เอาชนะสิบสำนักด้วยกระบี่เดียว เปลี่ยนสำนึกของเจ้าซะ! (รีไรท์)
ทันทีที่คำพูดของหนิงฝานกล่าวออกมา เซียวเยี่ยนและศิษย์จากสำนักอื่นพลันหัวเราะเยาะหยันเสียงดัง
“ฮ่า ๆ! เด็กน้อย เจ้ามาที่นี่ให้ตลกขบขันแล้วงั้นหรือ!”
“คันมือหรือ? ข้าว่าผิวของเจ้าคงคันคะเยอล่ะสิท่า!”
“ไปให้พ้น! ศิษย์ช่างซ่อมบำรุงเล็ก ๆ ผู้หนึ่ง ยังกล้ามาท้าประลองพวกเราอีก!”
“แม้กระทั่งเหล่าศิษย์ของสวรรค์ทะนงที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ยังมิอาจนับเป็นคู่ต่อสู้ของพวกข้า แล้วเจ้านับเป็นสิ่งของอันใดกัน!”
“บังอาจหาญกล่าวโอ้อวดหนำซ้ำยังให้พวกข้ารับกระบี่ของเจ้า ผู้ใดมันมอบความกล้าให้เจ้า หา!”
“…”
ทุกคนพร้อมใจกันไม่ถือเอาหนิงฝานเป็นเรื่องเป็นราว แม้แต่หลิงอวิ๋นเทียนและผู้อื่นล้วนส่ายหัว
“ไม่ไม่ไม่! พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว! ข้าไม่ได้ให้พวกเจ้ารับกระบี่ของข้า….”
ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันจากหมู่ศิษย์ หนิงฝานจึงสะบัดมือปฏิเสธเป็นพัลวัน จากนั้นชี้ไปที่เจ้าสำนักทั้งสิบที่นำโดยหลิงอวิ๋นเทียน “ข้าหมายถึง ให้พวกเจ้ารับกระบี่ข้า!”
“…”
ทุกคนตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าพวกเขามืดครึ้มลง รู้สึกราวกับพวกเขาถูกล้อเล่น!
ศิษย์ช่างซ่อมบำรุงเล็ก ๆ ผู้หนึ่งวิ่งโร่มาให้เจ้าสำนักทั้งสิบรับกระบี่หนึ่งจากเขา เห็นได้ชัดว่าล้อคนเล่นแล้ว!
“เด็กน้อย ผู้ใดใช้ให้เจ้าใช้กลอุบายเล็กน้อยพรรค์นี้มาดูหมิ่นหยามเหยียดพวกเรา?”
ใบหน้าของหลิงอวิ๋นเทียนและคนอื่นล้วนเขียวคล้ำ จิตสังหารบางเบาเริ่มคุกรุ่นโอบล้อมขึ้นมา
แม้นสำนักใหญ่ทั้งสิบของพวกเขาไม่ได้เยี่ยมยอดเท่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนโดยรวม ทว่าพวกเขาในฐานะเจ้าสำนัก ย่อมมิใช่สิ่งที่ศิษย์ช่างซ่อมบำรุงเล็ก ๆ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สามารถดูหมิ่นเอาได้
“เหอะ ๆ ดูเหมือนพวกเจ้าจะยอมรับกระบี่ของข้าแล้วสินะ!”
สัมผัสได้ถึงจิตสังหารในบรรยากาศ หนิงฝานแสยะยิ้มพลันดึงกระบี่วิญญาณฟ้าออกมา!
“ยังแสร้งโง่งมอยู่อีก!”
ถึงตอนนี้ หลิงอวิ๋นเทียนและผู้อื่นถางถาง ซ้ำยังต้องการที่จะสังหารหนิงฝานเต็มทน
ชิ้ง!
อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะได้ลงมือ กลับได้ยินเสียงกระบี่ก้องกังวานขึ้น
หนิงฝานชักกระบี่เป็นคนแรก!
