“แฮ่ก…ดะ เดี๋ยวครับ”
ชเวอินซอบหอบหายใจพร้อมกับกำชายเสื้อของอีอูยอนไว้
“ทำไมล่ะครับ”
ความเฉยชาที่ยากจะเชื่อว่าเป็นของคนที่ดึงตนเข้าไปกอดและดันเข้ากำแพงทันทีที่ผ่านประตูบ้านเข้ามาปรากฏอยู่ในแววตาของอีอูยอน หากได้สบตาอีกฝ่ายจะรู้สึกเหมือนไปๆ มาๆ ระหว่างอ่างอาบน้ำร้อนและอ่างอาบน้ำเย็นโดยไม่ได้พัก อินซอบไม่กล้าบอกใครเลยว่าเขาเองก็มีตอนที่กลัวความต่างนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน
“ถ้ารออีกแป๊บหนึ่ง…”
ริมฝีปากที่กำลังจะพูดประโยคสุดท้ายถูกปิดกั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดในฉากเลิฟซีนของละครก็คือความเข้ากันระหว่างนักแสดงชายหญิง ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่สามารถสอนกันได้ แม้จะใช้การกำกับการแสดงของโปรดิวเซอร์ที่มีความสามารถขนาดไหนก็ตาม อีอูยอนเป็นนักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นเคมีเดินได้ ไม่ว่าจะเอาใครมาเล่นด้วยก็ตาม ถึงขนาดที่มีการตัดต่อคลิปรวมฉากจูบที่อีอูยอนถ่ายในชื่อว่าแบบเรียนการจูบปรากฏอยู่บนอินเทอร์เน็ตเลยทีเดียว ริมฝีปากของอินซอบถูกปิด และลิ้นที่แทรกเข้ามาก็กวาดต้อนอยู่ในปากของเขาเบาๆ ก่อนจะผละออกไป การจูบของอีอูยอนจบแล้ว เขานึกอะไรไม่ออกนอกจากคำนั้น อินซอบเงยหน้ามองอีอูยอนด้วยสีหน้าที่เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง
“ผมจะขออาบน้ำก่อน…เหงื่อผมออกน่ะครับ เพราะเมื่อกี้วิ่งมา”
พอสบตากัน อินซอบถึงได้พูดสิ่งที่ต้องการออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น
“พูดจบแล้วใช่ไหมครับ”
ชเวอินซอบพยักหน้าอย่างตั้งใจ
ต้นขาแข็งแรงแทรกตัวเข้ามาตรงหว่างขาของอินซอบ ปลายเท้าของอินซอบแตะพื้นอย่างฉิวเฉียด เพราะความต่างของร่างกาย
“การสั่งให้รอด้วยเหตุผลแบบนั้นน่ะ ใจร้ายกับคนที่คิดจะอ้าขาของคุณตั้งแต่ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลมากเลยนะครับ”
เขาสัมผัสได้ถึงท่อนเนื้อของชายหนุ่มที่บวมเบ่งจนตึงแน่นราวกับเป็นหลักฐานของคำพูดนั้น อีอูยอนประทับริมฝีปากลงบนแก้ม จมูก และหน้าผากของอินซอบที่กำลังมึนงงจนทำตัวไม่ถูก
“เกือบสิบวันแล้วนะครับ คุณรู้หรือเปล่า”
“รู้ครับ”
เนื่องจากตารางสอบและตารางการถ่ายทำของพวกเขาไม่ตรงกัน ในระหว่างนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่โทรศัพท์หากันเท่านั้น
“แม่งเอ๊ย ผมนึกว่าจะเป็นบ้าเพราะคิดถึงคุณซะแล้ว”
