หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – ตอนที่ 599

ตอนที่ 599

บทที่ 599 ดาวเคราะห์เต๋าไพศาล!
ความกลัววาบผ่านดวงตาของนกน้อยสีดำ มันเพิ่มความเร็วขึ้นเต็มพิกัดเพื่อหนีตาย แต่เมื่อร่างหลักดับสลายไป บวกกับอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการปะทะเมื่อครู่ นกน้อยที่ไร้หลักนั้นก็เริ่มหมดพลัง ไม่ว่าจะเร็วเพียงใด ก็ยังคงสู้ความเร็วของมันในสภาวะปกติไม่ได้ หากคู่ต่อสู้ของมันเป็นคนอื่น ความเร็วที่ลดลงนี้คงไม่เป็นผลมากนัก แต่คู่ต่อสู้ของวิญญาณจุตินกน้อยคือบุตรแห่งความมืด หวังเป่าเล่อ

วิญญาณจุติเองก็ถือเป็นวิญญาณประเภทหนึ่ง ชายหนุ่มกระโจนไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้น พร้อมด้วยหัตถ์สื่อวิญญาณที่พุ่งออกจากร่างด้วยความเร็วสูง เปลวไฟสีดำกระจายไปทั่วบริเวณ จำกัดพื้นที่ของนกน้อยเอาไว้ จนไม่ว่าจะหนีหรือฟาดฟันด้วยกระบี่สีดำเพียงใดก็หนีไปไม่พ้น ทำได้เพียงสร้างความลำบากให้หวังเป่าเล่อเล็กน้อยเท่านั้น

ทันทีที่นกน้อยเริ่มอ่อนกำลังลง หลังจากที่ใช้กระบี่โจมตีหลายครั้ง หวังเป่าเล่อก็คว้าตัวมันเอาไว้ได้!

ไหนมาดูกันหน่อยว่าเจ้าจะยังก่อเรื่องได้หรือไม่! รอยเย็นวาบเข้าดวงตาชายหนุ่ม เขาปลุกกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิขึ้นโดยไม่ลังเล นกสีดำกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะถูกเส้นปราณลักอัคคีของหวังเป่าเล่อ ดูดเอาพลังเข้าไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับเกราะจักรพรรดิ

เกราะจักรพรรดิของชายหนุ่มก็ทำทีราวกับได้รับสารบำรุงจำนวนมหาศาล ด้ายสีขาวกำเนิดขึ้น ก่อนเข้าพันเกี่ยวกันเป็นสาย แม้จะยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก ก่อนที่เกราะอัฐิจะถือกำเนิดขึ้นโดยสมบูรณ์ แต่ก็ดูใกล้ความจริงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังสนใจกระบี่สีดำเป็นอันมาก หลังจากที่สำรวจดู เขาก็พบว่ากระบี่นั้นไม่มีแก่นใน ซึ่งแตกต่างจากวิธีการหลอมวัตถุเวทในสหพันธรัฐโดยสิ้นเชิง ราวกับกระบี่เล่มนี้เกิดขึ้นได้ด้วยตนเองด้วยธรรมชาติสร้าง

นี่เป็นการค้นพบที่ทำให้ชายหนุ่มประหลาดเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ลองคิดวิเคราะห์ดูด้วยความรู้ในฐานะนักหลอมอาวุธเวท บวกเข้ากับการปลุกพลังกระบี่ของจักรพรรดิวายุทมิฬแล้ว ชายหนุ่มก็หรี่ตาลง

หรือว่า… นี่จะเป็นสมบัติเวทที่มีแต่วิญญาณจุติเท่านั้นที่ควบคุมได้ หวังเป่าเล่อสงสัยเป็นอันมาก เขาเก็บกระบี่สีดำเข้ากระเป๋าอย่างระมัดระวัง ในเวลาเดียวกันนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกตัวว่าแม้ตนเองจะสังหารจักรพรรดิวายุทมิฬได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่แต่อย่างใด

หวังเป่าเล่อเริ่มกระวนกระวายกลัวไม่ได้กลับ เขาถามแม่นางน้อยในใจ จนได้คำตอบว่าหลังจากครบหนึ่งเดือน การเคลื่อนย้ายจะเกิดขึ้นแน่นอน

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้จะยังรู้สึกว่าทุกสิ่งช่างแสนแปลกประหลาดนัก แต่ก็มุ่งหน้ายึดทรัพย์ชนพื้นเมืองต่อไป ด้วยเข้าใจว่าตนเองเปลี่ยนอะไรไม่ได้

ข้าอาจจะคิดมากไปเอง อย่างไรข้าก็ต้องได้กลับแน่ ถ้าเช่นนั้นระหว่างรอก็มาเก็บวัตถุดิบให้ได้มากที่สุดก็แล้วกัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องจริง หากข้านำทุกอย่างบนดาวดวงนี้กลับไปได้ ข้าต้องรวยไม่รู้เรื่องแน่! ชายหนุ่มกลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง เขามุ่งหน้าดำเนินภารกิจต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

เจ็ดวันต่อมา หวังเป่าเล่อเก็บทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้ว่าหากไปอีกไกลหน่อยจะเข้าเขตใหม่ที่ยังไม่เคยไปเยือน แต่เวลาก็หมดลงเสียแล้ว ชายหนุ่มกังวลเรื่องการเคลื่อนย้ายกลับ จึงตัดสินใจหยุดค้นหาและเดินทางกลับไปจุดตั้งต้นที่ตนเองมาถึงเป็นครั้งแรก เพื่อรอเวลากลับ

รออย่างกระวนกระวายอยู่ไม่นานนัก เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน พายุหมุนยักษ์ก่อตัวขึ้นด้วยความเร็วกรรโชก ชายหนุ่มที่รออยู่เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะรู้สึกได้ถึงพลังดูดมหาศาลที่ลดระดับลงมาจากฟากฟ้า เข้าโอบอุ้มร่างของเขาเอาไว้

ชายหนุ่มปลิวขึ้นไปในอากาศตามแรงดึงดูดของพายุ ก่อนอันตรธานหายไปในลมหมุนบ้าคลั่งนั้นอย่างไร้ร่องรอย พายุโกรธเกรี้ยวค่อยๆ สงบลงจนสลายหายไป ท้องฟ้ากลับมาปกติสุขอีกครั้ง ผืนดินยังคงเป็นสีดำสนิทเหมือนเดิม ราวกับไม่เคยถูกเหยียบย่ำ มีเพียงวิญญาณผีที่ยังไม่โดนล้างบางในหมู่บ้านที่เขาเดินทางไปไม่ถึงเท่านั้น ที่เริ่มตระหนักว่าจักรพรรดิวายุทมิฬหายตัวไปแล้ว

ตำนานการสังหารหมู่โหดร้ายโชกเลือดแพร่สะพัดไปทั่วดาว ตำนานนั้นกล่าวว่า ปีศาจร้ายที่กินวิญญาณเป็นอาหาร กลืนกินทั้งจักรพรรดิวายุทมิฬและเพื่อนร่วมเผ่าของพวกเขาเข้าไปเกือบหมด เหล่าผีที่เหลือรอดตกอยู่ภายใต้ความกลัวอยู่เป็นเวลานาน หลังจากที่ได้ยินตำนานนั้น

ส่วนปีศาจร้ายตามตำนานของดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬนั้น บัดนี้กำลังถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้ากลับมาปกติ เขากลับมายืนอยู่หน้าวังบูชาที่ห้าของสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้ง

พอกลับมาที่เดิมได้อย่างปลอดภัย หวังเป่าเล่อก็ก้มลงมองกระเป๋าตนเอง เมื่อเห็นรูปปั้นมากมายยังอยู่คงเดิม สีหน้าของชายหนุ่มก็เอ่อล้นด้วยความปีติ ร่างของเขาสั่นเทิ้ม เสียงหัวเราะด้วยความสำราญใจเจือความคลั่งดังไปทั่วบริเวณ

เอากลับมาได้จริงด้วย! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจเสียจนอธิบายไม่ถูก ความสุขนี้มากเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาได้รับประทานอาหารโปรดอย่างน่องไก่กับไข่ต้มซีอิ๊วเสียอีก