ฟึ่บ!
เงากระบี่พาดผ่าน ฟันฉับไปยังหลิงอวิ๋นเทียนและคนอื่น ๆ
“เจ้าสิ่งมิรู้กริ่งเกรงความตาย!”
ครานี้ จักรพรรดิทองคำผู้เลือดร้อนตะโกนขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาเป็นถึงจ้าวยุทธ์ขั้นสมบูรณ์แบบ ทั้งยังเป็นผู้ฝึกร่างกาย อาศัยร่างกายอันแข็งแกร่งเขายืดมือออกไปรับประกายกระบี่
แกร่ก!
ทว่าในเวลาต่อมา เมื่อฝ่ามือของจักรพรรดิทองคำสัมผัสประกายกระบี่ ประกายกี่พลันระเบิดออกเป็นแสงเจิดจ้า ทันใดนั้นพลังกระบี่อันน่าหวาดหวั่นเบ่งบานออกมา มือของจักรพรรดิทองคำถูกประกายกระบี่หั่นลงไปราวกับเป็นเต้าหู้ เลือดพุ่งกระฉูดออกมา!
“ท่าไม่ดีแล้ว!”
ภายใต้การผันแปรอย่างฉับพลัน หลิงอวิ๋นเทียนและคนอื่น ๆ ร้องลั่น กระจ่างแจ้งว่าพวกเขาคาดคะเนผิด!
ทว่ามิทันได้มีเวลาครุ่นคิด พลังกระบี่อันน่าเกรงขามห้อมล้อมพวกเขาทั้งสิบ
หลบไม่ทัน!
หลีกไม่พ้น!
ทำได้เพียงยืนทื่อรับมัน!
อ๊ากกก!
หลิงอวิ๋นเทียนและคนอื่น ๆ แผดเสียงก้องอย่างโกรธแค้น พลังฐานรากของผู้ฝึกจ้าวยุทธ์ขั้นสมบูรณ์แบบระเบิดออกมาพร้อมเพรียงกัน ชั่วขณะนั้นวิทยายุทธ์แตกฉานซ่านเซ็น พลังสิบสายพรั่งพรูออกมาอย่างรุนแรง พยายามประทะกับประกายกระบี่ที่เข้ามา
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ถึงอย่างไร ในชั่วพริบตา พละกำลังที่พวกเขาทุ่มลงไปสุดพลังทั้งหมด ล้วนมอดสลายด้วยประกายกระบี่ จากนั้นท่ามกลางสายตาสะพรึงกลัวของทุกคน ประกายกระบี่ฟาดฟันใส่พวกเขา
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ทันใดนั้น คนทั้งสิบกระเด็นออกไปในแนวราบ ทั้งยังกระอักเลือดออกจากปาก เมื่อพวกเขาร่อนถลาลงพื้น ล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัสและสูญเสียพละกำลังในการต่อสู้ไปสิ้น
“…”
ชั่วขณะนั้น ทุกคนในที่นั้นล้วนเงียบเป็นเป่าสาก โดยเฉพาะศิษย์สำนักเหล่านั้นที่สีหน้ายังคงเจือความเย้ยหยัน ก่อนสีหน้าพวกเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อโดยสิ้นเชิง
หนึ่งกระบี่!
เพียงแค่กระบี่เดียว!
เจ้าสำนักทั้งสิบที่อยู่ในขั้นจ้าวยุทธ์ขั้นสมบูรณ์ถึงกับถอยร่นทั้งยังกระอักเลือดออกมา!
นี่มันน่าขบขันเกินไปแล้ว!
“เจ้า… เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่!!”
