข้อมือของอินซอบ เขารู้สึกถึงการขยับตัวจึงเอ่ยถาม
“…ครับ”
“เสียงแหบนะครับ เพราะเมื่อวานกรีดร้องเยอะไปหน่อย”
“…”
“ไม่พูดจะดีกว่านะครับ”
อีอูยอนดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้อินซอบ และลูบผมอีกฝ่ายเบาๆ
ชเวอินซอบทอดสายตามองอีอูยอน และประสานนิ้วของตนเองกับนิ้วของอีกฝ่าย อีอูยอนหยุดการกระทำและมองอินซอบ
“การถ่ายแบบตอนเช้า…”
“การถ่ายแบบตอนเช้าก็ต้องเลื่อนออกไปอยู่แล้วสิครับ”
“…ขอโทษ…ครับ”
“ขอโทษอะไรกันล่ะครับ เมื่อวานคุณอุตส่าห์ทำให้ไอ้นั่นของผมเพลิดเพลินถึงขนาดนั้น”
“…”
เขาไม่สามารถชินกับคำพูดแสนภูมิใจแบบนั้นได้เลย อีอูยอนประทับริมฝีปากลงบนไหล่ของอินซอบ อินซอบห่อไหล่พลางยิ้มให้กับสัมผัสที่จั๊กจี้นั่น
“ยิ้มได้ด้วยนี่ครับ”
“…”
“ยิ้มหน่อยสิครับ คนที่ไม่ได้มีสมองผิดปกติเหมือนผมน่ะ ทำไมถึงหวงยิ้มอย่างนั้นล่ะครับ”
เมื่อวานหลังจากที่ได้ยินความลับอันใหญ่หลวงของอีอูยอนแล้ว อินซอบไม่สามารถซ่อนสีหน้าลำบากใจได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะต้องแสดงปฏิกิริยาอย่างไรกับคำพูดล้อเล่นแบบนั้น
“ฮ่าๆๆๆ ตอนนี้คุณทำตัวไม่ถูกมากเลยสินะครับ”
“…”
“ผมเล่าให้ฟังโดยไม่จำเป็นหรือเปล่าน้า ถ้าคุณหนีไปจะทำยังไงดีล่ะ”
เขาเพิ่มแรงลงมาที่มือที่กำลังลูบผมอยู่ในทันที อีอูยอนดึงผมแรงจนเขารู้สึกเจ็บ และพูดเสริมด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ถ้าหนีไป ผมสาบานเลยว่าผมจะ-ฆ่า-คุณ-จริงๆ”
“…”
“อย่าหักหลังผมอีกนะครับ ผมทนเรื่องนั้นเป็นครั้งที่สองไม่ได้แน่ๆ”
“เข้าใจแล้วครับ”
“แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คืนพาสปอร์ตให้หรอกนะครับ”
“…ทำอย่างที่คุณต้องการเถอะครับ”
พอได้ยินชเวอินซอบพูดด้วยท่าทีเหมือนบ่น อีอูยอนก็หัวเราะออกมา
“ถ้าไม่มีการถ่ายแบบตอนเช้า ผมคงไม่เอาไอ้นั่นของผมออกจากรูของคุณอินซอบเลยล่ะครับ”
“…!”
