ตอนพิเศษ 2 < The motto of a company >
หัวหน้าทีมชาอ่านหนังสือพิมพ์ก่อนจะเดาะลิ้นและส่ายหน้า
“เห็นข่าวนี้หรือยังครับ”
“อะไรเหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมที่กำลังจัดเนคไทอยู่เบนสายตาไปที่หนังสือพิมพ์
“คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งรับเด็กคนหนึ่งมาเป็นลูกบุญธรรม แต่เด็กคนนั้นเป็นเด็กที่ไม่ปกติอย่างมากเพราะพ่อแม่เป็นฆาตกร ทันทีที่เกิดมาก็เลยถูกส่งไปที่สถานรับเลี้ยง แต่สุดท้ายเด็กคนนั้นก็ฆ่าพ่อแม่บุญธรรมทิ้งทั้งคู่เลยครับ”
“อ๊าก นี่มันอะไรกันเนี่ย เรื่องนี้เกิดในประเทศเราเหรอ ไม่ใช่ในต่างประเทศหรอกเหรอ”
“อ่านหนังสือพิมพ์สิครับ หนังสือพิมพ์น่ะ”
“ไม่เอาหรอก”
กรรมการผู้จัดการคิมตัวสั่นพลางนิ่วหน้า
“เขาถึงได้บอกไงว่าอย่าเก็บสัตว์ผมดำมาเลี้ยงโดยไม่คิดให้รอบคอบ”
“…ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากเอาคำพูดนั้นมาแขวนไว้เป็นคติประจำบริษัทของเรานะครับ”
“ทำไมล่ะ”
หัวหน้าทีมชาทุบอกตัวเองเพราะคำตอบโง่ๆ ของกรรมการผู้จัดการคิม ในขณะเดียวกันประตูก็ถูกเปิดเข้ามา ก่อนจะตามมาด้วยอีอูยอนที่พุ่งพรวดเข้ามา
“แม่งเอ๊ย ผมบอกไม่ให้รับงานตอนเย็นวันนี้ไงครับ! ใครเป็นคนรับงานครับ!”
หัวหน้าทีมชารู้สึกถึงเดจาวูแปลกๆ จากภาพของอีอูยอนที่เดินเข้ามาอย่างกะทันหันพร้อมกับพ่นคำด่าไปด้วย
“ก็ต้องรับไว้สิ นี่เป็นรายการสำคัญนะ”
“จะเป็นรายการสำคัญอะไรก็ช่าง ผมไม่ไปครับ”
“ว่าไงนะ นายจะโดดงานเหรอ”
“ก็ผมบอกแล้วไงครับว่าให้ทำตารางงานตั้งแต่เย็นวันนี้ไปจนถึงวันพรุ่งนี้ให้ว่างตลอดทั้งวัน”
“นี่ ช่วงนี้ภาพลักษณ์ของนายไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ นายยังจะทำแบบนี้อยู่อีกเหรอ”
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ภาพลักษณ์ของอีอูยอนที่จริงใจ ใจดี และสุภาพเสียหายอย่างหนัก แต่เขาว่ากันว่าคนรวยจะอยู่ต่อได้อีกสามปีหลังจากที่ล้มละลาย แม้คนที่เชื่อมั่นในตัวเขาจะยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่แอนตี้แฟนก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน
ถึงจะมีสายตาชื่นชมเขามากกว่าเมื่อก่อน และมีผู้กำกับโทรศัพท์มาหาเขาอยู่ตลอดก็ตาม แต่กรรมการผู้จัดการคิมก็ยังคิดว่าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป การที่ไอ้บ้านั่นจะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
“เอาล่ะครับ ช่างภาพลักษณ์อะไรนั่น เพราะผมจะต้องไปสนามบินตอนนี้”
“สนามบินเหรอ ไปสนามบินทำไม”
“คุณอินซอบมาครับ”
“ว่าไงนะ อินซอบมาเหรอ วันนี้เหรอ มาเกาหลีเนี่ยเหรอ”
“ขอกุญแจด้วยครับ”
“…กุญแจอะไร”
“เอารถที่เร็วที่สุดครับ ผมรีบ”
อีอูยอนยื่นมือมาขอยืมรถเหมือนกับฝากไว้ รถที่กรรมการผู้จัดการคิมมีเป็นรถระดับสูงที่ซื้อขายกันในราคาร้อยล้านเป็นอย่างต่ำ กรรมการผู้จัดการคิมมองอีอูยอนที่ขอยืมรถเขาอย่างสง่าผ่าเผยแม้จะเพิ่งทำรถเบนซ์พังไปครึ่งคันเมื่อไม่กี่เดือนก่อนด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ถ้านายเป็นฉัน นายจะให้ไอ้ฆาตกรรถเบนซ์ยืมรถไหม”
“ไม่ให้ครับ”
“ใช่ คิดได้ดะ…”
“แต่กรรมการผู้จัดการไม่ใช่ผม เพราะฉะนั้นขอคันที่เร็วที่สุดด้วยครับ”
“…”
กรรมการผู้จัดการคิมหันไปมองหัวหน้าทีมชาด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ หัวหน้าทีมชากลัวว่าตัวเองจะโดนเล่นงานไปด้วยจึงรีบหันหน้าหนี พอเห็นว่ากรรมการผู้จัดการคิมไม่ยอมหยิบกุญแจรถออกมา อีอูยอนก็เปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานด้วยตัวเองและเริ่มค้นหา
“อย่านะ! นั่นเป็นแลมโบกินี่ที่ฉันยังขับได้ไม่ถึงยี่สิบครั้งเลยนะ!”
“งั้นผมจะทำให้ครบยี่สิบครั้งเองครับ”
อีอูยอนเอากุญแจใส่กระเป๋า กรรมการผู้จัดการคิมกลั้นน้ำตาเอาไว้ก่อนจะพูดกำชับว่า ‘ขับระวังๆ’ เพราะเขารู้ว่าเขาไม่สามารถเอาชนะไอ้บ้านี่ได้ด้วยแรง
“ผมจะค่อยๆ ขับครับ ไม่ต้องห่วงนะครับ”
“…ห่วงสิ”
อีอูยอนหันกายไปด้วยสีหน้าอารมณ์ดี เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงยิ้มโชว์ฟันเต็มที่ก่อนจะเอ่ยถาม
“เบาะรถคันนี้เอนไปข้างหลังได้เยอะไหมครับ”
“…”
“ถ้าเอนพอดีๆ ก็คงจะไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจหรอกครับ”
ความต้องการที่ตรงไปตรงมาฉายอยู่ในแววตาของอีอูยอน ก่อนออกไปอีอูยอนบอกว่า ‘วันนี้ผมคงป่วยจากการทำงานหนักมากเกินไป’ ก่อนจะจากไป
กรรมการผู้จัดการคิมทรุดนั่งลงบนโซฟา ความสิ้นหวังติดอยู่ที่สีหน้าของเขา หัวหน้าทีมชาชี้ไปที่ข่าวน่ากลัวในหนังสือพิมพ์ที่อ่านเมื่อกี้ กรรมการผู้จัดการคิมเองก็มองสิ่งนั้นและพึมพำอย่างหมดแรง
“…หมอนั่นคือสัตว์ผมดำชัดๆ”
“ตอนนี้รู้แล้วสินะครับ”
“โอ๊ย แล้วจะแก้ตัวกับโปรดิวเซอร์ว่ายังไงล่ะ…อยากจะบ้าตาย ไอ้สัตว์ผมดำเฮงซวยไม่รู้จักบุญคุณที่เลี้ยงมาเอ๊ย!”
