ตอนที่ 69 หลัวอี สุสานเทพ
ขณะที่หนิงฝานคิดว่าตัวตนของเขาถูกเปิดเผยเสียแล้ว หลัวชิงเซียนกลับส่ายศีรษะเบา ๆ
“ดูข้าสิ สงสัยจะสับสนหนักเสียแล้ว เวลานี้สามีของข้ายังไม่สามารถทำลายคำสาปอมตะได้ และความแข็งแกร่งของเจ้ายังติดอยู่ที่สวรรค์ขั้นแรกของขอบเขตปราชญ์ยุทธ์ เช่นนี้เจ้าจะเป็นผู้ปราบปรามจักรพรรดิทั้งเจ็ดนั้นได้อย่างไร!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนิงฝานอดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม
หลัวชิงเซียนเพียงเดาสุ่ม เขาดันหลงคิดไปว่าตัวตนถูกเปิดเผยจริง ๆ เสียแล้ว
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ทำสีหน้าจริงจัง “เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ภรรยา เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าอ่อนแอสินะ!”
“ฮิ ๆ เปล่าเสียหน่อย สามีเข้าใจผิดแล้ว!” หลัวชิงเซียนปิดปากหัวเราะ
“ยังไม่ยอมรับอีกหรือ!”
หนิงฝานเพียงสะบัดมือก็ทำให้หลัวชิงเซียนถูกคุมขังด้วยพลังแห่งปราชญ์ยุทธ์ และด้วยการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ร่างกายบอบบางของหลัวชิงเซียนก็กลายเป็นลอยอยู่กลางอากาศ
“อ๊า สามีโปรดยกโทษให้ข้า~”
หลัวชิงเซียนร้องขอความเมตตา
หนิงฝานไม่พูดพร่ำ แต่ใช้สองนิ้วลูบไล้ผิวขาวราวกับหยกของจักรพรรดินีตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“อือ~ อย่า”
ทั้งคู่ตกอยู่ในท่วงท่าที่น่าอายยิ่ง ใบหน้าของหลัวชิงเซียนพลันแดงก่ำขึ้นมาทันที
“ฮึ่ม! วันนี้สามีของเจ้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าข้าแข็งแกร่งเพียงใด!”
หนิงฝานแสร้งทำเป็นกล่าวคำเย็นชา จากนั้นจึงเริ่มบรรเลงท่วงท่าเพลงรัก
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงครวญครางหวานล้ำก็ดังก้องไปทั่วตำหนักองค์หญิง
…
ชีวิตของหนิงฝานกลับสู่ความสงบเช่นในอดีต ทุกวันจะมีการทำลายคำสาปอมตะภายในตำหนักองค์หญิง และออกไปลงชื่อเข้าใช้ภายในส่วนต่าง ๆ ของพระราชวังเทพขนนก
เมื่อเทียบกับวันที่มีความสุขและแสนผ่อนคลายของเขา เรื่องราวในราชวงศ์เทพขนนกกลับยิ่งสาหัสสากรรจ์
แม้ว่าเมืองเทพขนนกจะไม่ถูกบุกรุกโดยเหล่าปราชญ์ยุทธ์อีกต่อไป แต่ราชากบฏทั้งสิบที่แบ่งแยกอาณาจักรยังคงสร้างวิกฤตอื่น ๆ และมีแนวโน้มที่ราชวงศ์เทพขนนกกำลังจะพังทลายลง
องค์ชายทั้งห้าผู้ปกครองราชสำนักในเวลานี้ ใช้เวลาตลอดทั้งวันคืนเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน แม้ทั้งห้าคนจะออกมาตราการมากมายเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ราชวงศ์เทพขนนกล่มสลาย แต่ทุกสิ่งกลับไร้ผล!
ความวุ่นวายยังคงขยายวงกว้าง และวิกฤตก็ยิ่งทวีความรุนแรง
แม้แต่ภายในราชวงศ์เทพขนนกยังมีการกล่าวว่าเมื่อครบหนึ่งหมื่นแปดร้อยปี ราชวงศ์เทพขนนกจำต้องสิ้นสุด และชะตากรรมของเมืองเทพขนนกจะต้องจบสิ้น!
