อีอูยอนยืนยิ้มอยู่หน้าประตู เขาคิดว่าเขาจะใช้คีย์การ์ดเปิดประตูดีไหม แต่แล้วเขาก็เคาะประตู เขาคิดว่าอยากจะเห็นอินซอบเปิดประตูให้เขาด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง แต่ผ่านไปสักพักเขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงที่บอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ในห้อง
หลับเหรอ
อีอูยอนเสียบคีย์การ์ด และหมุนลูกบิดประตู
“คุณอินซอบ ผมมาแล้วครับ”
อีอูยอนเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเดินเข้าไปในห้อง ห้องนั่งเล่นก็ยังอยู่ในสภาพเดียวกับตอนที่เขาลุกออกมาจากเตียง เขาถอดเสื้อนอกออกและพาดไว้ที่เก้าอี้ อีอูยอนเรียกชื่ออินซอบอีกครั้งขณะเดินเข้าไปในห้องนอน
“คุณอินซอบ ยังนอนอยู่เหรอครับ ไม่หิวเหรอครับ”
แต่เขาก็ไม่เจออินซอบที่คิดว่าคงจะนอนอยู่ที่เตียง อีอูยอนลองเปิดประตูห้องน้ำ เขาค้นห้องนั่งเล่นและระเบียง ไม่มีอย่างที่คิด เขาลองเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ติดกับห้องเล็ก…แต่ก็ไม่มี
“คุณชเวอินซอบ”
อีอูยอนลองเรียกชื่อของอีกฝ่ายอีกครั้ง ไม่มีการตอบรับกลับมา อีอูยอนกัดริมฝีปาก เพราะคิดว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
ก่อนออกจากห้องไปตอนเช้า ชเวอินซอบยังยิ้มตาหยีให้เขาอยู่เลย อีอูยอนเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่มีทางทิ้งเขาไว้และหนีไป
เขาวิ่งไปที่ตู้เซฟที่วางอยู่ในที่ที่เขาแขวนเสื้อผ้าเอาไว้ พอเขากดรหัสผ่านและเปิดออกดูก็พบว่าพาสปอร์ตของอินซอบก็ยังอยู่ในนั้น ถ้าเป็นแบบนี้ อีกฝ่ายคงไปได้ไม่ไกล เขาจะต้องออกไปหาข้างนอกก่อน เขาเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อจะหยิบเสื้อนอกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วซองเอกสารก็โผล่เข้ามาในสายตา
อีอูยอนนึกถึงความจริงที่ว่าใครบางคนมาหาอินซอบในตอนที่ตนไม่อยู่ เขากลับไปยังเส้นทางเดิมเพื่อไปหาอีดายอง พอลงมาถึงล็อบบี้ของโรงแรมก็พบว่าอีดายองก็กำลังพูดคุยกับพวกสตาฟอย่างถูกคอ
“คุณอีดายอง”
อีอูยอนเรียกเธอ อีดายองตอบว่าค่ะพร้อมกับยิ้มกว้าง พอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของหญิงสาว อีอูยอนก็โกรธขึ้นมา
“เจอคุณอินซอบตอนประมาณกี่โมงเหรอครับ”
“ไม่รู้สิคะ อืม น่าจะสักหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่แล้วมั้งคะ ฉันเอาเอกสารที่คุณบอกว่าจะต้องเอาไปยื่นให้ด้วยตัวเองไปให้ แล้วก็ลงมาเลยน่ะค่ะ”
“แล้วคุยเรื่องอะไรกันอีกเหรอครับ”
“คะ?”
“ตอนเอาเอกสารไปให้น่ะ คุยอะไรกันเหรอครับ”
อีอูยอนคิดว่าคงมีเหตุผลที่ชเวอินซอบที่ทำหน้าเขินอายและมองตนในตอนเช้าเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน อีดายองเอียงหัวด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยตอบ
“ไม่รู้สิคะ ก็แค่บอกว่าห้องสวยจัง แล้วฉันก็ชวนเขาไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อหลังจากที่กลับโซลแล้ว แล้วก็ให้เบอร์โทรศัพท์ไปน่ะค่ะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก”
ยิ่งเธอพูด อูยอนก็ยิ่งเครียด อีอูยอนยิ้มพร้อมกับถามว่า ‘เบอร์โทรศัพท์เหรอครับ’
“ค่ะ เพราะเมื่อวานมีเรื่องที่ฉันทำผิด ฉันก็เลยจะเลี้ยงข้าวเขาน่ะค่ะ”
“ที่จริงไม่จำเป็นหรอกครับ”
“คะ?”