“นอนต่อเถอะครับ ถ้าเสร็จแล้วผมจะขึ้นมา ถ้าหิวก็สั่งรูมเซอร์วิสนะครับ ผมไม่ต้องห่วงเลยสินะครับเนี่ย เพราะคุณน่าจะเก่งภาษาอังกฤษมากกว่าผมเสียอีก”
มือที่ขยี้ผมของอินซอบอยู่ไล้ลงมาที่แก้ม อินซอบทำหน้ายุ่งก่อนจะยิ้มให้อีอูยอนเพราะสัมผัสของมือที่นุ่มนวลนั้น อีอูยอนก้มตัวมาจูบอินซอบอีกครั้งหนึ่ง แล้วออกจากห้องไปก่อนที่อินซอบจะทันได้ยันตัวขึ้นมา
อินซอบที่โดนอีกฝ่ายกวนมาทั้งคืนหลับตาลงอีกครั้งและผล็อยหลับไป เขาอยู่ในสภาพที่ตัวอ่อนปวกเปียกด้วยความเหนื่อย เพราะร่างกายของอินซอบประกอบไปด้วยหนังกับกระดูกต่างกับร่างกายของอีอูยอนที่มีพละกำลังที่แข็งแกร่ง เขาหลับสนิทได้ในทันที
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย เขาได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตู
ถ่ายเสร็จแล้วเหรอ
อินซอบฝืนลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองนาฬิกา เวลาผ่านไปพอสมควรแล้วหลังจากที่อีอูยอนออกไป เขาได้ยินเสียงเคาะประตูอีกครั้งหนึ่ง อินซอบสวมเสื้อคลุมอาบน้ำที่ยับยู่ยี้ และออกไปข้างหน้า
[ใครครับ มีธุระอะไรเหรอครับ]
เขาคิดว่าอีอูยอนสั่งอาหารเอาไว้ก่อนจะออกไปหรือเปล่า เขาจึงถามเป็นภาษาอังกฤษก่อน แต่คำตอบที่ได้กลับมาเป็นภาษาเกาหลี
“คือ…ใช่ห้องของคุณอีอูยอนหรือเปล่าคะ”
“ครับ รอแป๊บหนึ่งนะครับ”
อินซอบมองกระจกและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเปิดประตู อีดายองกำลังยืนอยู่หน้าประตูอย่างตกใจ
“มะ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…”
“ฉันไปหาคุณอีอูยอนเพราะมีของจะให้น่ะค่ะ เขาบอกว่ามีคนอยู่ที่นี่ ก็เลยให้มาวางเอาไว้…”
อินซอบเดาได้ว่าอีอูยอนจงใจส่งอีดายองมาที่นี่
…การตามความคิดของอีอูยอนให้ทันนี่ยากจริงๆ
“ว้าว แต่เมื่อกี้คุณอินซอบพูดภาษาอังกฤษเหรอคะ สำเนียงอยู่ในระดับเจ้าของภาษาเลยนะคะ ได้คะแนนโทอิกกี่คะแนนเหรอคะ”
“แค่…”
“ว่าแต่คุณนอนที่นี่เหรอคะ”
อีดายองสำรวจภายในห้องสวีทที่หรูหราก่อนจะทำตาโต
“…ครับ”
“ดีจัง! ฉันอยากทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนจังเลยค่ะ คุณอินซอบน่าอิจฉาจัง”
อินซอบไม่รู้ว่าจะต้องตอบอย่างไร จึงได้แต่เกาหัวให้กับปฏิกิริยาที่ตรงไปตรงมาของหญิงสาวที่ไม่มีความเห็นแก่ตัวเลย
“อ้อ จริงสิ นี่ค่ะ หัวหน้าทีมของบริษัททัวร์ให้มาบอกว่าเขาถ่ายสำเนาเอกสารแสดงตัวตนอะไรสักอย่างนี่แหละค่ะไว้ให้ ให้เก็บไว้ด้วย”
“ขอบคุณครับ”
อินซอบรับซองเอกสารมาก่อนจะกล่าวขอบคุณ
“ได้ยินมาว่าคุณจะพักที่นี่ต่ออีกคืนแล้วค่อยกลับนี่คะ น่าอิจฉาจังเลย พวกเราต้องนั่งเครื่องบินกลับกันคืนนี้แล้วค่ะ”
“น่าจะเหนื่อยกันนะครับ ขอให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัยครับ”
“ถ้ากลับมาที่โซลแล้วก็ติดต่อมาสิคะ อ้อ จริงด้วยๆ รู้เบอร์โทรศัพท์ของฉันหรือเปล่า”
พอเห็นอินซอบส่ายหน้า อีดายองก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า
“บอกเบอร์โทรศัพท์มือถือมาสิคะ แล้วฉันจะส่งข้อความไป”
“…ตอนนี้ผมไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัวน่ะครับ”
“มีกระดาษหรือเปล่าคะ”
