ตอนที่ 56 พระราชลัญจกร เจรจาก่อนเปิดศึก! (รีไรท์)
วิหารทองคำเป็นสถานที่ประชุมของราชวงศ์เทพขนนก มันดูโออ่ายิ่งใหญ่และงดงามทั้งภายนอกภายใน
เมื่อผู้คนเข้ามา ขุนนางและเหล่าทหารอารักขาทั้งหมดต่างยืนตรงขนาบทั้งสองฝั่งไว้
มีบัลลังก์มังกรอยู่ด้านบนสุด แน่นอนว่านี่คือตำแหน่งขององค์จักรพรรดิผู้ครองอำนาจทั้งมวล
โดยปกติแล้ว ไม่มีองค์ชายใดกล้านั่งบนบัลลังก์มังกรสูงสุด พวกเขาล้วนแต่นั่งอยู่ภายใต้บัลลังก์มังกรเท่านั้น
ใต้ล่างบัลลังก์มีสิบที่นั่งว่างอยู่ หลังจากองค์ชายทั้งเก้านั่งลงแล้วก็เหลืออีกเพียงหนึ่งที่นั่งเท่านั้น
ไม่นานนัก หลัวชิงเซียนกับหนิงฝานก็เดินเข้ามา
จู่ ๆ องค์ชายหลินหลงเซี่ยงก็เผยสีหน้าเย้ยหยันออกมา
หึ!
ต่อให้เข้ามาได้ก็ไม่มีที่ให้เจ้านั่งหรอก!
“…”
แน่นอนว่าเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลัวชิงเซียนพลันขมวดคิ้วแน่น
ยามนี้เหลือเพียงที่นั่งเดียวเท่านั้น หากนางนั่งลง หนิงฝานก็จะไร้ซึ่งที่นั่ง และหากนางมอบมันให้กับหนิงฝาน หลินหลงเซี่ยงกับคนอื่น ๆ จะต้องสร้างปัญหาให้อย่างแน่นอน
มันต้องมีทางออกที่ดีกว่านี้สิ!
พรึ่บ!
ขณะทุกคนกำลังเฝ้ามองสถานการณ์ของหนิงฝาน ชายหนุ่มก็โบกมืออย่างไม่แยแส แล้วเก้าอี้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมาถัดจากเก้าอี้ที่ว่างอยู่
ฮะ!?
เมื่อเห็นเช่นนี้ ใบหน้าหลินหลงเซี่ยงถึงกับแข็งค้างในทันที
ไอ้… ไอ้บัดซบนี่มีเก้าอี้ในกระเป๋าเก็บของด้วย!
หนิงฝานนั่งลงโดยไม่สนใจสีหน้าของคนอื่น ๆ
ขณะเดียวกัน ขันทีเว่ยและอีกสามคนด้านหลังถึงกับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของวิทยายุทธ์ ท่าทาง หรืออารมณ์ หนิงฝานล้วนแต่อยู่เหนือองค์ชายเหล่านั้นทั้งสิ้น
น่าเสียดายที่เขาตกอยู่ภายใต้คำสาปอมตะที่ไม่อาจแก้ไขได้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขันทีเว่ยถึงกับส่ายศีรษะ ก่อนจะกระแอมไอออกมาเบา ๆ แล้วกล่าวคำ “เริ่มประชุมได้!”
สิ้นเสียงของเขา บรรยากาศภายในวิหารทองคำก็กลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา
ตามพระราชโองการของหลินไท่ซู กิจทั้งหมดของราชวงศ์จะถูกจัดการโดยเหล่าองค์ชายและองค์หญิง
ทันทีที่เริ่มการประชุม ขุนนางทั้งหลายก็เริ่มกล่าวถึงสถานการณ์ให้กับองค์ชายทั้งเก้ารับฟังทีละคน ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนแต่เป็นปัญหาทั้งภายในและภายนอกที่เกิดขึ้นภายในเมืองเทพขนนก
สำหรับเรื่องนี้…
หนิงฝานไม่คิดสนใจ
เขาลอบกล่าวในใจ
‘ระบบ ลงชื่อเข้าใช้วิหารทองคำ!’
[ติ๊ง! ลงชื่อเข้าใช้ที่วิหารทองคำสำเร็จ ได้รับพระราชลัญจกร!]
พรึ่บ!
สิ้นเสียงระบบ ตราประทับโบราณซึ่งเปล่งประกายแสงเจือจางก็ปรากฏขึ้นในพื้นที่เก็บของ
พระราชลัญจกร?
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?