“ผมบอกว่าอันที่จริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องเลี้ยงข้าวคุณอินซอบหรอกครับ เพราะยังไงเขาก็ได้เงินค่าอาหารจากทางบริษัทอยู่แล้ว”
อีดายองไม่เข้าใจเลยว่าอีอูยอนต้องการจะพูดอะไรกับเธอกันแน่ เธอถึงเอียงหัวด้วยความสงสัย
ตอนนั้นเองหนึ่งในสตาฟก็เข้ามาที่ล็อบบี้ สตาฟคนนั้นถอนหายใจก่อนจะเอ่ย
“ตอนนี้ด้านหลังโน้นวุ่นวายกันใหญ่เลย ใครก็ไม่รู้โดนพวกเด็กขายยาจับผิดตัว แล้วก็ล้มลงไปทั้งที่มีเลือดเต็มตัวไปหมดเลย”
“ว่าไงนะ พูดอะไรเนี่ย นี่เป็นบริเวณโรงแรมนะ”
“อีกฟากหนึ่งของถนนโน้นไง ในไกด์บุ๊คเขียนเอาไว้ว่าตอนกลางคืนห้ามไปที่อีกฟากหนึ่งของถนนเด็ดขาด ไม่ได้อ่านเหรอ เพราะฝั่งโน้นเป็นชุมชนเสื่อมโทรมน่ะ พวกคนติดยาก็เยอะ ได้ยินมาว่าแค่เข้าห้องน้ำผิดก็โดนแทงแล้ว ถึงจะโชคดีที่จับคนร้ายได้ก็เถอะ แต่คนที่โดนแทงน่ะ น่าสงสารมากเลยนะ”
“ที่ไหนเหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“คะ?”
พออีอูยอนพูดกับตนเองอย่างกะทันหัน สตาฟคนนั้นก็ถามกลับด้วยความตกใจ
“ใคร ที่ไหน…แล้วคนที่โดนแทงมีลักษณะยังไงเหรอครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ คือไม่ใช่ตรงถนนเส้นหลักนั้นนะคะ แต่เป็นเส้นที่เลยออกไปหน่อย คนมุงกันเต็มเลยค่ะ เหมือนเขาจะบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยวชาวเอเชียด้วยมั้งคะ”
พอคำพูดสุดท้ายจบลง อีอูยอนก็วิ่งออกจากล็อบบี้ของโรงแรมไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง แม้เขาจะชนคนที่ถือสัมภาระเข้ามาตรงหน้าโรงแรม แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยขอโทษด้วยซ้ำ
ชาวเอเชียที่โดนแทง
คำคำนั้นติดอยู่ในหัวของเขา อีอูยอนเดินข้ามถนนที่ไม่มีทางม้าลายทั้งอย่างนั้น แม้รถที่เห็นเขาจะต้องหยุดอย่างกะทันหันและพ่นคำด่าใส่เขา แต่เขาก็ยังก้าวเดินต่อไปโดยไม่มองข้างๆ เลย พอหลุดออกมาจากถนนเส้นหลัก ก็พบคนแออัดกันอยู่ที่ตรอกที่ต้องเดินเข้าไปอย่างที่สตาฟพูดจริงๆ
อีอูยอนผลักคนที่มุงดูอยู่ออกไปข้างๆ และเดินเข้าไปในนั้น เจ้าหน้าที่กู้ภัยกับตำรวจที่มาถึงก่อนแล้วกำลังเอาผู้เคราะห์ร้ายขึ้นเปลหาม พื้นเปียกโชกไปด้วยเลือดที่ไหลมาจากตัวชาวเอเชียที่โดนแทง วินาทีที่เห็นภาพนั้น อีอูยอนก็รู้สึกว่าเลือดกำลังไหลออกมาจากหัวใจของตน
อีอูยอนคว้าแขนของเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้
[มีอะไรครับ]
[จะขอดูสักครู่น่ะครับ]
[ว่าไงนะครับ]
[ผมจะเช็คดูว่าใช่คนรู้จักหรือเปล่าน่ะครับ]
[พูดอะไรของคุณน่ะ ถ้าอยากจะเช็ค ก็ต้องไปที่สถานีตำรวจสิครับ เช็คที่นี่ตอนนี้ไม่ได้หรอก]
อีอูยอนรู้ดีว่าการเอาผ้าสีขาวปิดหน้าจนหมดหมายความว่าอะไร เขาผลักเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ห้ามตนออกไป เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่านั่นเป็นชเวอินซอบหรือไม่ ไม่อย่างนั้นเขาไม่อาจถอยออกจากที่นี่ได้แม้แต่ก้าวเดียว