อีอูยอนงับติ่งหูของอินซอบเบาๆ พร้อมกับพึมพำ แม้กระทั่งคำด่าอย่างเปิดเผยก็เป็นน้ำเสียงที่ยอดเยี่ยมที่ได้ฟังอย่างสุนทรีย์ เสียงของอีอูยอนที่กำลังมีอารมณ์สั่นพร่า
“คุณอินซอบคิดถึงผมมากไหมครับ”
“ครับ ก็ต้องคิดถึงมากๆ อยู่แล้วสิครับ”
อีอูยอนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเชยคางของอินซอบขึ้นมาจูบแก้มเพราะถูกใจกับคำตอบที่ตอบกลับมาอย่างตรงไปตรงมา
“คิดถึงมากขนาดไหนครับ”
“ทะ เท่าท้องฟ้า เท่าผืนดินเลยครับ”
“ส่วนผมน่ะคิดถึงมากจนช่วยตัวเองไปด้วยในระหว่างที่คิดถึงคุณอินซอบทุกคืนเลยครับ”
อีอูยอนตอบโต้สำนวนธรรมดาทั่วไปด้วยเรื่องลามกอย่างหน้าไม่อาย เขางับใบหูของอินซอบก่อนจะขยับลิ้นเลีย ชเวอินซอบตัวสั่นระริกพร้อมกับกลั้นเสียงครางเอาไว้
“คุณอินซอบช่วยตัวเองในขณะที่คิดถึงผมหรือเปล่าครับ”
อินซอบส่ายหน้าทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าอยู่
“ทำไมถึงไม่ทำล่ะครับ”
น้ำเสียงนั้นคล้ายจะต่อว่านักเรียนที่ไม่ยอมทำการบ้าน ชเวอินซอบบอกว่า ‘ขอโทษครับ’ และพูดต่อว่า ‘คราวหน้าผมจะทำครับ’
อีอูยอนยิ้มอย่างขมขื่น
อินซอบเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้นิสัยของเขา และเป็นเพียงคนเดียวที่ชอบตัวเขาซึ่งเป็นขยะที่แม้แต่พ่อแม่ก็ยังทอดทิ้งจากใจจริง
อีอูยอนลูบผมของอินซอบและเสยมันขึ้นไปโดยไม่พูดอะไร ดวงตากลมโตสีดำของอินซอบที่เผยความรู้สึกทั้งหมดออกมาขยับไปมาช้าๆ
อีอูยอนใช้นิ้วโป้งลูบริมฝีปากล่างของอินซอบ จากนั้นก็หยุดอยู่สักพักและกดจูบลงบนนิ้วนั้นจนเกิดเสียงดัง จุ๊บ
อีอูยอนกอดอินซอบไว้แบบนั้น ก้อนเนื้อที่อยู่ด้านในซี่โครงคับแน่นและเจ็บแปลบไปพร้อมๆ กัน เลือดอุ่นๆ ไหลไปตามเส้นเลือด สมองของเขายอมรับไปก่อนหน้านี้แล้วว่ามันไม่ปกติ เขาสงสัยอยู่เสมอว่าถ้าคนบ้าตกหลุมรัก มันจะเป็นความรู้สึกที่ปกติหรือเปล่า เขาอยากให้ใครสักคนช่วยบอกให้เขารู้ที
“คุณอินซอบ”
อินซอบหายใจถี่ๆ เหมือนลูกเจี๊ยบตกน้ำ และตอบกลับมาว่า ‘ครับ’
“วันนี้ให้ผมดูได้ไหมครับ”
อินซอบกะพริบตาที่กลมโตเหมือนจะถามว่าหมายความว่าอะไร อีอูยอนเอื้อมมือไปที่ส่วนอ่อนไหวของอินซอบแทนคำตอบ พออินซอบบิดเอวด้วยความตกใจ อีอูยอนก็คว้าขอบกางเกงของอินซอบไว้ และดึงกางเกงของอีกฝ่ายลงอย่างรุนแรง
“เพราะผมอยากเห็นมากเลยครับ”
อีอูยอนใช้เท้าถอดกางเกงของอินซอบออกก่อนจะพูดต่อ
“โชว์ให้ผมเห็นตรงหน้าจนถึงเช้าเลยนะครับ”
***
ชเวอินซอบค่อยๆ ลืมตาขึ้นเพราะมือที่ลูบหน้าผากในขณะที่เขาอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น พอสบตากันในความมืด อีกฝ่ายก็จ้องเขาโดยไม่แสดงอาการอะไรอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามกลับมาว่า ‘ตื่นแล้วเหรอครับ’