อินซอบบอกว่า ‘สักครู่นะครับ’ แล้วก็กลับเข้าไปเอากระดาษโน้ตกับปากกาข้างใน อีดายองเขียนเบอร์โทรศัพท์มือถือของตัวเองลงในกระดาษโน้ต และยื่นให้อินซอบ
“นี่ค่ะ โทรมานะคะ กลับไปที่โซลแล้วฉันจะเลี้ยงอาหารกลางวันสักมื้อค่ะ เพราะเมื่อวานฉันทำผิดกับคุณอินซอบ”
“ไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้ครับ”
“ฉันไม่สบายใจนี่คะ งั้นเจอกันคราวหน้าค่ะ”
เธอยิ้มกว้างก่อนจะจากไป อินซอบปิดประตูและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาไม่คิดเลยว่าอีอูยอนจะส่งคนรู้จักมาที่นี่ เขาคิดอะไรอยู่กันแน่
“เฮ้อ…จริงๆ เล้ย”
เขาถอนหายใจพลางเดินกลับไปที่เตียง และเขาก็สงสัยว่าเอกสารที่หัวหน้าทีมของบริษัทท่องเที่ยวส่งมาคืออะไร
“อะไรเนี่ย”
ดูจากการที่สั่งให้มายื่นให้เขาด้วยตัวเองแล้ว น่าจะหมายความว่าเขาควรจะตรวจสอบสิ่งที่อยู่ข้างในใช่ไหม อินซอบนั่งลงบนเตียงก่อนจะดึงเอกสารที่อยู่ในซองใส่เอกสารออกมาอ่าน แล้วหลังจากนั้นสักพักหนึ่งดวงตากลมโตของเขาก็เบิกโพลงด้วยความตกใจ
***
[เยี่ยมครับ เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ]
สิ้นคำพูดของพอล อันเซล ทุกคนก็ตะโกนว่า ‘ขอบคุณสำหรับการทำงาน’ ก่อนจะเลิกงาน การถ่ายแบบเสร็จสิ้นในตอนที่เลยช่วงบ่ายไปเล็กน้อยเพราะการถ่ายแบบล่าช้ากว่าที่คิด อีอูยอนยิ้มร่ำลาช่างภาพ
[ครั้งหน้าไม่คิดจะร่วมงานกันอย่างเต็มที่บ้างเหรอ หมายถึงที่นิวยอร์ก]
[ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับ ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่คุณเรียก]
[การถ่ายแบบเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้ไปรวมตัวดื่มเหล้ากับคนอื่นๆ ไหม ฉันพอจะรู้จักบาร์ที่ใช้ได้อยู่ พวกผู้หญิงที่สุดยอดก็เยอะ]
ลือกันให้แซ่ดในแวดวงนี้ว่าความจริงแล้วพอล อันเซลเป็นพวกมักมากในกาม หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะยิ้มและตามไป แต่สำหรับอีอูยอนแล้ววันนี้เขามีชเวอินซอบที่กำลังรออยู่ที่ห้อง ตอนนี้เขาคิดว่าทันทีที่เข้าไปในโรงแรม เขาจะจับอินซอบสอดใส่เข้าไปในช่วงล่างของอีกฝ่ายอีกครั้ง การที่เขาทิ้งอินซอบที่ประสานมือเข้ากับมือของตนด้วยสีหน้ามุ่ยๆ ในตอนเช้าออกมาติดอยู่ในใจของอีอูยอนตลอดการถ่ายแบบ ถึงขนาดที่ว่าพอล อันเซลตะโกนสั่งไม่ให้เขาคิดเรื่องอื่นอยู่หลายรอบในระหว่างที่ถ่ายงาน
อีอูยอนคิดว่าเขาจะสอดใส่เข้าไปในช่องทางรสเลิศที่กลืนกินตัวตนของเขาอย่างยอดเยี่ยมพลางหัวเราะอย่างผ่อนคลาย
[ขอโทษครับ พอดีผมมีนัดแล้ว]
[น่าเสียดายนะครับ งั้นไว้ติดต่อกัน ส่วนเบอร์โทรศัพท์ของผม คุณเอาจากไอ้พวกโง่นั่นก็ได้]
พอล อันเซลว่าพลางชี้ไปที่พวกฝ่ายศิลป์ของนิตยสารที่ตามมาจากเกาหลี อีอูยอนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า อีอูยอนออกมาจากกองถ่ายหลังจากร่ำลาพวกสตาฟ
ห้าโมงเย็นแล้ว นึกว่าจะเสร็จตอนบ่ายสามเสียอีก เกินมาตั้งสองชั่วโมงแหนะ อีอูยอนที่กำลังจับพวงมาลัยรถอยู่กระวนกระวายใจ เนื่องจากถนนในฮาวายเกือบจะเป็นถนนสองเลน เขาจึงไม่สามารถแซงได้ตามปกติ นิสัยไม่รีบเร่งของคนฮาวายแสดงออกมาทางนิสัยในการขับรถ ว่ากันว่าถ้าใครสักคนบีบแตรจะโดนชี้ไม้ชี้มือใส่แล้วบอกว่า ‘หมอนั่นคงเป็นคนจากแผ่นดินใหญ่’