เขาดึงผ้าสีขาวที่คลุมเปลหามอยู่ออก เจ้าหน้าที่ตำรวจที่พยายามจะห้ามเขาโมโห และดึงแขนอีอูยอนเอาไว้ ด้วยเหตุนั้น ‘สิ่ง’ ที่อยู่บนเปลหามจึงตกลงบนตัวของอีอูยอน
[ทำอะไรครับ! รู้หรือเปล่าครับว่าตอนนี้คุณกำลังทำเรื่องที่สามารถทำให้คุณโดนจับได้!]
น้ำเสียงโมโหของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังขึ้นเหนือหัวของเขา อีอูยอนมองหน้าของสิ่งที่ล้มลงมาบนตัวเขา หัวใจของอีอูยอนบีบรัดในชั่วพริบตา
[ทำอะไรของเขาน่ะ! เขารู้จักกับผู้เคราะห์ร้ายเหรอ]
[เหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ อาจจะเป็นเพื่อนร่วมเดินทางกันหรือเปล่า]
[ขอโทษครับ]
อีอูยอนเอ่ยขณะที่เปลหามถูกนำขึ้นรถอีกครั้ง
[ผมคิดว่าเป็นคนรู้จัก เพราะได้ยินว่ารูปพรรณสัณฐานคล้ายกันน่ะครับ]
รูปพรรณสัณฐานที่เขาได้ยินมีแค่เรื่องที่เป็นคนเอเชียเท่านั้น เขาข้ามถนนมาเหมือนกับคนบ้า ผลักเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไป และดึงผ้าที่คลุมศพอยู่ออกเพราะคำคำนั้น
คนที่นอนอยู่บนเปลหามไม่ใช่ชเวอินซอบ และไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นผู้หญิง เขาทำเรื่องที่น่าจะถูกใครก็ตามที่ได้ยินหัวเราะเยาะว่าเป็นคนโง่
อีอูยอนลุกขึ้น และขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างสุภาพ
[ผมไม่เห็นเพื่อนร่วมกลุ่มของผมก็เลยกำลังตามหาอยู่น่ะครับ ขอโทษด้วยนะครับที่สร้างปัญหา]
เจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินใจเชื่อ เพราะชาวเอเชียที่ก่อเรื่องมีภาพลักษณ์ใสซื่อ และกำลังทำหน้าตาเป็นกังวลจากใจจริง
[ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ แต่ถ้าคราวหน้าคุณทำแบบนี้อีกจะถูกจับกุมนะครับ ทิ้งช่องทางการติดต่อไว้แล้วก็ไปได้แล้วครับ แล้วก็ถ้าดึกแล้วเพื่อนร่วมกลุ่มยังไม่กลับมา ก็มาที่สถานีตำรวจนะครับ]
เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ และกลับไปจัดการศพอีกครั้ง หลังจากที่บอกโรงแรมที่พักกับหมายเลขห้องที่ตนเองพักอยู่และชื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบแล้ว อีอูยอนก็ออกจากตรงนั้น
เขาแค่โล่งใจเท่านั้นที่มันไม่ใช่อินซอบ นอกจากนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรเลย
อีอูยอนข้ามถนนและเข้ามาในล็อบบี้ของโรงแรม พอเขาเข้ามาด้วยสภาพที่มีเลือดเปื้อนเสื้อเชิ้ตสีขาว พวกสตาฟที่รวมตัวกันที่ล็อบบี้ก็ทำหน้าตาตกใจ
“ตายแล้ว! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะคะ คุณอีอูยอนบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ”
“คุณอีอูยอน เลือดนั้นคืออะไรเหรอคะ”
อีอูยอนไม่ตอบ และหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของอีดายองทันที เขาโยนคำถามที่โผล่ขึ้นมาในหัวระหว่างที่ข้ามถนนมาใส่เธอ
“เอกสารที่ยื่นให้คุณชเวอินซอบคืออะไรเหรอครับ”
“คะ?”