“…ทำไม…”
เสียงเขาแหบและไม่ได้เปล่งออกมาอย่างเป็นปกติ อีอูยอนหยิบแก้วน้ำที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงมายื่นให้อินซอบ อินซอบรู้สึกถึงความกระหายของตนจากความหวานของน้ำเย็นๆ ที่ไหลลงไปตามคอ อินซอบวางแก้วลงหลังจากที่น้ำหมดแก้ว
“จะดื่มอีกไหมครับ”
“ไม่เป็นไร…ครับ”
อีอูยอนเช็ดน้ำที่เปื้อนปากของอินซอบออก แล้วเอื้อมแขนข้างหนึ่งออกไปกอดอีกฝ่าย
“ทำไมถึงไม่ยอมนอนล่ะครับ”
ชเวอินซอบเอ่ยถามเหมือนกับเป็นห่วง
“ผมกำลังชื่นชมคุณอินซอบตอนนอนหลับอยู่ครับ”
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมา และเอามาคลุมตัวอินซอบ ชเวอินซอบซบอีกฝ่ายในขณะที่ยังกอดเอวของอีอูยอนเอาไว้ อีอูยอนรู้ดีว่าอินซอบพยายามที่จะไม่แสดงนิสัยเด็กๆ ของตนเองออกมา แล้วเขาก็รู้ว่าช่วงเวลาที่อาณาเขตนั้นจะพังทลายลงมาก็คือตอนที่อีกฝ่ายอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น
อีอูยอนลูบผมอินซอบอย่างระมัดระวัง พอๆ กับที่อีกฝ่ายจะแสดงนิสัยเด็กๆ ออกมาได้เพราะยังไม่ตื่นเต็มที่
“ถึงผมจะบอกว่าไม่ให้ทำ แต่คุณก็จะทำใช่ไหมครับ”
“…ครับ”
อีอูยอนใช้นิ้วดีดสันจมูกของอินซอบเบาๆ
“เข้าใจแล้วครับ พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปคุยกับกรรมการผู้จัดการครับ”
อินซอบยิ้มร่าทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
“แต่คุณจะต้องไม่ทำงานหนักเด็ดขาดเลยนะครับ รู้หรือเปล่า”
“ครับ รู้…ครับ”
อินซอบกะพริบตาอยู่หลายครั้งก่อนจะหลับตาไปในขณะที่ตอบเพราะเขาง่วงได้ที่แล้ว อีอูยอนรู้สึกว่าเลือดในตัวของเขาได้ไหลมากองรวมกันอย่างเบียดเสียดอยู่ตรงหว่างขา เพราะการกระทำที่เหมือนกับลูกเจี๊ยบที่กินยาเข้าไปนั้น
อีอูยอนยิ้มอย่างขมขื่น
แม้จะรู้ว่าเขาทำรุนแรงกับอินซอบไม่ได้ แต่ถ้าเห็นอินซอบที่หอบหายใจพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ไอ้นั่นของเขาก็ตั้งเหมือนเป็นสุนัขของพาฟลอฟ[1] และการควบคุมตัวเองในระหว่างที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีอะไรกันมานานดังเช่นวันนี้ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก
แม้แต่หมาที่ติดสัดก็น่าจะไม่เป็นขนาดนี้
อีอูยอนราดน้ำกามของตัวเองใส่หว่างขาของอินซอบที่สะอึกสะอื้นอยู่ในสภาพที่จะสลบในอีกไม่ช้าก่อนจะจมอยู่กับความคิดที่จริงจังของตนเอง หลังจากใช้ผ้าเช็ดตัวอุ่นๆ เช็ดตัวให้อินซอบและทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ยังทบทวนอยู่กับตัวเองต่อไป
“ขอโทษนะครับ”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความง่วงนอนเอ่ยเรียกอีอูยอน
“ครับ”
“…ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปผมจะตั้งใจทำครับ”
ชเวอินซอบเปิดเผยถึงความตั้งใจที่คาดไม่ถึง และหลับไปทั้งๆ แบบนั้น อีอูยอนก้มลงมองอินซอบอยู่สักพักพร้อมกับกลั้นหายใจไปด้วย
***
“ไม่ได้”
แน่นอนว่าชเวอินซอบ และแม้กระทั่งอีอูยอนที่ไม่แปลกใจกับเรื่องที่ไม่ได้แปลกอะไรก็ยังต้องเลิกคิ้ว
“พอมาลองคิดดูแล้ว มันน่าจะดีกว่าที่จะไม่ให้อินซอบทำงาน”
กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงที่วันนี้แต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าเอนตัวพิงเก้าอี้และส่ายหน้า
“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะครับ เพราะผมเป็นคนต่างชาติเหรอครับ ถ้ามีปัญหาเรื่องประกัน ผมไม่รับค่าจ้างก็ได้ครับ”
“คุณอินซอบพูดอะไรน่ะครับ ถ้าหากขูดรีดแรงงานชาวต่างชาติโดยการไม่ให้ค่าแรง กรรมการผู้จัดการจะโดนจับนะครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมขมวดคิ้วให้กับคำพูดของอีอูยอน อินซอบดีดตัวลุกขึ้นจากที่พลางโบกมือทั้งสองข้างไปมา
“ผมจะไม่แจ้งเด็ดขาดเลยครับ ผมจะไม่โทรไปที่เบอร์ 112 ด้วยครับ”
“112 อะไร…เฮ้อ อินซอบ ปัญหาไม่ใช่เรื่องสัญชาติหรอกนะ ไอ้คนที่อยู่ข้างนายก็ไม่ใช่คนเกาหลีเหมือนกัน”
อีอูยอนโบกมือให้ดูด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“แล้วทำไมถึงทำไม่ได้ล่ะครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมมักจะจับมือชเวอินซอบพูดเล่นๆ โดยมีความจริงใจถึง 99 เปอร์เซ็นต์ปนอยู่ว่า ‘เธอไม่อยากลองมาทำงานที่บริษัทของเราเหรอ’ ทุกครั้งที่บังเอิญเจอกันในที่ส่วนตัว
อันที่จริงถ้าเริ่มปิดเทอม อินซอบก็คิดที่จะทำตัวหน้าด้านมาขอทำงานเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่ JN เอนเตอร์เทนเมนต์อยู่เหมือนกัน แม้จะไม่ได้ทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอน แต่เขาก็คิดว่าอยากจะคอยช่วยอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ
“ถ้า ถ้าผมทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ไป…ผมจะแก้ไขครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาเป็นความสัมพันธ์ที่ล้ำค่าสำหรับอินซอบ พวกเขาเป็นคนที่ไม่เคยบอกว่าเกลียดเขาที่ปลอมตัวเข้ามาทำงานด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ดีเลยสักครั้ง และพวกเขาก็ยังมาส่งตอนที่เขากลับไปที่อเมริกาอีกด้วย ถ้าทำได้ เขาก็อยากจะตอบแทนบุญคุณนั้นด้วยการทำงานโดยไม่รับค่าตอบแทนให้สักสองสามปี