มิต้องกล่าวถึงศิษย์สำนักเหล่านี้ แม้แต่หลิงอวิ๋นเทียนและคนอื่น ๆ ต่างตะโกน ทั้งยังมองหนิงฝานด้วยความหวาดผวาบนใบหน้าพวกเขา มิอาจเชื่อฉากนี้แม้แต่น้อย
“เมื่อสักครู่ ไม่ใช่พึ่งบอกหรือว่าข้าเป็นศิษย์ช่างซ่อมบำรุงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน” หนิงฝานเก็บกระบี่เข้าฝัก
ศิษย์ช่างซ่อมบำรุง?
ช่างซ่อมบำรุงกับผีสิ!
ศิษย์ช่างซ่อมบำรุงที่ไหนสามารถเอาชนะเจ้าสำนักใหญ่ทั้งสิบด้วยกระบี่เดียว นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จักรพรรดิยุทธ์ยังไม่สามารถ
ทว่าน่าเสียดายยิ่งนัก หลิงอวิ๋นเทียนและคนอื่นไม่กล้าเอ่ยหักล้างสิ่งใด
“ดูเหมือนแดนศักดิ์สิทธิ์รวมยุทธ์ครั้งนี้ เป็นพวกเราดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนชนะแล้ว ใช่หรือไม่?”
ท้ายที่สุด หนิงฝานเข้าใกล้หลิงอวิ๋นเทียนและคนอื่น เอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าแฝงความเคร่งขรึมจริงจัง
“ใช่ ใช่ ใช่!”
หลิงอวิ๋นเทียนและคนอื่น ๆ ผงกหัวอย่างร้อนรน ประจันหน้ากับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ พวกเขาจะบอกว่าไม่ใช่ได้อย่างไร
“เช่นนั้นต่อไปต้องทำเช่นไร คงไม่ต้องให้ข้าสอนพวกเจ้าสินะ!” หนิงฝานเอ่ยอีกครั้ง
“รู้แล้ว! พวกข้ารู้แล้ว!”
หลิงอวิ๋นเทียนและคนอื่น ๆ ผงกหัวอย่างแรงอีกครั้ง
“เด็กน้อยว่านอนสอนง่ายนัก!”
หนิงฝานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจจากนั้นจึงหันหลังจากไป ทว่าในขณะที่เขากำลังจะหายตัวไป เสียงของชายหนุ่มก็ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน “สิ่งสุดท้าย อย่าได้เปิดเผยตัวตนของข้าต่อผู้อื่น มิฉะนั้นพวกเจ้าย่อมได้รับผลของการกระทำ!”
ทุกคนตะลึงพรึงเพริด!
หลังจากหนิงฝานหายลับไปแล้ว หลิงอวิ๋นเทียนกับคนอื่น ๆ ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ พลางมองหน้ากันและกัน ต่างเห็นร่องรอยของความหวาดกลัวอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย
“ดูเหมือนพวกเราจะดูแคลนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมากเกินไป!”
“ชายหนุ่มเมื่อครู่นี้ อย่างมากก็เพียงยี่สิบปีต้น ๆ สามารถเอาชนะพวกเราด้วยเพียงกระบี่เดียว นี่มันจะเกินความเหมาะสมไปไกลแล้ว”
“น่าหวาดกลัวนัก! ข้ากลัวว่าคนผู้นี้จักมี…คุณสมบัติของขั้นปราชญ์ยุทธ์!”
“หา! ปราชญ์ยุทธ์!”
“…”
หมายถึงขั้นปราชญ์ยุทธ์น่ะหรือ!
เจ้าสำนักทั้งสิบสั่นสะท้านอย่างหนัก!
ปราชญ์ยุทธ์… นี่เป็นตัวตนต้องห้ามที่มิมีผู้ใดเคยพานพบ!
เหตุที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนสั่นคลอนใต้หล้ามานานนับหลายพันปี เป็นเพราะผู้ก่อตั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เฒ่าชราไท่เสวียนเป็นปราชญ์ยุทธ์ผู้หนึ่ง
บัดนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนกลับมีปราชญ์ยุทธ์ก่อกำเนิดขึ้นอีกผู้หนึ่งหรือ?
