หลังจากอัดรายการเสร็จ อีอูยอนก็ลงมาที่ลานจอดรถและมองหารถตู้สีดำ พอเขาเห็นรถที่จอดไม่ตรงอยู่ที่หลืบลานจอดรถ อีอูยอนก็แอบยิ้ม
พอเห็นการจอดรถที่ไม่สมกับเป็นอินซอบแล้ว เขาก็คิดว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะรีบไปห้องน้ำ เขาเดินเข้าไปที่ด้านข้างของรถ อินซอบที่เขาคิดว่าไปห้องน้ำกำลังหลับอยู่ตรงที่นั่งของคนขับรถ
อีอูยอนคิดว่าเขาจะใช้มือเคาะกระจกรถดีไหม และหยุดยืนมองใบหน้าด้านข้างของอินซอบอยู่สักพัก แม้จะมีเพียงกระจกกั้น แต่หัวใจของเขากลับรู้สึกเจ็บแปลบพร้อมกับรู้สึกเศร้าใจจนเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แค่มองเฉยๆ เขาก็รู้สึกคันที่หัวใจแล้ว
อีอูยอนใช้นิ้วลูบกระจกไปตามใบหน้าของอินซอบ ทันทีที่นิ้วแตะมาโดนบริเวณปาก อินซอบก็ลืมตาขึ้นมาเหมือนโกหก
นี่หรือเปล่า เจ้าหญิงที่ตื่นขึ้นมาด้วยจุมพิตของเจ้าชาย
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับเคาะกระจกรถ กระจกรถเลื่อนลงพร้อมกับเสียงดัง อืดดด
“คุณอินซอบรอนานไหมครับ”
“…”
“คุณดูเหนื่อยนะครับ วันนี้รีบกลับบ้านไปพักเถอะครับ ผมจะไม่แตะต้องคุณแม้แต่ปลายนิ้วเลย”
แม้จะรู้ว่าเป็นสัญญาที่รักษาไม่ได้ แต่อีอูยอนก็ลองพูดแบบนั้นไปก่อน แต่อินซอบกลับไม่ตอบอะไรกลับมา
“ผมจะไม่แตะจริงๆ นะครับ”
“…คุณอูยอน”
“ทำไมถึงเรียกอย่างซีเรียสขนาดนั้นล่ะครับ มีเรื่องอื่นที่อยากจะขอร้องเหรอครับ”
“…เดี๋ยวรถจะมานะครับ”
“ครับ?”
“เขาบอกว่าเดี๋ยวจะมา…ขอโทษนะครับ”
อินซอบกะพริบตา แม้กระทั่งการกะพริบตานั้นก็ยังเกินความสามารถ ความเร็วในการยกเปลือกจึงค่อยๆ ช้าลงเรื่อยๆ เขานึกว่าอินซอบคงจะเหนื่อยมาก อีอูยอนจึงคิดว่าวันนี้เขาจะขับรถเอง
“วันนี้ผมจะขับเองครับ”
“…เบาะมันสกปรกมาก…”
“ที่สกปรกน่ะ ไม่ใช่ที่นั่งฝั่งคนขับรถหรอกครับ แต่เป็นเบาะหลังต่างหาก ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวไปใช้บริการล้างรถก็ได้”
ชเวอินซอบมองอีอูยอนด้วยดวงตาที่ไหววูบพลางยิ้มจางๆ
“รักนะครับ…”
“…!”
“ถึงไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกแบบนั้นครับ”
“ผมเองก็อยากจะพูดแบบนั้นเหมือนกันนะครับ…แต่ว่าถ้าผมรู้ความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว ผมจะบอกนะครับ”
อีอูยอนพูดแบบนั้นพลางใช้ฝ่ามือกดตรงบริเวณหน้าอก พอได้ยินคำสารภาพรักของชเวอินซอบ หัวใจของเขาก็เริ่มเจ็บแปลกชึ้นมาอีกหนึ่งระดับ
“แค่รู้สึกคล้ายๆ…ก็พอแล้วครับ”
“รู้สึกคล้ายๆ เหรอครับ ฮ่าๆๆๆ”
อีอูยอนเอื้อมมือไปลูบแก้มอินซอบ เขาตกใจกับสัมผัสที่เย็นเหมือนน้ำแข็งจึงชะงักไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
“คุณอินซอบ ทำไมตัวคุณถึง…”
ตอนนั้นเองเขาถึงได้มองร่างของอินซอบที่กำลัเอนพิงเบาะอยู่ในรถ เลือดที่ทำให้ช่วงขาของอีกฝ่ายเปียกชุ่มเจิ่งนองอยู่บนเบาะรถ อีอูยอนเปิดประตูฝั่งคนขับรถด้วยความตกใจ
ร่างของชเวอินซอบล้มใส่อีอูยอนอย่างไร้เรี่ยวแรง
“นี่มันอะไรกันครับ! คุณอินซอบ เดี๋ยวครับ ผมถามว่านี่มันอะไร!”
เขาได้ยินเสียงไซเรนดังมาจากบริเวณทางเข้าลานจอดรถ อีอูยอนก็ได้รู้ความหมายของคำว่าอีกเดี๋ยวรถจะมาที่ชเวอินซอบพูดเมื่อกี้ทันที
“คุณอินซอบ คุณอินซอบ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะครับ เหี้ยเอ๊ย ใครมันทำ…แป๊บหนึ่งนะครับ คุณอินซอบ!”
อีอูยอนคว้าไหล่ของอินซอบเอาไว้และกรีดร้องออกมา อินซอบกะพริบตา เขาอยากจะมองใบหน้าของอีอูยอนต่ออีกหน่อย แต่ตาของเขากลับหนักมาก การมองเห็นของเขาเลือนรางขึ้นเรื่อยๆ เขาอยากจะยิ้มให้อีกฝ่าย แต่ใบหน้าของเขากลับไม่ยอมฟังที่พูด
“ชเวอินซอบ! อินซอบ! นี่! ชเวอินซอบ! ลืมตาสิครับ! แม่งเอ๊ย คุณอินซอบ!”
อีอูยอนกรีดร้องพร้อมกับเรียกชื่อของอีกฝ่าย อินซอบวางมือลงบนมือของอีกฝ่ายที่จับไหล่ตนเอาไว้ก่อนจะกระซิบว่า ‘ชอบนะครับ’ อินซอบรู้สึกว่าริมฝีปากของตนขยับแต่ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะได้ยินคำที่พูดไปไหม จากนั้นเขาก็หลับตาลง
แม้เสียงไซเรนจะใกล้เข้ามา แต่หูของอินซอบกลับไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว
***
ใบหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาที่นั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดเคร่งขรึม แผ่นป้ายไฟหน้าห้องผ่าตัดมีเพียงตัวอักษรที่บอกว่ากำลังผ่าตัดเขียนเอาไว้เท่านั้น และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวอะไรออกมาเลย
แม้จะเป็นห่วงอินซอบที่เข้าไปในห้องผ่าตัด และกำลังผ่าตัดใหญ่ แต่กรรมการผู้จัดการคิมกลับผุดลุกผุดนั่งเพราะอีอูยอนที่อยู่ข้างๆ มากกว่าอะไรทั้งหมด
ตอนที่ได้ยินข่าวและวิ่งมาที่โรงพยาบาล กรรมการผู้จัดการคิมก็ได้เห็นภาพนั้น ภาพที่อีอูยอนที่ตัวเปื้อนไปด้วยเลือดกำลังอาละวาด…
เหมือนกับภาพยนตร์สยองขวัญ พอได้ยินหมอบอกว่าถ้าเลือดไหลอย่างกะทันหันเยอะเกินไป คนไข้อาจจะเสียชีวิตจากอาการช็อคได้ อีอูยอนก็ตาถลน เขาคว้าอะไรก็ตามที่สามารถคว้าได้มากรีดข้อมือของตัวเองพร้อมกับตะโกนว่า ‘งั้นก็เอาเลือดผมไปใช้ก็ได้ครับ’ ผู้คนที่เห็นภาพนั้นต่างหน้าซีดเผือด หมอและพยาบาลวิ่งเข้ามาคว้าแขนเขาไว้ และในระหว่างที่ห้ามเลือดเขาก็ยังไม่ยอมสงบ ทำให้เลือดที่ไหลทะลักตรงข้อมือของเขากระจายไปโดนผนังสีขาวของโรงพยาบาล
ต้องฉีดยาระงับประสาทและยานอนหลับถึงสามเข็มเพื่อทำให้อีอูยอนสงบลง แม้จะโดนฉีดยาในปริมาณที่มากพอจะทำให้คนปกติสลบได้ แต่อีอูยอนก็ยังคลุ้มคลั่งว่าจะไปหาอินซอบ กรรมการผู้จัดการคิม หัวหน้าทีมชา และบุรุษพยาบาลสองคนวิ่งเข้าใส่เขา และทำให้เขานอนลงบนเตียงได้อย่างยากลำบาก ผ่านไปไม่นานอีอูยอนก็หลับลงด้วยฤทธิ์ยา ตอนนั้นเองกรรมการผู้จัดการคิมก็ตระหนักได้ว่าภาพลักษณ์ของอีอูยอนคงจบสิ้นลงแล้ว
แต่ปัญหาก็คืออีอูยอนไม่จบแค่นั้น หลังจากพูดคุยกับตำรวจที่มารับเรื่อง กรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชาก็นั่งอยู่ด้วยกันหน้าห้องผ่าตัด และอีอูยอนก็โผล่มา ตอนที่กรรมการผู้จัดการคิมเห็นอีอูยอนโผล่มาที่หน้าห้องผ่าตัดด้วยเท้าเปล่า เขาไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิดเดียวว่าเขากลัวจนเกือบจะเป็นลม
‘ผมจะรอเฉยๆ ครับ’
หลังจากที่พูดแบบนั้น อีอูยอนก็นั่งลงข้างๆ กรรมการผู้จัดการคิม ทั้งหัวหน้าทีมชาและกรรมการผู้จัดการคิมไม่กล้าบอกให้เขากลับไปที่ห้องพักผู้ป่วย
พวกเขาไม่ได้ออกไปจากหน้าห้องผ่าตัดเลยตลอดสามชั่วโมง ทุกครั้งที่อีอูยอนถอนหายใจ ทั้งสองคนจะสะดุ้งจนไหล่สั่น โดยเฉพาะกรรมการผู้จัดการคิม แม้เขาอยากจะไปห้องน้ำ แต่ในระหว่างนั้นอีอูยอนอาจจะเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันก็ได้ เขาจึงกลั้นการปวดปัสสาวะไว้อย่างยากลำบาก
“…เขาว่ายังไงบ้างครับ”
“หา?”
“ตำรวจน่ะครับ…เขาว่ายังไงบ้าง”
อีอูยอนซุกหน้าที่ดูอิดโรยภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงลงกับมือทั้งสองข้างพลางเอ่ยถาม กรรมการผู้จัดการคิมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองหัวหน้าทีมชา หัวหน้าทีมชาเริ่มอธิบายอย่างใจเย็น
“เขาบอกว่ายังจับคนร้ายไม่ได้ แต่น่าจะจับได้เร็วๆ นี้แหละ เพราะมีรอยนิ้วมือติดอยู่ที่มีดที่เจอในรถ แล้วเขายังบอกอีกว่าไม่ต้องเป็นห่วง…”
“เป็นห่วง?…”
อีอูยอนเงยหน้าขึ้นมา ความเย็นชาที่หนาวเหน็บฉายผ่านดวงตาของเขาวูบหนึ่ง
“เป็นห่วง? บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ คือว่าเขาพูดแบบนั้น แต่เราก็ต้องเป็นห่วงอินซอบอยู่แล้ว พวกเราทุกคนก็เป็นห่วงกันหมดนั่นแหละว่าการผ่าตัดจะสำเร็จ…”
“เป็นห่วง? ผมในตอนนี้ดูเหมือนคนที่มานั่งอยู่ตรงนี้เพราะเป็นห่วงเหรอครับ”
“…”
“หัวใจผมเหมือนกับมีไฟไหม้ ทุกครั้งที่หายใจก็เหมือนมีใครใช้มีดแทงหัวของผม…ความรู้สึกแบบนั้นเรียกแค่ว่าความเป็นห่วงงั้นเหรอครับ”
“ไม่…ฉันว่านายไปนอนน่าจะดีกว่า”
“บอกให้ไปนอน แล้วจะมีอะไรต่างไปล่ะครับ”
คราวนี้เขาได้ใช้มือของตัวเองลูบเลือดของชเวอินซอบจริงๆ แม้จะพยายามคิดว่าไม่เป็นไร แต่พอนึกถึงเลือดเหนียวๆ ที่เจิ่งนองอยู่ที่เบาะรถ เขาก็ไม่สามารถหยุดความคิดที่น่ากลัวได้เลย
ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาจะไม่ส่งอีกฝ่ายไปที่นั่น ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาจะบอกอีกฝ่ายเรื่องที่จะไปอเมริกาสัปดาห์หน้า ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาจะบอกว่าชอบอีกฝ่าย จะบอกว่าผมเองก็รักคุณเหมือนกัน…
…เรารู้สึกเหมือนกันจริงๆ เหรอ ชเวอินซอบเองก็มองเราด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับเซลล์สมองโดนมีดโกนเฉือนไปทีละอันๆ แบบนี้เหมือนกันเหรอ…หวังว่าจะไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ก็คงจะดี หวังว่าอินซอบจะไม่รู้สึกถึงความรู้สึกนี้ที่เหมือนกับมีใครเอาไฟมารีดหัวใจ และแม้แต่การหายใจยังเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