“พูดมาเถอะครับ”
อินซอบทำตาเหมือนกับจะร้องไห้
“มันไม่ใช่อะไรที่จะแก้ไขได้หรอกนะ…”
สายตาของกรรมการผู้จัดการคิมมองไปยังอีอูยอนที่กำลังอ่านบทอยู่ แม้เจ้าตัวน่าจะรู้ถึงสายตานั้น แต่อีอูยอนก็ไม่ยอมหันหน้ามา
“ถ้าผมรบกวนหรือทำพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่สิ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ผมก็ขอโทษด้วยนะครับ เพราะมันเป็นความผิดของทั้งหมดเลย”
ชเวอินซอบดีดตัวขึ้นจากที่และก้มหัวให้ อีอูยอนลากอินซอบมานั่งที่ตามเดิม และแสยะยิ้มโดยที่ไม่ละสายตาไปจากบทเลย
“กรรมการผู้จัดการ”
“…รู้ไหมว่าทุกครั้งที่นายเรียกฉันแบบนั้น อายุฉันสั้นลงไปทีละสิบวันเลย”
“ไม่รู้ครับ”
อีอูยอนพลิกบทไปหนึ่งแผ่นพลางพูดต่อ
“ในเมื่อรู้แล้วจะให้เรียกให้บ่อยขึ้นใช่ไหมครับ”
“…”
กรรมการผู้จัดการคิมกัดริมฝีปาก
ไอ้คนเฮงซวยเอ๊ย ถ้ามันหล่อน้อยกว่านี้อีกนิดเดียว ถ้าเสน่ห์ลดลงแค่นิดเดียว ถ้ารูปร่างแย่ลงอีกแค่นิดเดียว…และถ้าความสามารถในการแสดงลดลงมาเพียงนิดเดียว ฉันจะไล่มันออกในฉาดเดียวเลย
“คุณอินซอบอย่าร้องไห้ไปเลยครับ ผมเองก็จะไม่ทำให้คุณต้องร้องไห้บ่อยๆ เหมือนกัน ผมสงสาร”
กรรมการผู้จัดการคิมอยากจะลบคำพูดสุดท้ายออกไปจากความทรงจำ เขาได้แต่จิบน้ำเย็นไปเรื่อยๆ
“ให้คุณอินซอบเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมเถอะครับ คุณก็รู้ดีนี่ครับว่าไม่มีคนที่เหมาะที่จะทำอีกแล้ว”
“รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ แต่นาย…”
“ผมทำไมครับ”
อีอูยอนปิดบทที่อ่านอยู่ลง
ปลายปีที่แล้วอีอูยอนได้รับการติดต่อจากผู้กำกับที่มีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศส กรรมการผู้จัดการคิมคัดค้านการถ่ายทำสุดชีวิต เพราะนอกจากจะไม่ใช่นักแสดงนำ แต่เป็นตัวประกอบแล้ว นี่ยังเป็นผลงานที่ใกล้เคียงกับผลงานกระแสใหม่อีกด้วย เขาบอกว่าแม้จะไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างชื่อเสียงให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเล่นหนังสั้นที่จะไม่ได้รับความนิยม แถมบทก็ยังแย่อีกด้วย เห็นว่าเป็นบทของฆาตกรที่โรคจิตที่ พิการทางการได้ยิน และชอบฆ่าคนเป็นงานอดิเรก
‘นายถ่ายหนังเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด ภาพลักษณ์นี้จะเกาะติดอยู่กับนายเหมือนแป้งต๊อกเหนียวๆ เพราะมันเหมาะกับนายมาก!’
แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะตะโกนด้วยความรู้สึกเหมือนจะอาเจียนเป็นเลือด แต่อีอูยอนก็ไม่แม้แต่จะทำเป็นได้ยิน และตกลงรับเล่นเหมือนกับที่ทำมาตลอด ปีถัดมาผลงานเรื่องนั้นกวาดรางวัลที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสมาได้ และอีอูยอนเองก็ได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมมาด้วย ด้วยเหตุผลนั้นกรรมการผู้จัดการคิมจึงเหงื่อตกเพราะมัวแต่ปฏิเสธบทตัวร้ายโรคจิตที่เลือดเย็นหรือบทฆาตกรอยู่ระยะหนึ่ง
“ผมทำอะไรเหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามพลางยิ้มไปถึงตา เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผู้ชมผู้หญิงทำหน้าไม่ถูกว่าจะต้องยิ้มหรือจะต้องร้องไห้ดีและรู้สึกเห็นใจฆาตกรในขณะที่เขากำลังฆ่าผู้หญิงที่รักด้วยมือของตัวเอง
แต่กรรมการผู้จัดการคิมรู้ดีว่าหนุ่มหล่อเจ้าของดวงตาสวยงามคู่นั้นที่สั่นไหวความรู้สึกของคนมีกลอุบายที่ทำให้ขนลุกติดตัว
“นาย นาย…”
แสดงท่าทีออกมากเกินไปยังไงล่ะ ไอ้หนุ่ม
กรรมการผู้จัดการคิมหลบสายตาอย่างยากลำบากพร้อมกับกล้ำกลืนคำที่อยากพูดลงไป
“ผมทำอะไรเหรอครับกรรมการผู้จัดการ”
อีอูยอนถามซ้ำเหมือนกับไม่รู้จริงๆ เขายังคงกุมข้อมือของอินซอบไว้ในมือข้างหนึ่งอยู่
‘ผมอาจจะทำให้เสียเรื่อง เพราะคำพูดไร้สาระก็ได้…แต่การที่จะให้อินซอบมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนมันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ’
ตอนที่หัวหน้าทีมชาหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาคุยครั้งแรก กรรมการผู้จัดการที่นั่งอย่างหมิ่นเหม่อยู่บนเตียงเสริมและปอกแอปเปิลอยู่ก็เกรี้ยวกราดขึ้นมา ‘เป็นอะไรของนาย จะมีคนที่เหมาะกับงานเท่าอินซอบที่ไหนอีกเหรอ นายทำแบบนั้นเพื่อที่จะทำให้ฉันเป็นผู้จัดการส่วนตัวของไอ้อีอูยอนมันหรือไง’ เขาตะคอกออกมาโดยไม่หายใจเลยสักครั้ง หัวหน้าทีมชาหยิบแอปเปิลที่ปลอกอย่างสวยงามขึ้นมาหนึ่งชิ้นพลางถามกลับอย่างใจเย็น
‘ถ้าโดนจับได้จะทำยังไงล่ะครับ’
สีเลือดหายไปจากหน้าของกรรมการผู้จัดการคิม ในห้องพักผู้ป่วยมีเพียงเสียงเคี้ยวแอปเปิลของหัวหน้าทีมชาเท่านั้น
หัวหน้าทีมชากับกรรมการผู้จัดการคิมอยากจะเมินความสัมพันธ์ของอีอูยอนกับชเวอินซอบ แต่สุดท้ายพวกเขาก็รู้อยู่ดี แต่มันต่างกับการที่คนอื่นจะรู้ราวฟ้ากับดิน นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะจบลงได้ด้วยการเป็นข่าวลือทั่วไป
หากความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ถูกเปิดเผย คุณค่าของนักแสดงที่ชื่อว่าอีอูยอนในสังคมเกาหลีที่หัวโบราณจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างแน่นอน ตอนนี้บริษัทที่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วกำลังขยายอาณาเขตและเติบโต อีอูยอนเองก็เป็นนักแสดงที่เป็นหน้าเป็นตาของ JN เอนเตอร์เทนเมนต์ สุดท้ายกรรมการผู้จัดการคิมก็ตัดสินใจปฏิเสธการรับอินซอบเข้ามาทำงานด้วยความรู้สึกเหมือนกับโดนเหลากระดูก[2]