หนิงฝานรู้สึกสับสนไม่น้อย
เพียงนึกคิด ข้อมูลมากมายพลันหลั่งไหลเข้าสู่ความคิดของเขา
[พระราชลัญจกร คือ ตราประจำตัวของกษัตริย์ ตราบใดที่รอยตราประทับนี้เข้าสู่ร่างกายของฝ่ายตรงข้าม จะทำให้สามารถควบคุมฝ่ายตรงข้ามผ่านตราประทับนี้ได้ ทั้งความคิด วิสัยทัศน์ และชีวิต…]
‘พระราชลัญจกรนี้นับว่าน่าสนใจยิ่งนัก!’
หนิงฝานรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคุณสมบัติของมัน
หากพระราชลัญจกรนี้ถูกใช้อย่างดี มันจะต้องสร้างประโยชน์แก่เขาได้มากมายแน่
“ยอดเยี่ยมแล้ว!”
“ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์เดินทางมา!”
หนิงฝานรู้สึกถึงพอใจยิ่ง
จากนั้นเขาก็กลับมาสนใจการประชุมภายในราชวงศ์
เวลานี้ภายในห้องโถงใหญ่ เหล่าข้าราชบริพารกำลังรายงานสถานการณ์ต่อหน้าองค์ชายทีละคน สุ้มเสียงกล่าวบรรยายยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“เงียบ!”
จู่ ๆ ขันทีเว่ยก็ตะโกนเสียงดัง ห้องโถงทั้งห้องพลันเงียบลงในทันที
หลังจากนั้น ขุนนางและทหารทุกคนต่างมองไปยังองค์ชายและหลัวชิงเซียน
เมื่อเห็นสายตาของทุกคนจับจ้องมา องค์ชายใหญ่หลินเทียนเยวี่ยนกล่าวขึ้นเป็นคนแรก “ทุกท่าน ตามที่กล่าวออกมานั้น การที่เราจะต่อสู้กับโลกภายนอก เราจำต้องปกป้องภายในให้ปลอดภัยเสียก่อน! เวลานี้ตราบใดที่ดินแดนต่าง ๆ ยังไม่บุกโจมตีเขตแดนของราชวงศ์เทพขนนก เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้น และแม้ว่าตอนนี้การที่แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะลุกขึ้นมายืนหยัดด้วยตนเอง เรื่องนี้ก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ ความจริงแล้ว มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราชวงศ์เทพขนนกเลย กลับกัน ในเวลานี้ภารกิจที่เร่งด่วนที่สุดของราชวงศ์เทพขนนกคือจัดการกับราชากบฏทั้งสิบต่างหาก!”
“ใช่แล้ว!”
“คำพูดนี้นับว่าถูกต้องแล้ว!”
“หากราชากบฏเหล่านั้นยังไม่ถูกจัดการ มันจะต้องสร้างความวุ่นวายแก่ราชวงศ์เทพของพวกเราแน่นอน!”
“…”
ทันทีที่องค์ชายใหญ่เอ่ยปาก องค์ชายคนอื่น ๆ ก็รีบกล่าวเสริมทันที
ในเวลานี้เอง องค์ชายนามว่าหลินเฟิงอวิ๋นพลันกล่าวต่อ “ท่านพี่ การจัดการกับราชากบฏทั้งสิบก่อนนั้นข้าไม่คิดคัดค้าน แต่เราจะจัดการกับพวกเขาอย่างไรย่อมต้องมีการพูดคุยหลังจากนี้!”
“ถูกต้อง!”
“ภายในราชวงศ์และเหล่าข้าราชบริพารทั้งหมดมีการก่อกบฏอยู่ภายใน ผลกระทบนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความรอบคอบของพวกเรา!”
บางคนยังกล่าวเสริมหลินเฟิงอวิ๋น ท้ายที่สุดแล้วราชากบฏทั้งสิบนั้นมิใช่ว่าจะจัดการได้โดยง่าย หากผิดพลาดขึ้นมา นั่นหมายถึงการล่มสลายของราชวงศ์เทพขนนก
“เช่นนั้นก็ฆ่าเสีย!”
“พวกเจ้าคิดอันใดอยู่? การก่อกบฏคืออาชญากรรมในเมืองหลวง แน่นอนว่าราชากบฏทั้งสิบย่อมต้องถูกกำจัด!”
แล้วองค์ชายอารมณ์ร้อนคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้น
“ฆ่าหรือ? เช่นนั้นต้องฆ่าอย่างไรเล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเฟิงอวิ๋นเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ก่อนจะกล่าวต่อ “เจ้าคงจะไม่ทราบว่าราชากบฏทั้งสิบสั่งสมอำนาจในสามพันดินแดนมาเนิ่นนาน ในเมื่อเวลานี้พวกเขากล้าก่อกบฏ ย่อมแน่นอนว่าพวกเขาต้องมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะไม่เกรงกลัวอำนาจแห่งราชวงศ์เทพของพวกเรา!”
