จ้าวหลิงเฟิงอยากจะร้องไห้ แทบอยากจะตบปากตนเอง ใครให้เจ้าปากมาก ปากมากแท้ๆ
สองวันก่อน เจ้านายผ่านมาทางอำเภอชิงเหอ แวะมาเยี่ยมขุนพลหวัง เขาพลั้งปากมากออกไปว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นถูกคนลอบสังหาร เจ้านายเลยมอบสองคนนี้ให้ ให้เขานำมามอบให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น ทั้งสองคนนี้เป็นคนในกองทัพที่มีฝีมือดีมาก น่าเสียดายทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บตอนที่ช่วยเหลือขุนพลชุยถิง คนหนึ่งแขนขาดข้างหนึ่งกลายเป็นคนพิการแขนขาด อีกคนหนึ่งขาขาดกลายเป็นพิการขาขาด
ทั้งสองคนเช่นนี้ไม่อาจอยู่กองทัพต่อไปได้อีก ขุนพลชุยถิงฝากเจ้านายหาที่ให้พวกเขา เจ้านายได้ยินว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่มีคนอารักขา ก็มีคำสั่งให้เขาพาทั้งสองคนมามอบให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น แต่ตอนนี้คนเขาไม่เอา
หากเขาส่งกลับไป เจ้านายจะว่าเขาทำงานไม่ดีหรือไม่ รู้สึกว่าเขาไร้ความสามารถหรือไม่ เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็จัดการไม่ได้
จ้าวหลิงเฟิงแทบอยากจะร้องไห้ มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวกล่าวว่า “ทั้งสองคนฝีมือร้ายกาจมากจริงๆ นะ ให้อยู่ข้างกายพวกเจ้าย่อมได้ช่วยเหลือพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
จ้าวหลิงเฟิงเพิ่งกล่าวจบ คุณหนูหกตระกูลเถียนก็รับคำ “ที่เจ้าพูดถึงคงไม่ใช่คนแขนขาดกับคนขาขาดสองคนนอกประตูนั่นกระมัง”
ผู้ชายสองคนนั่นยังวางท่าใหญ่โต สีหน้าคุณหนูหกตระกูลเถียนมองจ้าวหลิงเฟิงอย่างแทบไม่อยากจะเชื่อ นี่มันหลอกลวงกันหรือ
ในห้อง แววตาลู่เจียวพลันเคร่งเครียด นางหันไปมองคุณหนูหกตระกูลเถียนทันที
ผู้ชายแขนขาดกับขาขาดหรือ นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ในนิยายที่อ่านมาเหมือนกล่าวถึงว่าเป็นคนสนิทที่ช่วยงานเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้มาก หนึ่งในสองคนนั้นเป็นผู้คุ้มกันแขนเดียว ชื่อว่าหลี่หนานเทียน อีกคนขาเดียวชื่อว่าโจวเส้ากง
แม้ว่าทั้งสองคนนี้จะแขนขาดและขาขาด แต่ฝีมือร้ายกาจมาก และพวกเขาเหมือนเป็นคนในกองทัพ มีความกล้าหาญและมีมันสมอง ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือทั้งสองคนยังภักดีกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นมาก สุดท้ายเซี่ยอวิ๋นจิ่นตายไป ทั้งสองคนก็ยังต่อสู้จนเฮือกสุดท้ายกับพระเอกนางเอกจนบาดเจ็บหนัก ตนเองจึงค่อยติดตามตายไปพร้อมเจ้านาย
ลู่เจียวคิดถึงทั้งสองคนในนิยายแล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ในนิยายไม่ได้บอกว่าผู้คุ้มกันสองคนนี้เป็นคนของอ๋องเยียนแห่งแคว้นต้าโจว ว่าที่ฮ่องเต้ส่งมาให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นหรือ ทำไมตอนนี้เป็นจ้าวหลิงเฟิงส่งมาให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น หรือว่าเกิดเหตุผิดพลาดตรงไหน