ความวุ่นวายดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนล่วงเวลาไปกว่าสองปี
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ฐานการฝึกฝนของหนิงฝานเลื่อนเข้าสู่ระดับสวรรค์ขั้นที่ห้าของขอบเขตปราญช์ยุทธ์ ส่วนหลัวชิงเซียนยังควบแน่นพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายจากการแก้คำสาปอมตะให้กับหนิงฝาน ทั้งสองจึงกลายเป็นปราชญ์ยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง
กล่าวตามตรง การบำเพ็ญคู่นั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่ง แต่หนิงฝานสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของหลัวชิงเซียนค่อนข้างหดหู่เล็กน้อย
หลังจากหนิงฝานสอบถามอย่างระมัดระวัง เขาจึงได้ทราบว่าอีกไม่กี่วันจะถึงวันครบรอบยี่สิบปีที่มารดาของนางจากไป
ตามประเพณีของราชวงศ์เทพขนนกแล้ว ผู้คนจะกลับมาเกิดในอีกยี่สิบปีหลังความตาย และถือเป็นการอำลาชีวิตในอดีต
“สามี อีกสองวัน เจ้าพาข้าไปที่สุสานเทพเพื่อเคารพศพท่านแม่หน่อยเถิด ข้าอยากจะร่ำลานางเป็นครั้งสุดท้าย”
หลัวชิงเซียนกล่าวคำอย่างโศกเศร้า แววตางดงามเต็มไปด้วยความปรารถนา
แม้จะผ่านมากว่ายี่สิบปี แต่ภาพของมารดายังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของนาง
“แน่นอน!”
หนิงฝานพยักหน้า
แม้จะไม่เคยพบกับมารดาของภรรยา แต่เขาก็ไม่คิดขัดขวางไม่ให้นางไปเคารพศพของมารดา
เวลาผ่านไป
สองวันถัดมา
พระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า ม่านหมอกยังคงไม่จางหาย
หนิงฝานและหลัวชิงเซียนเดินจูงมือกันออกจากตำหนังองค์หญิง ตรงไปยังทิศทางของสุสาน
สุสานเทพเป็นสุสานของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เทพขนนก นอกเหนือจากจักรพรรดิเทพขนนกแล้ว ก็มีเพียงจักรพรรดินีของเมืองเทพขนนกที่ได้รับการอนุญาตจากองค์จักรพรรดิในรุ่นที่ผ่านมาเท่านั้น จึงจะสามารถนอนหลับอย่างสงบในสถานที่แห่งนี้ได้
มารดาของหลัวชิงเซียนมีนามว่า หลัวอี ในชั่วชีวิตของนางได้รับการยกย่องให้เป็นสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งราชวงศ์เทพขนนก ทั้งรูปร่าง หน้าตา และสติปัญญาของหลัวชิงเซียน ล้วนได้รับจากหลัวอีทั้งสิ้น
แม้หลัวอีจะเป็นจักรพรรดินีแห่งเมืองเทพขนนก แต่เมื่อหลินไท่ซูจมนางลงในน้ำเพื่อสังเวยแก่สรวงสวรรค์ ศพจึงถูกแช่อยู่ใต้แม่น้ำเซินเจียงนานกว่าสิบปี และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลินไท่ซูได้มอบความยุติธรรมให้กับนางด้วยการฝังศพของนางไว้ในสุสานเทพ
สุสานเทพตั้งอยู่ทางตอนเหนือของพระราชวังเทพขนนก สร้างขึ้นบนเนินเขา ดูสง่าและงดงาม
จากระยะไกล หนิงฝานมองเห็นสุสานเทพผ่านเนตรศักดิ์สิทธิ์แล้ว
สุสานคล้ายกับมังกรหมอบอยู่บนหลังของพยัคฆ์หรือมีหงส์เพลิงทะยานสู่ฟากฟ้า ส่งผลให้ผู้รับชมรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง
ความรู้สึกอึดอัดนี้ทำให้หนิงฝานตกตะลึงเล็กน้อย
ดังที่ทราบว่าเวลานี้เขาอยู่ในสวรรค์ขั้นที่ห้าของขอบเขตปราชญ์ยุทธ์แล้ว แต่เมื่ออยู่ในระยะไกล เขากลับยังถูกสะกดข่มอย่างรุนแรงได้
นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งแล้ว
ในไม่ช้าเมื่อทั้งสองเข้ามาใกล้ ความกดดันก็ยิ่งถาโถมเข้ามามากขึ้น
ทว่าหลัวชิงเซียนกลับไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลย
‘ดูเหมือนว่ายิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงกดข่มจากสุสานเทพแห่งนี้!’
หนิงฝานตระหนักได้แล้ว
เพราะสุสานแห่งนี้คือพื้นที่สำหรับสมาชิกราชวงศ์เทพขนนกเท่านั้น ระหว่างทางหนิงฝานเดินผ่านจุดตรวจตรามากมายจนกระทั่งมาถึงสุสานเทพด้านใน
ตอนนี้เอง เมื่อหนิงฝานเปิดใช้งานเนตรศักดิ์สิทธิ์เพื่อมองสภาพแวดล้อม
ชั่วพริบตานั้น ภาพสะเทือนขวัญก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
สุสานเทพที่อยู่ตรงหน้านี้คล้ายกับว่ามีอยู่มาตั้งแต่โบราณกาล มันเต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณ ทางบูรพาทิศมีมังกรสีเขียวปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังออกมา ประจิมทิศมีพยัคฆ์ขาวยืนตระหง่านด้วยท่วงท่าพร้อมต่อสู้ ทักษิณทิศมีหงส์เพลิงสยายปีกปลดปล่อยประกายไฟ และอุดรทิศมีเต่ายักษ์นอนหมอบเฝ้าธรนีอยู่
มังกรเขียว!