ชายหนุ่มรีบตรวจดูกระเป๋าอีกครั้งอย่างมีความสุข เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองตาไม่ได้ฝาดไป เขาตื่นเต้นที่จะได้เข้าวังต่อไปมากขึ้นกว่าเดิม ผลลัพธ์แสนวิเศษจากบททดสอบประหลาดนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อต้องสะกดความตื่นเต้นเอาไว้อย่างยากลำบาก เขายับยั้งชั่งใจให้ไม่พลาดก้าวเข้าไปในวังบูชาที่ห้า แต่หันหลังกลับไปมองเบื้องหลังแทน

เมื่อไม่เห็นทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ความสุขเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความกังวลในทันที แต่ไม่นานนัก ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ปรากฏขึ้นนอกวังบูชาที่สี่ จุดเดียวกับที่นางจากไป

เจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ในสภาพยับเยิน นางกระอักเลือดออกมาจำนวนมาก ก่อนนั่งลงด้วยใบหน้าซีดเผือด ร่างกายเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนมากมาย วังที่สี่เป็นด่านที่ยากเอาเรื่องสำหรับนาง และการที่นางปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าวังเดิมนั้น แปลว่าเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ผ่านการทดสอบเป็นศิษย์สืบทอด

หวังเป่าเล่อทำได้เพียงเงียบ เขาเข้าใจว่าในบททดสอบที่สี่ คู่ต่อสู้ของเจ้าเยี่ยเหมิงคือผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณ อันทำให้นางมีโอกาสล้มเหลวมากกว่าปกติ

ยังดีที่ปลอดภัย หวังเป่าเล่อมองเจ้าเยี่ยเหมิงจากระยะไกล ก่อนกันไปมองทางวังที่หนึ่ง ชายหนุ่มนั่งลงทำสมาธิเพื่อรักษาพลังปราณของตนให้อยู่ในจุดสูงสุด

สองวันต่อมา เจ้าเยี่ยเหมิงก็กลับมาได้สติอีกครั้ง ส่วนกงเต๋าก็เดินออกจากวังที่หนึ่งเรียบร้อย ทั้งสามอยู่ไกลกันเกินไป ต่างทำได้เพียงมองหน้ากันเท่านั้น กงเต๋าตัดสินใจเดินเข้าวังที่สอง ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นขณะมองหวังเป่าเล่อ นางตัดสินใจล้มเลิกความพยายามและออกจากการทดสอบไป

แต่เจ้าเยี่ยเหมิงก็ไม่ได้ออกไปในทันที นางต้องการดูก่อนว่าหวังเป่าเล่อและกงเต๋าจะทำสำเร็จหรือไม่

หวังเป่าเล่อมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยสายตาให้กำลังใจ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกและออกจากการพักฟื้นร่างกาย เขาประเมินสภาพตนเองในปัจจุบัน และคิดไปว่าอยากขอกระเป๋าคลังเก็บจากเจ้าเยี่ยเหมิง แต่ด้วยความที่อยู่ห่างจากสหายไปหนึ่งวัง และด้วยกฎของตำหนักวังบูชา เขาจึงไม่สามารถถอยหลังกลับได้นอกเสียจากจะเลือกยุติการทดสอบ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงล้มเลิกความคิดที่จะขอกระเป๋าเพิ่ม ชายหนุ่มยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปยังวังที่ห้าทันที ปราศจากซึ่งความลังเล

ทันทีที่เข้าไปยังวังที่ห้า เสียงของแม่นางน้อยก็ดังก้องในจิตใจเขา

“นำฝักกระบี่ประจำกายของเจ้าออกมา!”

หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นกดลงบนร่างของตนโดยไม่ลังเล ชายหนุ่มดึงเอาฝักกระบี่ภายในกายที่ส่องแสงเรืองรองออกจากร่างตน

ทันทีที่ฝักกระบี่ปรากฏขึ้น วังที่ห้าก็สั่นสะเทือนก่อนความเงียบสงัดจะเข้าปกคลุม ชายหนุ่มที่ถือฝักกระบี่ไว้ในมือกระพริบตาปริบ ก่อนหันไปมองความว่างเปล่ารอบกาย พยายามเรียกหาแม่นางน้อย แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หลังจากที่รออยู่ราวสิบลมหายใจ เสียงเย็นไร้ซึ่งอารมณ์ก็ดังขึ้นข้างหูเขาอย่างช้าๆ