ลู่เจียวกำลังคิดอยู่ ในห้องเซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าไม่ดีนัก มองจ้าวหลิงเฟิงกล่าวว่า “เจ้าล้อเล่นหรือไร ส่งคนแขนขาดขาขาดมาได้”
จ้าวหลิงเฟิงได้ยินเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าบอกพวกเจ้าแล้วกัน สองคนคนนี้เป็นคนในกองทัพ เพราะแขนขาดและขาขาดจึงไม่อาจอยู่กองทัพต่อไปได้ ดังนั้นข้าเลยพาพวกเขามาให้พวกเจ้า ฝีมือ พวกเขาร้ายกาจมาก แม้ว่าแขนและขาขาด แต่ฝีมือก็ยังร้ายกาจ เพียงพอจะปกป้องคุ้มกันพวกเจ้าได้”
จ้าวหลิงเฟิงกล่าวจบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังจะให้เขาพาคนกลับ ลู่เจียวกลับเอ่ยขึ้นว่า “ข้าฟังแล้วรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองคนน่าสงสารมาก”
ลู่เจียวแสร้งทำน้ำเสียงสงสาร ในความเป็นจริงนางรู้ว่าทั้งสองคนวันหน้าจะเป็นคนสนิทเซี่ยอวิ๋นจิ่น ดังนั้นนางต้องช่วยเซี่ยอวิ๋นจิ่นรับพวกเขาไว้ รอไว้วันหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปเมืองหลวง ทั้งสองคนก็จะได้ติดตามเขาไปเมืองหลวง
ส่วนสองคนจากตระกูลเถียนนี่ ในนิยายไม่ได้เอ่ยถึง น่าจะเป็นเพราะนาง จึงทำให้เกิดทฤษฎีผลกระทบผีเสื้อ[1] เปลี่ยนแปลงเรื่องราวในนิยายไปบางส่วน
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยปากอีกว่า “เจ้าให้พวกเขาเข้ามาให้พวกเราดูหน่อยแล้วกัน”
จ้าวหลิงเฟิงลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ให้คนไปตามพวกเขาเข้ามา
ปรากฏมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
นอกจากคนแขนขาดขาขาดด้านหน้าแล้ว ด้านหลังยังมีคนอีกหลายคน มียายแก่ตาบอดหนึ่งกับเด็กอีกสามคนที่ผอมมากราวกับไม่มีข้าวกิน
คนในห้องพากันหันไปจ้องมองคนเหล่านี้ จากนั้นก็ทุกคนก็หันพรึ่บไปมองจ้าวหลิงเฟิง
จ้าวหลิงเฟิงแทบอยากจะร้องไห้ เดิมเขาคิดว่าเจ้านายให้เขาจัดหาที่ทางให้แค่สองคน ปรากฏพอพวกเขามา จึงได้รู้ว่าถึงกับมากันทั้งครอบครัว
“ผู้นี้คือหลี่หนานเทียน ผู้นี้คือท่านแม่หลี่หนานเทียนกับบุตรชาย”
“ผู้นี้คือโจวเส้ากง นี่คือบุตรชายสองคนของเขา”
ลู่เจียวได้ฟังจ้าวหลิงเฟิงแนะนำ ก็ประเมินมองหลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงทั้งสองคนอย่างละเอียด แม้ว่าแขนขาดขาขาด แต่ท่าทางทั้งสองคนก็ยังดูน่าเกรงขาม แววตายังแอบซ่อนความฉลาดหลักแหลมเอาไว้ ทั้งสองคนเป็นคนจากกองทัพจริง และมองดูก็รู้ว่าร้ายกาจมาก
ลู่เจียวคิดไปก็หันไปมองหญิงชราข้างหลี่หนานเทียนไป แค่ดูก็รู้ว่ามารดาเขาตามองไม่เห็น บุตรชายตัวน้อยข้างๆ ใบหน้าซีดเหลืองไม่มีเนื้อหนัง แต่ใจกล้าไม่น้อย เห็นพวกเขามองก็ไม่ได้รู้สึกกลัวสักนิด
ลู่เจียวมองเจ้าหนูสองคนข้างๆ โจวเส้ากง ผอมแห้งพอกัน ไม่มีเนื้อหนังเท่าไร เจ้าสองคนนี่ก็ใจกล้ามากเช่นกัน
เด็กๆ จากตระกูลทหารนี่ไม่เหมือนทั่วไปจริงๆ ลู่เจียวเห็นเด็กพวกนี้แล้ว ในใจก็พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
ที่บ้านมีเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ แม้ว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตอนนี้อายุไม่มากนัก แต่ก็จัดหาคนมาดูแลเป็นเพื่อนเรียนเพื่อนเล่นประจำตัวพวกเขาได้แล้ว เหมือนคนที่มีเพื่อนร่วมเรียนโตมาด้วยกันแต่เล็ก ความสัมพันธ์ก็จะดีกว่าผู้อื่น
สามคนนี้รวมหลินซีก็พอดีสี่คน นี่ก็นับว่าเป็นของขวัญที่นางมอบให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่แล้วกัน
ลู่เจียวคิดได้แล้วก็เตรียมจะบอกให้พวกเขาอยู่ต่อ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงเอ่ยก่อนว่า “จ้าวหลิงเฟิง นี่คือคนที่เจ้ามอบให้ข้า เจ้ามอบคนสองคนให้ข้า หรือมอบคนสองตระกูลให้ข้ากัน”
จ้าวหลิงเฟิงงึมงำไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรดี เขาไม่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงจ้องมองหลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากง คิดดูว่าทั้งสองคนจะไปหรือไม่
พวกเขาเป็นคนในกองทัพ มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี ส่วนใหญ่น่าจะทนรับท่าทางแสดงความรังเกียจเปิดเผยของเซี่ยอวิ๋นจิ่นเช่นนี้ไม่ได้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวเช่นนี้ก็เพื่อลองใจดูว่าพวกเขาจะทนรับคำพูดเขาเช่นนี้ได้ไหม จะหันหลังจากไปไหม หากหันหลังจากไป เขาย่อมไม่ยอมให้อยู่ตระกูลเซี่ย การเป็นคนรับใช้ต้องซื่อสัตย์ภักดี ไม่ใช่คนในกองทัพที่หยิ่งในศักดิ์ศรี
แต่หลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงไม่ได้หันหลังจากไป พวกเขาสองคนเงยหน้ามองเซี่ยอวิ๋นจิ่น เอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น “เซี่ยซิ่วไฉ แม้ว่าพวกเราแขนขาดขาขาด แต่ย่อมไม่ใช่คนไร้ประโยชน์อย่างเด็ดขาด พวกเราจะไม่อยู่กินข้าวเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร ขอเซี่ยซิ่วไฉรับพวกเราไว้ด้วย”
พวกเขาสองคนเป็นหัวหน้าหน่วยติดตามขุนพลชุยถิง เพราะช่วยแม่ทัพไว้จึงได้รับบาดเจ็บสาหัส แม่ทัพฝากพวกเขาไว้กับอ๋องเยียน
อ๋องเยียนมอบพวกเขาให้ติดตามเซี่ยซิ่วไฉย่อมต้องเล็งเห็นอะไรในตัวเซี่ยซิ่วไฉ ไม่เช่นนั้นย่อมไม่มอบพวกเขาให้ และระยะนี้หลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงก็นับว่ามองชีวิตปรุโปร่งแล้ว แม้พวกเขาแขนขาขาด แต่ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์อย่างเด็ดขาด แต่พวกเขากลับหาอะไรทำไม่ได้
คนพวกนั้นพอเห็นพวกเขาแขนขาดขาขาดก็อย่าว่าแต่ให้งานพวกเขาทำ ยังรังเกียจขับไล่พวกเขาราวกับหนูตามท้องถนน บางคนเห็นพวกเขาเช่นนี้ ถึงกับปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนขอทาน
หลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงหันไปมองมารดาตาบอดกับบุตรชายอายุน้อยแล้วก็แทบหมดหวัง โชคดีอ๋องเยียนหาทางให้พวกเขาเช่นนี้ พวกเขาย่อมต้องไขว่คว้าเอาไว้
“ขอเซี่ยซิ่วไฉรับพวกเราไว้ด้วย”
[1] ทฤษฎีผลกระทบผีเสื้อ (Butterfly Effect) เป็นแนวคิดที่ใช้อธิบายความซับซ้อนของปัจจัยหลากหลายเข้ามาเกี่ยวข้องจนทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดไม่ถึง