อีอูยอนเป็นคนอเมริกัน แต่มีนิสัยของคนเกาหลี เขาจึงบีบแตรใส่รถบรรทุกที่ขับอย่างอืดอาดข้างหน้าและแซงไป ทุกๆ ครั้งที่เขาแซง รถคันที่เคยอยู่ข้างหน้ามักจะบีบแตรประท้วง แต่ถึงอย่างไรอีอูยอนก็สนใจเลยสักนิด สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้ก็คือการกลับไปที่โรงแรมให้เร็วที่สุด แม้จะเป็นเวลาแค่หนึ่งวินาทีก็ตาม
ในที่สุดเขาก็ผูกมัดชเวอินซอบเอาไว้ได้
รอยยิ้มงดงามถูกวาดขึ้นบนริมฝีปากของอีอูยอนที่กำลังหมุนพวงมาลัย เมื่อวานเขาเปิดเผยความลับของตัวเองให้อินซอบได้รู้ เพราะเขาคิดว่ามันเป็นวิธีเดียวที่เขาจะสามารถเปลี่ยนใจอินซอบที่ตัดสินใจจะกลับบ้านได้
เขาคิดเกี่ยวกับวิธีที่พวกคนปกติใช้ผูกมัดกันในขณะที่สูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง ถ้าชเวอินซอบเป็นผู้หญิง เขาคงจะทำให้ท้องแล้วก็แต่งงานด้วยไปแล้ว แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย เรื่องนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก ถ้าผู้ชายสามารถท้องได้ ชเวอินซอบก็คงจะท้องไปแล้ว ถ้าลองคิดถึงน้ำเชื้อที่เขาพ่นเข้าไปในนั้นน่ะนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นวิธีอื่นคืออะไรล่ะ ถ้าเขาบอกรัก ชเวอินซอบที่หวาดกลัวและหดตัวหนีไม่มีทางเชื่อคำพูดนั้นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นความปรารถนาอันแรงกล้าที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้น่ะ ไม่เหมาะกับคำว่ารักเลย
ตอนนั้นอีอูยอนก็คิดได้ว่า ‘งั้นลองบอกสภาพของตัวเองให้อินซอบรู้ดีกว่า’ เขานึกถึงความจริงที่ว่าถ้าหากเปิดเผยความลับแล้ว ความใกล้ชิดสนิทสนมของกันและกันจะเพิ่มมากขึ้น แม้ปัญหาจะอยู่ที่มันยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับคำว่าความลับก็ตาม นี่เป็นปัญหาที่แม้แต่ครอบครัวของเขาเองยังพยายามที่จะซ่อนเอาไว้สุดชีวิต
มันคือการเดิมพัน ‘นิสัยไม่ดี’ กับ ‘มีปัญหาทางด้านจิตใจ’ มีลักษณะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด และเขาก็ไม่แน่ใจเลยว่าอีกฝ่ายจะรับเรื่องนั้นได้หรือไม่ มันจึงเป็นการเดิมพันอย่างแท้จริง แต่อีอูยอนก็ศรัทธาในไพ่ที่ตนเองกำไว้
มันคือไพ่ที่ว่าชเวอินซอบลำบากมาจนถึงเกาหลีเพื่อเพื่อน
ถ้าเป็นชเวอินซอบละก็…ถ้าเป็นชเวอินซอบที่ใจดี อ่อนโยน และชอบเขาเหมือนคนโง่ละก็ เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องรับได้อย่างแน่นอนจึงเริ่มพูดออกไป การพูดนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาสังเกตแววตาของอินซอบตลอดการพูด เขาหวังอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาว่าขอให้อีกฝ่ายรับเขาได้
เขารู้สึกว่าอินซอบตกใจในตอนแรก แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็กอดคอตนไว้อย่างระมัดระวัง เท่านั้นก็พอแล้ว อีอูยอนยิ้ม เขายังปล่อยอีกฝ่ายไปตอนนี้ไม่ได้ ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยชเวอินซอบไปเด็ดขาด
เขาไม่เคยรู้สึกเศร้าหรือเสียใจเลยที่ตัวเองไม่สามารถรู้สึกถึงความรู้สึกที่คนอื่นๆ มีได้ ตอนนี้ก็เหมือนกัน อีอูยอนคิดว่าเพราะเขาไม่เคยเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจสภาพของตน คนอื่นก็ห้ามเรียกร้องความเข้าใจจากตนเหมือนกัน เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว ต่อให้บอกว่าน่าสงสารก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาจึงทำเหมือนมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ และปล่อยให้มันผ่านไป
แต่เขาคิดว่าการอธิบายให้อินซอบฟังเป็นเรื่องจำเป็น เขาอยากโน้มน้าวใจอีกฝ่ายให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการสารภาพที่เปิดเผยความผิดปกติของตนเองออกไป หรือการกระทำที่ทำให้เกิดความเห็นใจก็ตาม ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็อยากจะผูกมัดอินซอบไว้ข้างๆ
เขาไม่รู้แน่ชัดว่าการยึดติดในตัวชเวอินซอบนั้นเริ่มต้นมาจากตรงไหน แต่อีอูยอนไม่อยากปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือ เมื่อวานเขาให้สัญญากับตัวเองว่าเขาจะไม่ปล่อยอินซอบไปเด็ดขาดในขณะที่กอดอินซอบไว้จนเช้า
เขานึกถึงใบหน้าของอินซอบที่อ้าแขนกอดตนไว้ในขณะที่เจ้าตัวร้องไห้งอแงด้วยตาที่บวมแดง แค่นั้นก็ทำให้ช่วงล่างของอีอูยอนคับแน่นแล้ว
พอคิดว่าจะทำให้ขาผอมบางนั้นอ้าออกจนสุด และสอดใส่ตัวตนของตัวเองเข้าไปในช่องทางเลิศรสนั้น เขาก็ไม่สามารถชักช้าได้แม้แต่นิดเดียว เขาเหยียบคันเร่งและแซงหน้ารถสองสามคันอย่างต่อเนื่อง รถที่สวนมาเฉียดผ่านด้านข้างไปอย่างน่าหวาดเสียว และพ่นคำด่าใส่เขา อีอูยอนยิ้ม ถ้ากลับเข้าไปที่โรงแรมตอนนี้ เขาจะกอดชเวอินซอบจนอีกฝ่ายไม่สามารถลุกออกมาจากเตียงได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว เขาจะทำให้ช่องทางคับแค้นนั้นเปียกแฉะไปด้วยน้ำกามของเขา และเติมเต็มมันจนเต็มท้องของอีกฝ่าย เขาจะทำให้อินซอบส่งเสียงร้องและกอดแขนตนไว้ และเขาจะกอดจนกว่าร่างของอีกฝ่ายจะแตกสลาย
เราจะทำสัญญาขึ้นมาใหม่ตอนกลับไปที่ถึงโซลแล้ว คราวนี้เอากี่ปีดีนะ…ไม่สิ ทำเป็นสัญญาจับคู่ดีกว่า
รถที่เฉียดมาข้างๆ ตะโกนว่า ‘Fuck off!’ พร้อมกับบีบแตร รอยยิ้มที่ประดับอยู่ที่ริมฝีปากของอีอูยอนค่อยๆ เพิ่มขึ้น เขาจอดรถไว้ด้านหน้าโรงแรม และฝากให้พนักงานเก็บรถให้
เขาเห็นว่าพวกสตาฟที่มาด้วยกันกำลังเช็คเอ้าท์อยู่ที่ล็อบบี้เพื่อไปที่สนามบิน อีอูยอนก้มหัวให้ลวกๆ และเดินผ่านข้างๆ ของพวกเขาไป พอเขาขึ้นลิฟต์ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่จำเขาได้ก็ทักทายเขาด้วยภาษาเกาหลีที่ตะกุกตะกัก แต่อีอูยอนก็ไม่แม้แต่จะแกล้งทำเป็นรับรู้ ไม่มีอะไรเข้าหัวของเขาเลยนอกจากชเวอินซอบที่กำลังรอตนอยู่
ระหว่างออกจากลิฟต์ที่ชั้นสิบสองและเดินไปตามทางเดิน อีอูยอนคิดว่าทันทีที่เข้าไปในห้อง เขาจะกอดอินซอบและบอกว่า ‘กลับมาแล้วครับ’ เพราะเขารู้ว่าอินซอบใจอ่อนกับความอ่อนโยนที่เป็นปกติและเล็กน้อยแบบนั้นเป็นพิเศษ
ถ้าชเวอินซอบรับนิสัยที่ไม่ปกติของเขาได้ เขาเองก็มีความตั้งใจที่จะอดทนทำเรื่องที่ปกติเช่นกัน