“ภาพลักษณ์นายไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนนี่นา ถ้าเกิดข่าวลือใหญ่โตสักครั้ง มันจะแพร่ไปเร็วมากเลยนะ แล้วก็อินซอบน่ะใจดีเกินไป ผู้จัดการส่วนตัวที่เข้มงวดและโหดร้ายสักหน่อยน่าจะเหมาะกับนายมากกว่า”
กรรมการผู้จัดการคิมพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ทำให้อินซอบรู้สึกผิดด้วยการโยนภาระไปที่อีอูยอนทั้งหมด และนั่นก็เป็นความจริง
“ฮ่าๆๆๆ”
การหัวเราะของอีอูยอนทำให้เขารู้สึกถึงความสดชื่นที่เหมือนกับสายลมที่ทำให้ความเขียวชอุ่มของเดือนพฤษภาคมสั่นไหว แต่ไม่มีใครในห้องนี้สามารถเพลิดเพลินกับความสดชื่นนั้นได้เลย
“ว้าว น่ากลัวจัง”
อีอูยอนพูดแบบนั้น และหันหน้าไปหาอินซอบที่อยู่ในสภาพฝังตัวอยู่กับโซฟา
“ถ้าผมกลายเป็นคนตกงาน คุณอินซอบจะเลี้ยงผมไหมครับ”
ผู้ชายที่หาเงินได้มากขนาดที่ต่อให้ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอย่างเดียวไปสามชั่วอายุคนก็ยังมีเงินเหลือทำหน้าตาน่าสงสาร
“ผมจะรับผิดชอบเองครับ”
ชเวอินซอบไม่มีทางรู้ถึงสถานการณ์นั้น เขาจึงทำสายตาจริงจังมากและพยักหน้าอย่างตั้งใจ
“งั้นก็โอเคแล้วครับ”
“โอเคอะไร”
“ก็คุณอินซอบบอกว่าจะรับผิดชอบนี่ครับ ต่อให้ผมล้มภายในหมัดเดียวก็ตาม”
พอเห็นกรรมการผู้จัดการคิมมองมาด้วยสายตาเหมือนจะฆ่าให้ตาย อีอูยอนก็หยิบบทขึ้นมาพลางว่า
“แล้วคุณหาผู้จัดการส่วนตัวโหดๆ ที่เหมาะกับผมไว้แล้วเหรอครับ”
“ถึงจะยังไม่ได้ทำแบบนั้น แต่ฉันก็คัดเลือกผู้สมัครไว้สองสามคนแล้ว ฉันเลือกคนที่ขึ้นชื่อว่าทำงานเก่งมากๆ ในแวดวงนี้ไว้แล้ว เอาล่ะ ดูเรซูเม่นี่สิ…”
อีอูยอนตัดบทขึ้นมาว่า ‘ว่าแต่’ ก่อนที่กรรมการผู้จัดการคิมยื่นแฟ้มเอกสารที่มีเรซูเม่ใส่ไว้ให้เสียอีก
“จะจัดการเรื่องประกันยังไงเหรอครับ”
“ประกันอะไร?”
“ถ้าผู้จัดการส่วนตัวสัญญาจ้างที่เหมาะกับผมบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดจะทำยังไงล่ะครับ ผมนี่ก็ถามเรื่องไร้สาระไปเสียได้นะครับ บริษัทที่มีเงินเยอะก็ต้องจัดการได้อยู่แล้ว”
“…”
ใบหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมซีดหนักภายในเวลาที่กี่วินาที
“ผมอยากเจอผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่เร็วๆ จังเลยครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมกัดฟันกรอดพลางมองใบหน้าด้านข้างที่สมบูรณ์แบบของอีอูยอนที่ฮัมเพลงไปพร้อมกับพลิกบทไปด้วย นี่เป็นยามบ่ายที่เขาอยากจะทุบตีตัวเองในอดีตแรงๆ ที่ถูกใบหน้านั้นหลอก
[1] สุนัขของพาฟลอฟ เป็นการทดลองที่ทำให้สุนัขน้ำลายไหลผ่านการกระตุ้น 3 ขั้นตอน
[2] เหลากระดูก หมายถึง ความรู้สึกเป็นทุกข์มากๆ จนยากที่จนอดทนไว้ได้