“ไป! กลับไป!”
ในท้ายที่สุด สำนักใหญ่ทั้งสิบตัดสินใจกลับไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนในทันที
หนิงฝานแน่นอนว่ามีคุณสมบัติของปราชญ์ยุทธ์ แม้พวกเขาถูกสังหาร พวกเขาก็ไม่กล้าก่อความขุ่นเคืองให้ผู้ที่จะเป็นปราชญ์ยุทธ์ภายหน้า
อย่างรวดเร็ว
พวกเขากลับมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอีกครั้ง
หลังจากนั้น หลัวชิงเซียนและขุนนางผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต้อนรับผู้คนจากสิบสำหนักเข้ามาเป็นครั้งที่สอง
ท่าทีของสำนักทั้งสิบเปลี่ยนแปลงไป 180 องศาเมื่อเทียบกับครั้งแรก
“เจ้านิกายหลัว หลังจากกลับไปครุ่นคิดไตร่ตรองดีแล้ว ข้าตัดสินใจมอบคืนสมบัติทั้งสิบ อย่างไรเสีย นี่เป็นเพียงการประลองยุทธ์เท่านั้น พวกเราจักกล้ารับสมบัติล้ำค่าเช่นนี้จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นไร”
“ยิ่งกว่านั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่มีหน้าที่รับผิดชอบปีศาจในชายแดนทิศเหนือ ในเมื่อเป็นสำนักฝ่ายธรรม เราย่อมทำตัวให้เป็นเยี่ยงอย่าง นับแต่นี้ พวกเราสิบสำนักใหญ่ยินดีฟังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน และจะกำจัดปีศาจอย่างสุดความสามารถ”
“ใช่ พวกเรายินดีที่จะบริจาคทรัพยากรในการฝึกฝนเพื่อกำจัดปีศาจให้สิ้นซาก”
เจ้าสำนักทั้งสิบนำโดยหลิงอวิ๋นเทียน เจ้าพูดนั่น ข้าพูดนี่ ระดับของความสุภาพช่างทำให้หลัวหลัวชิงเซียนและผู้อื่นสับสนยิ่งนัก
“นี่…”
โดยเฉพาะหลัวชิงเซียน ผู้ที่มีหัวเล็กทว่ามีเครื่องหมายคำถามอันใหญ่ประดับ
หากพูดตามหลักเหตุและผลแล้ว สิบสำนักใหญ่ได้รับชัยชนะอย่างเกรียงไกรในวิทยายุทธ์ ควรดูถูกเหยียดหยามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนหนักขึ้น เหตุใดพวกเขากลับนอบน้อมยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
“ทุกท่าน นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
สุดท้ายแล้ว หลัวชิงเซียนไม่อาจข่มความสงสัยได้จึงเอ่ยถามออกมา
“ไม่!”
“ไม่มีอย่างแน่นอน!”
“เจ้านิกายหลัวอย่าได้คิดมากไปเลย ทุกสิ่งล้วนเป็นพวกเราสมัครใจ!”
เมื่อนึกถึงคำเตือนสุดท้ายของหนิงฝาน หลิงอวิ๋นเทียนย่อมไม่กล้าเผยสิ่งใดเกี่ยวกับหนิงฝานไปโดยปริยาย
“เอาเถอะ!”
เมื่อเห็นว่าหลิงอวิ๋นเทียนและคนอื่น ๆ ไม่ยอมเอ่ยสิ่งใด หลัวชิงเซียนจึงไม่ไตร่ถามสิ่งใดอีก
ทว่านางกลับคาดเดาบางอย่างอยู่ภายในใจ
เป็นผู้สัญจรนิรนามผู้นั้นลงมือหรือ?
ในฐานะของเจ้านิกายแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน นางมิเคยลืมว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังมีความภาคภูมิแห่งสวรรค์นิรนามผู้พิชิตหอคอยสวรรค์ทะนงชั้นที่สิบ