“แล้วจะทำอย่างไร? เป็นไปได้หรือที่เราจะมอบดินแดนแห่งราชวงศ์เทพขนนกให้กับราชากบฏทั้งสิบนั่น?!” องค์ชายตะโกนโต้กลับ
ขณะทั้งสองกำลังทะเลาะกัน พลันมีเสียงแผ่วเบาดังขึ้น
“ไม่เป็นไร”
เป็นองค์ชายใหญ่หลินเทียนเยวี่ยนที่ตบโต๊ะเบา ๆ และเมื่อทุกคนมองมา เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “การสละดินแดนของราชวงศ์เทพขนนกนั้นไม่อาจเป็นไปได้ แต่ราชากบฏนั้นมีอำนาจแท้จริง จึงไม่สมควรส่งกองทัพใหญ่บุกเข้าโจมตีโดยตรง ทางที่ดีที่สุดในเวลานี้คือ เจรจาพาทีตามมารยาทแล้วค่อยใช้กำลัง”
“เจรจาก่อนเปิดศึก?” ทุกคนเลิกคิ้วสูง
“เป็นเช่นนั้น อันดับแรกเราจะต้องสูงทูตไปพบราชากบฏทั้งสิบ และเสนอผลประโยชน์บางอย่างแก่พวกเขา ผลประโยชน์ที่เสนอต้องไม่เล็กและต้องตอบสนองต่อความกระหายของพวกมัน มิฉะนั้นทุกสิ่งย่อมเปล่าประโยชน์!”
“แต่หากราชากบฏทั้งสิบมีความกระหายมากเกินไป และยืนกรานจะก่อความวุ่นวาย ก็อย่าได้กล่าวโทษราชวงศ์เทพว่าไร้ความปรานี ถึงตอนนั้นเราค่อยใช้ไม้แข็งจัดการ!”
“พวกเจ้าเห็นด้วยกับแผนการนี้หรือไม่?”
หลังจากที่องค์ชายใหญ่กล่าวจบ ทุกคนในห้องโถงก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
นี่คือทางออกที่ดีที่สุด!
‘ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่องค์ชายทุกพระองค์ที่โง่เง่าเหมือนหลินหลงเซี่ยง!’
เมื่อเห็นฉากนี้ หนิงฝานก็ผงกศีรษะอย่างลับ ๆ กับตนเอง
“ในเมื่อทุกคนเห็นด้วย เช่นนั้นเป็นอันตกลงตามนี้ ทว่าองค์จักรพรรดิมีพระราชโองการก่อนจะปิดด่านฝึกตน และเขาต้องการเลือกจักรพรรดิองค์ต่อไป แม้ข้าจะเสนอแผนการนี้ แต่ข้าย่อมไม่อาจทำมันเพียงผู้เดียว เก้าองค์ชายและหนึ่งองค์หญิง พวกเรามีกันสิบคน มาดูกันว่าผู้ใดจะสามารถทำลายราชากบฏทั้งสิบได้!”
“คิดเห็นอย่างไร?”
ทันทีที่หลินเทียนเยวี่ยนกล่าวจบ เขาก็เหลือบมององค์ชายทั้งหมด
“ยอดเยี่ยมแล้ว!”
“ข้าตกลง!”
“ข้าเองก็เห็นด้วย!”
องค์ชายทุกคนพยักหน้า ข้อตกลงนี้นับว่าสมเหตุผลแล้ว
แต่ทว่าหลัวชิงเซียนส่ายศีรษะพร้อมกล่าวว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องนับข้าร่วมด้วย ข้าไม่ต้องการขึ้นครองบัลลังก์ ดังนั้นข้าจึงไม่คิดเข้าร่วมในภารกิจนี้ทั้งหมด!”
“เอาล่ะ ในเมื่อน้องสาวของพวกเราไม่ต้องการยุ่งเกี่ยว เช่นนั้นจึงให้เป็นเรื่องของพวกเราทั้งเก้าคน!”
หลินเทียนเยวี่ยนพยักหน้ารับอย่างประหลาดใจ
องค์ชายที่เหลือยิ้มอย่างยินดีที่หลัวชิงเซียนเอ่ยปากยอมแพ้ ซึ่งหมายความว่าคู่แข่งของพวกเขาได้หายไปแล้วหนึ่งคน
หลังจากนั้น เหล่าองค์ชายจึงเริ่มหารือในรายละเอียดต่าง ๆ ก่อนที่การประชุมภายในราชวงศ์จะจบลง
ขณะที่การประชุมกำลังจะจบ เสียงหัวเราะแหลมพลันดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง กึกก้องไปทั่วทั้งห้องโถง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”