พยัคฆ์ขาว!
หงส์เพลิง!
เต่าดำ!
วิญญาณทั้งสี่ประจำตำแหน่งในสี่ทิศ ตะวันออก ตะวันตก เหนือ และใต้ของสุสานเทพ!
และที่น่าทึ่งที่สุดคือ มีกิเลนสีม่วงยืนตระง่านอยู่ ร่างสีม่วงปลดปล่อยพลังมหาศาลออกไปในรัศมีสามพันลี้ นี่คือพลังวิญญาณฟ้าดินสูงสุด!
‘หือ! หรือว่าจะเป็นเมืองอู๋หลิงในตำนาน!’
แม้แต่หนิงฝานก็ยังตกตะลึงกับฉากยิ่งใหญ่ตรงหน้า
หืม!
แต่เมื่อเขากระตุ้นร่างเซียนกระบี่บรรพกาลในร่างกาย ทันใดนั้น ความกดดันหนักอึ้งก่อนหน้าก็เหือดหายไปทันที
ร่างเซียนกระบี่บรรพกาลเป็นร่างเซียนที่แท้จริง ซึ่งสามารถขจัดการสะกดข่มจากเหล่าวิญญาณและสัตว์ร้ายทั้งห้าได้อย่างง่ายดาย
‘เดี๋ยว! มีบางอย่างผิดปกติ!’
สีหน้าของหนิงฝานเผยความประหลาดใจอีกครั้ง
หลังจากนั้นเขาก็เปิดใช้งานเนตรศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด
ฉากที่ได้รับชมเริ่มแปรเปลี่ยน
สุสานเทพยังคงเป็นสุสานเทพเช่นเคย ทว่าสัตว์ในตำนานเหล่านั้นกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
มังกรเขียวหัวห้อยลงอย่างอ่อนแรง พยัคฆ์ขาวนอนตาเหลือก หงส์เพลิงนอนแผ่พร้อมกางปีก เต่าดำนอนแน่นิ่ง แม้แต่กิเลนสีม่วงก็กำลังจะตายตกเช่นกัน!
จิตวิญญาณทั้งห้ากำลังเน่าเปื่อย และสุสานเทพแห่งนี้ก็คล้ายกับมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
‘ลือกันว่าสุสานเทพคือตัวบ่งชี้ชะตากรรมของราชวงศ์ สันนิษฐานว่าการล่มสลายของราชวงศ์เทพขนนกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคงจะเกี่ยวข้องกับสุสานแห่งนี้แล้ว’
หนิงฝานครุ่นคิด
เพราะสุสานเทพไม่เปิดให้ผู้อื่นเข้ามา นอกจากองค์จักรพรรดิเทพขนนกแล้ว แม้แต่สมาชิกภายในราชวงศ์เทพยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่สุสานเทพเช่นกัน
หลัวชิงเซียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหาพื้นที่โล่งด้านนอกสุสาน นำเครื่องบรรณาการ กระดาษสีเหลือง และสิ่งอื่น ๆ ออกจากมิติเก็บของ ก่อนจะเริ่มบูชาต่อหลัวอี
“ท่านแม่ ผ่านมาแล้วยี่สิบปี ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เซียนเอ๋อร์คิดถึงท่านเหลือเกิน!”
“ท่านทราบหรือไม่ว่าบุตรสาวผู้นี้แต่งงานแล้ว ข้าได้แต่งงานกับสามีที่แข็งแกร่งไร้ผู้ใดทัดเทียม หากท่านได้เห็นเขา ท่านจะต้องมีความสุขมากแน่นอน”
“ท่านแม่ ยี่สิบปีกำลังจะผ่านไปแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องราวของบุตรสาวผู้นี้ ท่านสามารถไปเกิดใหม่ได้อย่างไร้กังวล…”
“…”
น้ำตาเอ่อล้นออกจากดวงตาของหลัวชิงเซียน ความคิดคะนึงหาล้วนแสดงออกมาผ่านสีหน้าขณะสวดบูชา
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว หนิงฝานทำได้เพียงถอนหายใจ การพลัดพรากจากกันด้วยความตายเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด
มันจึงเป็นความจริงที่ควรถนอมคนตรงหน้า และใช้ชีวิตทุกวันให้ดีที่สุด!