“เอกสารที่ยื่นให้น่ะครับ”
“เป็นของที่หัวหน้าทีมของบริษัททัวร์บอกให้เอาไปให้น่ะค่ะ คืออะไรน้า อ๋อ ใช่แล้ว เป็นสำเนาบัตรประชาชนที่ใช้ยื่นเพื่อเช่ารถกับประกันของนักท่องเที่ยวน่ะค่ะ เพราะคุณอีอูยอนเป็นดารา กรรมการผู้จัดการคิมก็เลยสั่งให้จัดการพวกสำเนาบัตรประชาชนเป็นอย่างดีค่ะ”
อีอูยอนใช้มือกุมหน้าผากก่อนจะหลับตาลง
“…ข้างในนั้นมีบัตรประชาชนของผู้จัดการส่วนตัวของผมอยู่ด้วยหรือเปล่าครับ”
“ค่ะ ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคระ ฉันไม่แน่ใจนะคะ เพราะไม่ได้ดูข้างใน แต่มันก็เป็นของที่ต้องยื่นพร้อมกับสำเนาบัตรประชาชนอยู่แล้วนี่คะ”
อีอูยอนขบริมฝีปาก
ชเวอินซอบได้บัตรประชาชนของตัวเองไว้ในมือแล้ว นั่นหมายความว่าถ้าหากตัดสินใจแล้ว อีกฝ่ายจะสามารถไปจากที่นี่ได้ทุกเมื่อ เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้มีสิทธิของพลเมืองชาวอเมริกา ต่อให้ไม่มีพาสปอร์ต ก็สามารถออกจากฮาวายได้อยู่แล้ว
“ทำไมถึงเอาของแบบนั้นให้คุณชเวอินซอบครับ”
“คะ?”
“ผมถามว่าทำไมถึงเอาของแบบนั้นให้คุณชเวอินซอบ!”
พออีอูยอนตวาด คนที่อยู่รอบๆ ก็หันมามองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจกับเหตุการณ์นี้
“ก็ ก็คุณอีอูยอนสั่งให้เอาไปให้เองนี่คะ…”
อีดายองตอบด้วยเสียงสั่นๆ ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา เป็นเขาเองที่สั่งให้อีดายองเอาเอกสารไปยื่นให้ เพราะอยากให้เธอเห็นว่าอินซอบอยู่ในห้องของเขา และก็เป็นเขาเองที่ไม่ยอมถามว่าเอกสารนั้นคืออะไร
และอีอูยอนก็ได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วคนที่โยนกุญแจที่ทำให้ชเวอินซองออกไปจากที่นี่ได้ให้เจ้าตัวก็คือตัวเขาเอง เป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่เกิดมาที่อีอูยอนอยากจะฆ่าตัวเองให้ตาย
“คะ คุณอินซอบบอกว่าจะไปในเมืองก่อนหน้านี้…”
ตอนนั้นเองสตาฟคนหนึ่งที่ลงมาทีหลังเห็นสถานการณ์ เขาจึงพูดออกมาอย่างระมัดระวัง
“ว่าไงนะครับ”
“เมื่อกี้เขาบอกว่าจะไปในเมือง ผมก็เลยพาไปส่ง…!”
อีอูยอนกระชากคอเสื้อของสตาฟคนนั้น
“บอกว่าพาใครไปส่งนะครับ?”