กรรมการผู้จัดการคิมทึ้งผมตัวเอง หัวหน้าทีมชาเดาะลิ้นก่อนจะพับหนังสือพิมพ์ให้เป็นระเบียบเหมือนเดิม
“ว่าแต่ทำไมจู่ๆ อินซอบถึงมาเกาหลีอีกล่ะ ได้รับการติดต่ออะไรมาบ้างไหม”
กรรมการผู้จัดการคิมจัดการความสิ้นหวังอย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยถาม
“ไม่เลยครับ ผมก็เพิ่งจะได้ยินวันนี้ครั้งแรก”
“…อย่าบอกนะว่าจะกลับมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนน่ะ”
“ไม่มีทางหรอกครับ ถ้าเป็นคนมีสมอง หลังจากที่หนีไปได้ไกลขนาดนั้นแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับมาอีกครั้งเด็ดขาด…”
แม้จะเศร้าตอนที่อินซอบกลับอเมริกา แต่อีกแง่หนึ่งหัวหน้าทีมชาก็รู้สึกสบายใจ เขาคิดว่าการหนีไปจากกลลวงของอีอูยอนได้น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ชเวอินซอบหลุดออกไปจากลลวงนั้นได้แล้ว และจะกลับมาอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ…
“…กรรมการผู้จัดการ”
ความคิดที่ไม่น่าสบายใจที่โผล่มาในหัวทำให้หัวหน้าทีมชาต้องเรียกกรรมการผู้จัดการคิม
“ว่าไง”
“คือว่า ผมคิดอะไรที่น่ากลัวมากๆ ขึ้นมาได้ ถ้าผมพูดมันออกไป คุณช่วยปฏิเสธว่าไม่ใช่หน่อยได้…”
“…อย่าพูดนะ เพราะฉันรู้ว่านายจะพูดอะไร”
“…เป็น…เป็นอย่างนั้นเหรอครับ”
“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น”
ความคิดน่ากลัวที่ถูกอธิบายให้เข้าใจด้วยคำที่ใช้เรียกแทนนั้นทำให้หัวหน้าทีมชาตัวสั่นเทา
“เป็นอย่างนั้นแล้วคุณจะว่ายังไงครับ”
“ไม่รู้…ฉันจะไม่คิดด้วย แลมโบกินี่ฉันต้องสกปรกแน่ๆ”
กรรมการผู้จัดการคิมพึมพำอย่างเศร้าใจ พอนึกถึงสีหน้าของอีอูยอนที่ถามว่าเบาะรถเอนได้ถึงไหน หัวหน้าทีมชาก็หนักใจยิ่งขึ้น
“…ทำเป็นคติพจน์กันเถอะ”
กรรมการผู้จัดการคิมที่ปิดปากเงียบเอ่ย
“ครับ?”
“สัตว์ผมดำน่ะ ทำเป็นคติพจน์กันเถอะ ไปพาคนที่เก่งเรื่องการเขียนพู่กันมา แล้วก็ขอให้เขาเขียนด้วยลายมือที่มีน้ำหนักสักแผ่น เสร็จแล้วก็เอามาทำกรอบแขวนกันเถอะ”
“…กรรมการผู้จัดการ”
“เป็นเพราะฉันทั้งหมด ฉันเก็บมาเลี้ยงเอง…ฉันโดนหลอกด้วยหน้าตา”
กรรมการผู้จัดการคิมยังฝันร้ายถึงวันที่แคสติ้งอีอูยอน หัวหน้าทีมชาซึ่งเข้าใจความรู้สึกนั้นดีกว่าใครตบบ่ากรรมการผู้จัดการคิมเบาๆ กรรมการผู้จัดการคิมใช้ฝ่ามือปิดหน้าของตัวเอง และตำหนิตัวเองว่า ‘เพราะหน้าตา เพราะหน้าตาของหมอนั่น แม่งเอ๊ย หลงกล เพราะหน้าตาของไอ้เฮงซวยนั่น!’
หัวหน้าทีมชานึกถึงอีกคนที่โดนใบหน้านั้นหลอก และรู้สึกหนักใจขึ้นมา เขาคิดถึงคนคนนั้นที่กำลังบินมาที่เกาหลีตอนนี้พลางพึมพำ
…หนีไปเถอะครับ คุณอินซอบ
เสียงสะท้อนว่างเปล่าที่ไม่มีที่ไปกองสะสมอยู่ในหัวใจของเขาทั้งหมด
นี่เป็นคืนที่ผู้ชายวัยกลางคนสองคนต้องหลั่งน้ำตา
<จบภาคหนึ่ง อ่านต่อในภาคสอง>