อีอูยอนถอนหายใจ ตอนนี้เขาอยากจะเข้าไปข้างใน และดูว่าชเวอินซอบเป็นอะไรหรือเปล่า เขาอยากจะกอดอินซอบไว้ และตะโกนบอกให้อีกฝ่ายลืมตา ความต้องการที่อยากจะได้รับการยืนยันว่าชเวอินซอบปลอดภัยดีต่อยตีไปทั่วร่างของเขา เขาเหงื่อไหลเพราะมัวแต่กดความรู้สึกนั้นเอาไว้
เขาใช้ฝ่ามือลูบหน้า แม้จะมองนาฬิกา แต่เขาก็ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเบาๆ เขาจะกระวนกระวายว่านั่นเป็นเสียงร้องไห้ที่อินซอบส่งเสียงอยู่ด้านในหรือเปล่า
“อูยอน…นายไปพักสักหน่อยเถอะ ขอร้องล่ะ เป็นแบบนี้นายจะล้มไปอีกคนนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมจับไหล่ของอีอูยอนอย่างระมัดระวังก่อนจะเอ่ย แม้จะเป็นคนที่นิสัยไม่ดีอย่างไร แต่พอเห็นว่าอีอูยอนเป็นทุกข์ขนาดนี้เพราะคนอื่น เขากลับไม่ยินดีเลยสักนิด
“ผมจะรอครับ”
“การผ่าตัดจะเสร็จเมื่อไรก็ไม่รู้…”
ตอนนั้นเองประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก และคุณหมอที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดก็ออกมา ทั้งสามคนลุกขึ้น และเดินไปตรงหน้าหมอ
“เขาเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“เป็นยังไงบ้างครับ เขาเป็นยังไงบ้าง”
ในระหว่างที่ทั้งสองคนเอ่ยถาม อีอูยอนกลับปิดปากเงียบ และยืนรอฟังคำพูดของหมออย่างใจลอย
“ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่คุณรู้หรือเปล่าครับว่าหัวใจของคนไข้อ่อนแอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“ครับ? เรื่องนั้น…”
“ทราบครับ”
พออีอูยอนตอบดังนั้น กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาก็มองเขาด้วยแววตาตกใจ
“ถ้าจะให้อธิบายอย่างง่ายๆ เลยก็คือมันอันตรายมากครับ เพราะความสามารถของหัวใจของเขาต่ำกว่าคนอื่นๆ อยู่แล้ว คนที่เป็นอย่างนั้นถ้าช็อคขึ้นมาอาจจะเสียชีวิตคาที่ได้ แม้ว่าคนทั่วไปจะสามารถทนได้ก็ตาม…อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาปลอดภัยดีครับ ตอนนี้เขาจะพักฟื้นอยู่ที่ห้องพักฟื้น แต่ก็ต้องเฝ้าดูอยู่ข้างๆ ตลอดครับ แล้วก็ห้ามเขาทำงานหนักเด็ดขาดไปสักระยะหนึ่งนะครับ ห้ามเด็ดขาดนะ”
หมอเน้นคำว่าเด็ดขาดก่อนจะถอนหายใจ หมอที่เหนื่อยจากการผ่าตัดที่ยาวนานบอกว่า ‘งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ’ และจากไป
“โชคดีมากเลย”
กรรมการผู้จัดการคิมขาอ่อนแรงทรุดลงกับที่ หัวหน้าทีมชาเองก็พูดว่า ‘นั่นสินะครับ’ พร้อมกับพยักหน้า มีแค่อีอูยอนเท่านั้นที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องผ่าตัด และมองประตูที่ถูกปิดลง
“ตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลมากนักหรอก การผ่าตัดเองก็สำเร็จด้วยดี ถ้าฟื้นตัว…”
“ถ้าฟื้นตัวแล้วจะจบเหรอครับ”
“ว่ายังไงนะ”
“หมอบอกว่าถ้าช็อค เขาอาจจะตายคาที่ก็ได้นะครับ”
“มันแค่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบนั้นเท่านั้นเอง ปกติพวกหมอก็ชอบพูดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนอยู่แล้วนี่”
อีอูยอนก้มหน้าลง คำพูดที่บอกว่าเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตฝังลงไปในหัวใจของเขามากกว่าความจริงที่ว่าอินซอบยังมีชีวิตอยู่
อีอูยอนยืนนิ่งไม่พูดอะไรอยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็เรียกกรรมการผู้จัดการคิมราวกับตัดสินใจได้
***
“ฟื้นแล้วเหรอ”
อินซอบกะพริบตาหลังจากได้ยินเสียงของหัวหน้าทีมชา เขาขยับเปลือกตาอย่างยากลำบาก เพราะฤทธิ์ของยาสลบยังไม่หมด
“ไม่เป็นไรแล้ว ครอบครัวของนายกำลังมา”
“…”
ครอบครัวเหรอ หมายความว่ายังไง
“อีอูยอนติดต่อไปน่ะ ตอนนี้ครอบครัวของนายกำลังมา ไม่ต้องกังวลนะคุณอินซอบ”
อินซอบมองไปรอบๆ เขามองผนังสีขาวของห้องพักผู้ป่วย และตอนนั้นเองเขาก็คิดได้ว่า ‘อ๋อ เรายังมีชีวิตอยู่สินะ’
“น่าจะง่วง เพราะยาสลบยังไม่หมด นอนต่อเถอะ”
“…คุณอูยอน…”
“อูยอนเขาไปสถานีตำรวจกับกรรมการผู้จัดการน่ะ”
“…”
“เขาบอกว่าคนที่แทงนายโดยจับแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ พอเห็นว่านายไม่เป็นอะไร อีอูยอนก็เลยออกไป ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก…บางทีน่ะนะ”
“…เมื่อไหร่…”
“เดี๋ยวก็กลับมา นอนเถอะ”
หัวหน้าทีมชาตบไหล่เขาเบาๆ อย่างอบอุ่นก่อนจะเอาผ้าห่มขึ้นมาห่มให้จนถึงไหล่ของอินซอบ อินซอบหลับตาลง เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วนะ เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยพูดคุยกันเบาๆ
[ปีเตอร์! นี่มันเรื่องอะไรกัน ใครทำลูกชายของแม่…นี่แม่เอง จำได้หรือเปล่าว่าแม่เป็นใคร]
[แม่…]
[พ่อก็มาที่นี่ด้วย เห็นพ่อหรือเปล่า]
[ครับ…ขอโทษนะครับ]
[แม่ไม่ได้นั่งเครื่องบินมาจนถึงที่นี่เพื่อฟังคำพูดแบบนั้นนะ อย่าพูดแบบนั้นเลย คิดแค่ว่าจะต้องหายดีก่อนเถอะ]
พอแม่ลูบหน้าผาก น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของอินซอบ เป็นแม่จริงๆ ด้วย ครอบครัวที่เรารักอยู่ตรงหน้าเราแล้ว
แม่กับพ่อเข้ามาจูบหน้าผากเขาตามลำดับ พ่อคุยนั่นคุยนี่กับหมอ และคนอื่นๆ ก็ออกไปจากห้องพักผู้ป่วย
แม่ยังอยู่ข้างๆ เขาและจับมือของเขาไว้ นานมากแล้วจริงๆ ที่เขาไม่ได้รู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยได้ด้วยการจับมือเพียงอย่างเดียว
อินซอบหลับตาลง และพ่นลมหายใจเงียบๆ ออกมา ตอนที่เขารู้ว่ามีมือหนึ่งลูบผมของเขาอย่างระมัดระวัง รอบข้างของเขาก็ถูกย้อมไปด้วยความมืดที่มืดสนิทเสียแล้ว