“ปะ เปล่าครับ ผมแค่…”
“อินซอบบอกว่าจะออกไป แล้วนายก็ไปส่งงั้นเหรอ เหอะ เหี้ยเอ๊ย”
คนที่อยู่รอบๆ ไม่เชื่อสายตาของตนเอง อีอูยอน อีอูยอนที่ขึ้นชื่อว่าสุภาพและมีมารยาทกำลังสวมเสื้อเปื้อนเลือด และสบถออกมาตรงล็อบบี้ของโรงแรม เป็นภาพที่ไม่สามารถเชื่อได้เลย
“ให้เขาลงตรงไหนครับ”
“ครับ? เอ่อ คือ ให้ลงในเมือง…”
“นั่นแหละ ผมถึงถามว่าในเมืองตรงไหนไง!”
พออีอูยอนเพิ่มแรงที่มือ ผู้ชายที่ถูกเขาจับคอเสื้อก็ร้องดัง อ่อก และส่งเสียงเหมือนกับหายใจไม่ออก
“คะ คุณอูยอนอย่างทำแบบนี้เลยค่ะ สงบลงหน่อย…”
“ถึงจะไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร แต่ก็มีคนมองอยู่…นะคะ?”
อีอูยอนโยนผู้ชายคนนั้นลงบนพื้นเหมือนเขวี้ยงออกไป ไม่ว่าจะมีคนมองหรือไม่ เขาก็ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่นแล้ว นอกจากความจริงที่ว่าชเวอินซอบทิ้งตนไป เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญสำหรับอีอูยอนแล้ว
ชเวอินซอบที่โดนเขากอดเอาไว้และบอกรักเขาตลอดทั้งคืน…ชเวอินซอบที่บิดเร่าด้วยความเสียวซ่านในขณะที่เขาขยายช่องทางของอีกฝ่ายออก และสอดใส่ตัวตนของตัวเองเข้าไปทั้งคืน กำลังหนีไปด้วยขาที่เคยใช้เกี่ยวกระหวัดเอวของเขาไว้
“ปล่อยเขาลงที่ไหนครับ”
“ในเมืองครับ ผมปล่อยเขาลงในเมือง”
“เพราะอย่างนั้นผมถึงถามว่าในเมืองตรงไหนไงครับ”
“ผะ ผมจำไม่ค่อยได้แล้วครับ มันมืด แล้ว…แล้วก็เป็นทางที่ออกไป…”
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับฟาดแจกันดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะในล็อบบี้ เลือดสีสดไหลลงมาตามนิ้วของเขาทันที
“ทางที่ออกไป? ที่ไหนล่ะครับ ลองพูดให้ชัดเจนหน่อยสิครับ”
อีอูยอนใช้มือที่เลือดไหลไม่หยุดจับให้สตาฟลุกขึ้นมาก่อนเอ่ย คนที่อยู่รอบๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้อีอูยอน เพราะแววตาของเขาสั่นไหวด้วยความโกรธที่เย็นยะเยือกต่างจากปกติ อีอูยอนช่วยจัดเสื้อผ้าให้สตาฟที่ลังเลเพราะตกใจ แม้เลือดจะไหลเลอะเสื้อผ้า แต่สีหน้าของอีอูยอนกลับเป็นธรรมชาติมาก
“ลองคิดให้ดีสิครับ ว่าปล่อยเขาลงตรงไหน”
“…ละ เลยโรงแรมฮิลตันไปหน่อย…”
พออีกฝ่ายพูดคำนั้นจบ อีอูยอนก็วิ่งออกจากล็อบบี้ไป ทันทีที่ได้กุญแจรถ เขาก็มุ่งหน้าไปในเมือง ทุกครั้งที่ติดไฟแดง เขาจะเหยียบคันเร่งโดยไม่แยแสมันเลยสักนิด เขาจอดรถอย่างลวกๆ ที่จุดที่ผู้ชายคนนั้นบอก และเริ่มวิ่ง อีอูยอนวิ่งและวิ่งเหมือนคนบ้าเพื่อตามหาชเวอินซอบ ถ้าเจอคนที่ดูคล้ายๆ อีกฝ่ายที่ไหน เขาก็จะวิ่งเข้าไปมองหน้า