“บททดสอบแห่งศิษย์เอก ณ วังที่ห้า จะเริ่มขึ้นภายในหนึ่งร้อยลมหายใจ

“ผู้เข้ารับการทดสอบจงเตรียมตัวให้พร้อม เจ้าจะถูกส่งไปยังดาวเคราะห์เอกแห่งระบบจักรภพไพศาล ณ ดาวเคราะห์เต๋าไพศาล เจ้าต้องนำแผ่นศิลาอารยธรรมจารึกกลับมา เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ!

“ดาวเคราะห์เต๋าไพศาลนั้นถูกทิ้งร้าง แต่ยังมีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหลงเหลืออยู่เพื่อตรวจตรา ผู้พิทักษ์เหล่านี้มีปราณอยู่ที่ระดับดาวพระเคราะห์ บททดสอบนี้มีความยากระดับสูงมาก ผู้เข้ารับการทดสอบจึงต้องระวังตัวอย่างถึงที่สุด!

“หากผู้เข้ารับบททดสอบไม่ทักท้วงอันใดภายในเวลาหนึ่งร้อยลมหายใจ จะถือว่าเจ้ายินดีเข้ารับการทดสอบนี้! นี่ไม่ใช่ภาพมายา หากแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หากผู้เข้ารับการทดสอบเสียชีวิต เจ้าจะถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ล่วงลับ หากเจ้ายอมแพ้ก่อนการทดสอบจบ เจ้าจะต้องพยายามเอาตัวรอดต่อไปอีกสิบวันจึงจะได้กลับมา!”

ขณะที่เสียงดังก้องอยู่ในหูของหวังเป่าเล่อเพื่อบอกเงื่อนไขการทดสอบ ดวงตาของชายหนุ่มก็เบิกกว้างขึ้น ลมหายใจหอบไม่เป็นจังหวะ โอกาสที่บททดสอบที่ห้านี้จะทำให้เขาถึงแก่ความตายมีสูงมาก!

ภารกิจนี้ต้องกลับไปยังระบบจักรภพที่สำนักวังเต๋าไพศาลดั้งเดิมเคยอยู่ ดินแดนรกร้างนั้นยังมีสมาชิกของตระกูลไม่รู้สิ้นหลงเหลือ และหวังเป่าเล่อจะต้องกลับไปเก็บกู้วัตถุกลับมา เพียงเท่านี้ก็ถือว่ายากลำบากสำหรับเขาแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงผู้พิทักษ์จากตระกูลไม่รู้สิ้น ที่มีพลังปราณระดับดาวพระเคราะห์

ความคิดนี้ทำให้ชายหนุ่มกระวนกระวายใจเป็นอันมาก ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธภารกิจนั้น เสียงสงบนิ่งของแม่นางน้อยก็ดังก้องอยู่ในศีรษะ

“ใจเย็นๆ คราวนี้ปล่อยให้ข้าใช้ฝักกระบี่ภายในกายเจ้าช่วยเจ้าทำภารกิจเถิด ทางนี้เป็นทางเดียวที่เจ้าจะได้วัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมฝักกระบี่ ให้กลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดได้!

“พูดให้ถูกก็คือ เจ้าจะหลอมฝักกระบี่สำเร็จ ก็ต่อเมื่อเจ้าใช้พลังที่หลงเหลืออยู่บนดาวเอกของสำนักวังเต๋าไพศาล มิเช่นนั้นแล้วต่อให้มีวัตถุดิบครบ โอกาสที่เจ้าจะทำสำเร็จเมื่ออยู่นอกระบบจักรภพก็มีน้อยกว่าร้อยละสิบ เนื่องด้วยกฎแห่งจักรวาลที่แตกต่างกัน!”

หวังเป่าเล่อชะงักและเงียบอยู่สักพัก ก่อนที่ระยะเวลาร้อยลมหายใจจะหมดลง ชายหนุ่มก็กัดฟันพูดพร้อมด้วยความมุ่งมั่นในแววตา

“ข้าขอรับภารกิจ!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท