หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – ตอนที่ 621

ตอนที่ 621

บทที่ 621 มังกรรูปหล่อเดียวดาย!
หวังเป่าเล่อคร่ำครวญกับความไม่ยุติธรรมของโชคชะตา ชายหนุ่มได้เพียงทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายและรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างประหลาด

“คิดดูเสีย ข้า หวังเป่าเล่อ ผู้นำแห่งสหพันธรัฐ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ข้าทำงานเหนื่อยยากมาทั้งชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีขณะนี้ก็แลกมาด้วยโลหิต หงาดเหงื่อ และหยดน้ำตาสิ้น ข้าเดินลุยไฟ ทีละก้าวๆ โดยไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ราวกับมังกรรูปหล่อผู้เดียวดาย ต่อสู้กับคมเขี้ยวของโชคชะตา กว่าจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้!” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงทางเข้าของถ้ำที่พัก ยกมือไพล่หลังและแหงนหน้ามองฟ้า คร่ำครวญกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

ภาพของทั้งชีวิตเขาฉายชัดขึ้นมาในดวงตา หวังเป่าเล่อจำได้ถึงความเหงาอันลุ่มลึกที่เขารู้สึก ทั้งทางกายและทางวิญญาณ ขณะที่ชายหนุ่มเดินทางมาบนหนทางแห่งความเดียวดายตามลำพัง

“หลี่อู๋เฉินเสียอีก เกิดมาก็ได้ตำแหน่งศิษย์แห่งเต๋าแล้ว และก็จะได้ความทรงจำกลับคืนมาเมื่อเขาบรรลุขั้น เขาก็จะกลายมาเป็นผู้กุมอำนาจหนึ่งเดียวแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!

“โชคชะตาช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!

“ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ช่างไร้ความเป็นธรรม!”

กำปั้นขวาของหวังเป่าเล่อพุ่งไปกระแทกกำแพงข้างๆ กายเขา ถ้ำที่พักทั้งหลังสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมๆ กับภูเขาที่มันตั้งอยู่ ราวกับว่าหวังเป่าเล่อพยายามจะระบายความอัดอั้นตันใจออกมา

แต่เท่านั้นยังไม่พอ หวังเป่าเล่อกำลังจะร้องออกมาอีกครั้งให้กับความโกรธเกรี้ยวและเศร้าสร้อยที่เขารู้สึกและอยากจะร้องขอคำตอบจากสวรรค์เมื่อแม่นางน้อยกระแอมกระไอขึ้นมาในศีรษะเขา

“พอได้แล้ว! เจ้าเชื่อทุกอย่างตามที่เจ้าเพิ่งพูดมาจริงๆ อย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นบ้าอะไรกัน…ข้าไม่ใช่มนุษย์หรืออย่างไร ศิษย์พี่ของเจ้าไม่ใช่มนุษย์หรือ แล้วหลี่ซิงเหวินเล่า เจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร ลองพูดอีกสิว่าไม่มีใครคอยช่วยเหลือเจ้าเลย!”

หวังเป่าเล่อเงียบงันไปเมื่อได้ยินถ้อยคำของแม่นางน้อย แต่ชายหนุ่มก็ไร้ยางอาย เขากระแอมและไม่ได้ตอบนาง แต่กลับเลือกที่จะจมอยู่กับอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าอาจจะเป็นการยากสำหรับใครคนอื่น ที่เพิ่งถูกต่อว่าไปว่าสิ่งที่คิดนั้นไม่เป็นความจริง แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วช่างง่ายดายยิ่ง

“ถึงเจ้าหัวโล้นเฉินจะเป็นศิษย์แห่งเต๋า แต่เขาก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา ส่วนข้านั้นขณะนี้เป็นศิษย์อุปถัมภ์อนาคตไกล เขาไม่เป็นปัญหาสำหรับข้าเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เขาได้ความทรงจำกลับมาก็แล้วจะทำไมกัน ถึงเขาจะเป็นศิษย์แห่งเต๋า แต่ข้าก็เป็นบุตรแห่งความมืด อีกอย่าง เราก็ไม่มีความบาดหมางร้ายแรงต่อกันสักหน่อย” เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ยกมือตบพุงอย่างและเลิกกังวลใจไปได้

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว การก่อสร้างวังของเขาก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นเพราะการทำงานหนักอย่างสม่ำเสมอของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล ขนาดและรูปแบบของมันเหมือนกับวังอีกสามแห่งของผู้อาวุโสสูงสุดอีกสามคนไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งใหญ่โตโอฬารและหรูหรา พวกเขายังสร้างรูปปั้นของชายหนุ่มเอาไว้หน้าวังอีกด้วย

รูปปั้นนั้นจะช่วยให้ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่เดินผ่านไปผ่านมามีความกลัวเกรงและเคารพหวังเป่าเล่อยิ่งๆ ขึ้นไป ยังมีการหลอมวงแหวนปราณจำนวนมากขึ้นห้อมล้อมส่วนหลักของวังเอาไว้อีกด้วย วงแหวนปราณเหล่านั้นเชื่อมต่อกับวงแหวนปราณแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลโดยตรง ตราบใดที่หวังเป่าเล่ออยู่ในวัง และตราบเท่าที่วงแหวนปราณนั้นเปิดอยู่ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณก็ไม่อาจสัมผัสเขาได้แม้แต่ปลายก้อย!

ทรัพยากรที่ต้องใช้ไปกับการหลอมวงแหวนปราณและสร้างวังนั้นแน่นอนว่ามหาศาลนัก หลังจากที่ได้รับกุญแจสำหรับวงแหวนปราณ หวังเป่าเล่อก็รีบรุดไปตรวจดูความเรียบร้อยของวัง ชายหนุ่มปลื้มใจกับผลงานไม่ใช่น้อย

ไม่นานนักเขาก็ย้ายออกจากเกาะเพลิงเขียวเข้าไปอยู่ในวัง ศิษย์จากสหพันธรัฐก็เริ่มมาเยี่ยมเยียนเขาที่นั่นแทน ในเวลาหนึ่งสัปดาห์ทุกอย่างก็กลับมาเรียบร้อย ศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาลก็เริ่มจะชินกับตำแหน่งใหม่ของชายหนุ่มแล้วเช่นกัน

หวังเป่าเล่อได้ประกาศระหว่างพิธีว่าตำหนักแก่นในและห้องจุติศาสตร์เวทนั้นจะเปิดรับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่พลังปราณถึงเกณฑ์ ศิษย์จากสหพันธรัฐมากมายก็เริ่มมาใช้ห้องทั้งสองนี้เพื่อพยายามจะบรรลุขั้นให้ได้

จั่วอี้ฟานเป็นคนแรกที่มาและยังคงถือสันโดษอยู่ ประมุขสำนักสวีจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็เป็นคนแรกที่เข้าไปในห้องจุติศาสตร์เวทและพยายามจะบรรลุขั้น

หวังเป่าเล่อเองไม่ได้เข้าไปในห้องจุติศาสตร์เวทในทันที ชายหนุ่มเพิ่งจะบรรลุไปสู่ขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุด และพลังปราณของเขาตอนนี้ก็ยังไม่คงที่พอ สิ่งที่เขาต้องทำในขณะนี้ก็คือพยายามขัดเกลาพลังเทพของตนเองและฝึกพลังปราณให้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของขั้นปัจจุบัน

เวลาผ่านไป สิ่งต่างๆ ก็เริ่มจะลงตัว หวังเป่าเล่อจะได้รับรายงานเป็นครั้งคราวจากศิษย์ของสหพันธรัฐบางคน แต่เขาก็หมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนขั้นสุดท้ายของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงและขั้นที่สองของวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ

ความคืบหน้าของการฝึกวิชาทั้งสองดำเนินไปอย่างเชื่องช้า หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเขาไม่ควรจะเร่งรีบเกินไปนัก ชายหนุ่มจึงค่อยๆ แกะไปทีละขั้นตอนอย่างไม่กดดันตัวเอง เหตุการดำเนินไปเช่นนี้อีกหนึ่งเดือน จั่วอี้ฟานออกมาจากการถือสันโดษ เขาบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นสู่ขั้นกำเนิดแก่นในได้สำเร็จ!

ชายหนุ่มยังได้รับวิชาสืบทอดมาจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นอีกด้วย ทันทีที่จั่วอี้ฟานเลิกถือสันโดษ หวังเป่าเล่อก็ติดต่อเฟิ่งชิวหรันทันที เพราะจั่วอี้ฟานเองก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อาวุโสรักษาการเช่นเดียวกันกับกงเต๋า

จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงส่งแต้มการรบให้จั่วอี้ฟานยืมไปจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยในการฝึกปราณ เหตุผลที่เขาให้ยืมแต่ไม่ให้ไปเปล่าเป็นเพราะว่า หวังเป่าเล่อเคยอ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมา เขารู้ว่าเพื่อนไม่ควรให้เงินเพื่อนไปเปล่าๆ แม้ว่าในครั้งแรกอาจดูเหมือนเป็นการช่วยเหลือที่ควรค่าแก่การรู้คุณ ในครั้งที่สองเพื่อนก็คงจะชอบพอไม่น้อย แต่เมื่อหลายครั้งเข้า เพื่อนก็จะเริ่มเสียคน

อันที่จริงแล้ว หากอยากจะทำให้ใครสักคนหมดค่า วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำให้เขาคุ้นเคยกับการได้รับโดยไม่ต้องลงทุนลงแรง ใครคนนั้น…ก็จะกลายเป็นขยะไปโดยสมบูรณ์

ด้วยอายุเพียงเท่านี้ หวังเป่าเล่อยังไม่อาจจะเข้าใจได้หมด แต่ชายหนุ่มก็มีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง หากมีสิ่งใดก็ตามที่เขาไม่รู้ไม่เข้าใจ เขาก็จะทำตามสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้ในอัตชีวประวัติเหล่านี้ จากที่ทดลองมาหลายครั้ง หวังเป่าเล่อก็ยังไม่เคยผิดหวังสักที

ความสำเร็จของจั่วอี้ฟานไม่เรื่องดีเรื่องเดียวที่เกิดขึ้นกับสหพันธรัฐ ไม่นานนัก ประมุขสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพ หนึ่งในผู้นำพายุคกำเนิดวิญญาณเข้าสู่สหพันธรัฐในยุคแรก ในที่สุดก็บรรลุขั้นการฝึกปราณหลังจากที่ถือสันโดษในห้องจุติศาสตร์เวท อาจเป็นเพราะรากฐานที่เขาได้วางมาไว้อย่างดีแล้วก็เป็นได้ จึงทำให้เขาบรรลุขั้นจุติวิญญาณได้อย่างไร้ปัญหา!

การบรรลุขั้นของเขาแตกต่างจากการบรรขั้นของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจากสำนักวังเต๋าไพศาลคนอื่นๆ รากฐานที่เข้มแข็งนั้นทำให้มีแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงยิ่งกว่าใครสะท้อนออกไปไกล แม้ว่าเขาจะเพิ่งอยู่ในขั้นจุติวิญญาณขั้นต้น แต่พลังที่เปล่งออกมาจากกายนั้นก็เทียบเท่าผู้ฝึกตนในขั้นจุติวิญญาณขั้นกลางเลยทีเดียว

หวังเป่าเล่อตกตะลึงเมื่อได้มองเห็นการบรรลุขั้นนั้น ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงช่วงการบรรลุขั้นของหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี ประสาทสัมผัสของเขาในตอนนั้นยังไม่ดีนัก จึงรับรู้ได้เพียงว่าทั้งคู่แข็งแกร่ง มาบัดนี้ เมื่อมีตัวเปรียบเทียบ หวังเป่าเล่อจึงเพิ่งจะได้รู้ว่าเขาอาจจะดูเบาทั้งต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินมากเกินไป

ทั้งคู่ต่างก็มีพรสวรรค์สูงกว่าประมุขสวีอย่างเห็นได้ชัด พลังของพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั่วๆ ไปอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีเวลาอีกสองปีในการควบคุมปราณให้เข้าที่ หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าเขาจะสามารถต่อสู้เอาชนะทั้งคู่ได้หรือไม่หากต้องพบกันอีกครั้งหนึ่ง

หวังเป่าเล่ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกถูกคุกคาม แต่ถึงกระนั้น การบรรลุขั้นของประมุขสำนักสวีก็เป็นข่าวดีสำหรับฝ่ายสหพันธรัฐในสำนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มมอบตำแหน่งผู้อาวุโสให้กับประมุขสำนักด้วยตนเอง บัดนี้ มีผู้อาวุโสภายใต้หวังเป่าเล่อแล้วถึงสองคน

เขายังได้มีรักษาการผู้อาวุโสอีกสองคนและศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นใน แม้พวกเขาจะต้องการเวลาแต่ฝ่ายสหพันธรัฐก็เริ่มจะมีกำลังเข้มแข็งขึ้นทีละน้อย

หวังเป่าเล่อได้เสนอเรื่องการพาพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สามมาแล้ว การนี้จะช่วยเพิ่มพลังให้ฝ่ายเขาเป็นอย่างมาก การสนับสนุนจากเฟิ่งชิวหรันทำให้เมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งแม้จะไม่พอใจ ก็จำจะต้องเห็นด้วยกับข้อเสนอ หวังเป่าเล่อขณะนี้กลายมาเป็นเสี้ยนหนามที่คอยทิ่มตำเขาอยู่ไม่หยุดหย่อน

หลังจากที่ได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ หวังเป่าเล่อก็เริ่มคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับอนาคตของฝ่ายตนเอง ชายหนุ่มได้ปรึกษาเรื่องนี้กับประมุขสำนักสวี หลังจากที่แต่งตั้งประมุขขึ้นเป็นผู้อาวุโส หวังเป่าเล่อก็ออกประกาศสามฉบับในฐานะผู้อาวุโสสูงสุด

ประกาศสามฉบับนั้นก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งสำนัก!

ฉบับแรกเป็นการประกาศการขยายตัวของเครือข่ายวิญญาณ หวังเป่าเล่อหนุนให้คนเริ่มลงทุนทำธุรกิจ ลดความยากในการเข้าถึง และยังอนุญาตให้ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเปิดร้านของตัวเองบนเครือข่ายวิญญาณได้อีกด้วย เป็นการกระตุ้นการแลกเปลี่ยนทรัพยากรแถมยังเป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าศิษย์ได้ทำกำไรจากการค้าบนเครือข่ายวิญญาณอีกด้วย!

จินตั้วหมิงเคยลองทำเช่นนี้มาแล้วในอดีตแต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก สาเหตุหลักคงเป็นเพราะการขาดอำนาจบารมี ทำให้ดูเหมือนกับว่าชายหนุ่มเอาแต่ตะโกนโวยวายเกี่ยวกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผลกระทบนั้นย่อมจะไม่รุนแรงเท่าประกาศอย่างเป็นทางการจากหวังเป่าเล่อในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแน่นอน

ขณะนี้ เมื่อมีการสนับสนุนจากหวังเป่าเล่อหนุนหลัง โอกาสเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนของเครือข่ายวิญญาณจึงดูใกล้ความเป็นจริงขึ้น ทันทีที่รากฐานและโครงสร้างของมันพร้อม เครือข่ายวิญญาณก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่สำนักวังเต๋าไพศาลจะขาดไปเสียไม่ได้อย่างแน่นอน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท