“เฮ้อ”
แม้จะถอนหายใจจนแผ่นดินแทบยุบ แต่ความอึดอัดใจก็ไม่ได้คลายลงเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ค่อยสะดวก อินซอบลองใช้มือกดบริเวณหน้าอก วันนี้ก็เช่นกัน เขาสลัดอีอูยอนที่บอกให้เขาไปค้างด้วยได้อย่างยากลำบาก พอเขาบอกว่าไม่มีสูทเปลี่ยน อีอูยอนก็พูดอย่างไม่ลังเลเลยว่าถ้าเขาต้องการ อีกฝ่ายจะซื้อเสื้อผ้าให้สักสิบชุดเลยก็ยังได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีชุดเหลือเฟืออยู่แล้วจึงต้องปฏิเสธอย่างสุดชีวิต
‘ซ่อนอะไรไว้ที่บ้านเหรอครับ’
สายตาของอีอูยอนที่เอ่ยถามพลางยิ้มไปด้วยน่ากลัวมากเสียจนอินซอบต้องส่ายหน้าเป็นพัลวัน สุดท้ายอีอูยอนก็บอกว่า ‘ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ’ ก่อนจะไปส่งอินซอบ
“เฮ้อ…”
อินซอบถอนหายใจอีกครั้ง
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีอูยอนเลย สมองของเขาว้าวุ่น อินซอบไม่ได้กลับเข้าบ้านทันที และหันเท้าไปยังสวนสาธารณะใกล้ๆ แทน เขานั่งพิงบนม้านั่งและเงยหน้ามองฟ้า
หากลองเปรียบเทียบระหว่างการเป็นข่าวกับแชยอนซอ กับการเล่นละครของบริษัท N แล้ว อย่างหลังได้ผลประโยชน์มากกว่าอย่างที่กรรมการผู้จัดการคิมพูด เพราะนอกจากแชยอนซอจะเป็นนักแสดงที่มหาชนรักและชื่นชอบแล้ว ถ้าจับคนทั้งสองคนมาอยู่คู่กัน ก็เหมาะสมราวกับเป็นคู่รักที่เหมือนภาพวาด แม้จะบอกว่าเป็นการเปิดตัวว่าคบกัน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนในด้านการสร้างภาพลักษณ์เลย แน่นอนว่าการเลือกทางนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แต่อีอูยอนกลับปฏิเสธอย่างหนักแน่น เป็นท่าทีที่ไม่เปิดโอกาสให้สนับสนุนด้วยซ้ำ ‘ผมไม่ได้สนใจหรอกครับ แต่ผมไม่ชอบให้คุณอินซอบต้องมากังวล’ อีอูยอนอธิบายเหตุผลอย่างกระชับ ถ้าลองเปลี่ยนคำพูดก็หมายความว่า ‘ถ้าคุณไม่กังวลใจ ผมเองก็ไม่มีปัญหา’ แต่อินซอบไม่สามารถพูดอะไรได้เลย และออกจากบ้านของอีกฝ่ายมาทั้งอย่างนั้น
ถ้าเป็นผู้จัดการส่วนตัวธรรมดาทั่วไป เขาจะต้องบอกให้อีกฝ่ายตกลงรับข้อเสนอนั้นอยู่แล้ว
ชเวอินซอบใช้ฝ่ามือกุมใบหน้าของตัวเองไว้
บอกตรงๆ คือเขาไม่ชอบเลย ไม่ชอบความจริงที่ว่าอีอูยอนจะยอมรับว่าคบกับใครอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่แค่ไม่ชอบ แต่เขาไม่ชอบมากถึงขนาดที่อยากจะร้องไห้ออกมาเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าลองคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน เหตุผลที่อีกฝ่ายโดนห้ามไม่ให้อากาศก็เป็นเพราะเขา …นี่เราเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนี้เลยเหรอ ขอโทษนะครับกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีม ผมเป็นคนเลวขนาดนี้เลยแหละครับ เป็นแบบนี้แล้วเราจะอยู่ข้างๆ อีอูยอน และคอยช่วยเขาได้ยังไง
“…เลิกดีไหมนะ”
เขาพูดพึมพำถึงความรู้สึกที่แท้จริง แต่แล้วอินซอบก็ต้องรีบส่ายหน้าเพราะกลัวว่าใครจะได้ยิน เขาอุตส่าห์ไปหากรรมการผู้จัดการคิม และพูดถึงขนาดนั้น เขาไม่สามารถเลิกทำงานได้ภายในเวลาไม่กี่วันหรอก เขาไม่มีหน้าที่จะไปเจอกรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชา ยิ่งไปกว่านั้นถ้าคำนึงถึงอีอูยอนแล้ว เขาจะทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด
เขาอยากเปิดใจปรึกษากับใครสักคน แต่เขาไม่มีคนที่สามารถทำแบบนั้นด้วยได้ ไม่ว่าจะเมื่อก่อน หรือตอนนี้ นิสัยที่ไม่ชอบเข้าสังคมและไม่มีมนุษยสัมพันธ์ของเขาน่าสมเพชถึงขนาดที่ต้องหัวเราะออกมา เขาคิดถึงครอบครัวที่อยู่ที่อเมริกา เขามีความเหงาที่ไม่สามารถบอกกับอีอูยอนได้ เป็นเขาเองที่เลือกอีกฝ่าย เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องจัดการให้ได้ อินซอบรีบเช็ดตา จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีคนมองจึงหันหน้าไปมอง
“อ๊าก!”
เขากรีดร้องด้วยความตกใจก่อนจะเอนตัวไปด้านหลัง สุนัขสีขาวตัวใหญ่เห่า โฮ่งๆ พลางส่ายหางไปมา
“คง[1]!”
เขาได้ยินเสียงของใครบางคนเรียกอย่างรีบร้อนจากที่ไกลๆ สุนัขสีขาวเห่า โฮ่งๆ อย่างต่อเนื่องเหมือนกับจะบอกว่าฉันอยู่ตรงนี้
“คง! นี่ วิ่งหนีไปตอนที่พี่สาวกำลังเก็บอึให้ใช้ได้ที่ไหนกัน! ขอโทษด้วยนะคะ คงตกใจใช่ไหมคะ เดิมทีฉันจะจับเชือกให้แน่นและพาไปไหนมาไหนนะคะ แต่…เอ๋?”
อินซอบกะพริบตาปริบๆ ทันใดนั้นผู้หญิงที่ใส่ชุดวอร์มก็ทำเหมือนรู้จักเขาด้วยท่าทางยินดี
“คุณชเวอินซอบหรือเปล่าคะ”
“ครับ? เอ่อ…ครับ”
หญิงสาวถอดหมวกที่สวมอยู่ออกก่อนจะยิ้มให้เขา
“คุณนักข่าว…ยุนอารึม”
“ตายแล้ว แม้แต่ชื่อก็จำได้แม่นเชียวนะคะ”
ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอีอูยอน แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน เขาก็จะจดเอาไว้ทั้งหมด และท่องจำอย่างแม่นยำ เขาไม่มีทางลืมชื่อของนักข่าวที่เคยสัมภาษณ์ฝ่ายนั้นแน่ๆ
“ครับ ผมต้องจำได้อยู่แล้วสิครับ ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ”
อินซอบลุกขึ้นจากม้านั่ง และยื่นมือให้เธอ ยุนอารึมจับมือของเขาและเขย่าเบาๆ
“ว่าแต่มาทำอะไรที่นี่คะ”
“มันอยู่ใกล้บ้านผมน่ะครับ”
“บ้านของฉันก็อยู่ข้างหน้านี้เองค่ะ เห็นหลังคาสีฟ้าตรงนั้นไหมคะ นั่นแหละค่ะ บ้านของฉัน”
“อ๋อ ครับ”
อินซอบตอบพลางหัวเราะเจื่อนๆ ระหว่างที่เขาสอดส่ายสายตาไปมาด้วยไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ เขาก็สบตากับสุนัขตัวใหญ่ พอเห็นมันเห่า โฮ่งๆ พร้อมกับส่ายหางไปมา อินซอบก็นึกถึงวิล
เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน เขาได้รับโทรศัพท์จากพ่อ พ่อบอกว่าวิลได้จากโลกนี้ไปแล้ว และยังบอกว่ามันนอนอยู่หน้าห้องของเขาอย่างสงบเหมือนกับหลับไปเฉยๆ พอวางสาย อินซอบก็ร้องไห้ทั้งคืน วิลเป็นทั้งครอบครัวและพี่ชายของเขา วิลปฏิบัติต่อเขาที่ร่างกายอ่อนแอเหมือนกับเป็นน้องชาย และการที่มาเฝ้าอยู่หน้าห้องของเขาจนถึงวาระสุดท้ายก็สมกับเป็นวิลจริงๆ
คนที่ปลอบอินซอบที่ร้องไห้อยู่ตลอดหลายวันคืออีอูยอน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เข้าใจทั้งหมด ‘อยากเลี้ยงหมาเหรอครับ ผมจะซื้อตัวที่ดีกว่าเดิมให้เองครับ เพราะฉะนั้นอย่าร้องไห้เลยนะครับ’ แม้เขาจะรู้ว่านั่นเป็นการปลอบใจที่ดีที่สุดตามแบบฉบับของอีกฝ่ายแล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกว่างเปล่าข้างในจิตใจ อินซอบกลั้นเสียงหัวเราะที่ว้าเหว่ไว้ก่อนจะก้มลงมองสุนัขที่อยู่ตรงหน้า
“นี่ คง นายจะชอบทุกคนที่เห็น แล้วก็ส่ายหางให้เหรอ หืม? แล้วฉันจะทำยังไงกับผู้ชายที่ไม่มีหลักการขนาดนั้นดีล่ะ”
ยุนอารึมใช้มือลูบต้นคอของสุนัขพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างขี้เล่น
“เจ้านี่ชื่อคงเหรอครับ”
“ค่ะ ถึงแม้ยากที่จะเชื่อ แต่ตอนที่ได้มันมาทีแรก มันตัวเท่าเมล็ดถั่วเองค่ะ ถึงตอนนี้จะเป็นแบบนี้ก็เถอะ ฮ่าๆ แต่ก็น่ารักใช่ไหมคะ”
แม้สุนัขที่มีขนสีขาวจะตัวโตเท่ากับเอวของผู้ใหญ่ แต่ใบหน้าที่ยิ้มอย่างขี้เล่นก็น่ารักมาก
“น่ารักมากเลยครับ”
“จะลองลูบดูไหมล่ะคะ”
ข้อเสนอของหญิงสาวทำให้อินซอบตาโตขึ้นมาทันที
“ได้เหรอครับ”
“ค่ะ แต่ว่าระวัง…”
วินาทีที่อินซอบนั่งลง และยื่นมือออกไปลูบสุนัข
“…!”
อินซอบรับน้ำหนักของสุนัขที่พุ่งเข้าใส่ไว้ไม่ไหวและล้มหงายหลังไป
“ฉันผิดเองค่ะ ขอโทษจริงๆ นะคะ เจ้านี่ไม่ค่อยระวังเพราะยังเด็กอยู่น่ะค่ะ”
ยุนอารึมกล่าวขอโทษพร้อมกับพยายามดึงสายจูงเอาไว้ แต่สุนัขก็กระโจนเข้ามาเลียหน้าของอินซอบอย่างเอาจริงเอาจังเรียบร้อยแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับไปอาบน้ำเอาก็ได้ครับ”
ชเวอินซอบไม่ได้นิ่วหน้าเลยแม้แต่น้อย เขากอดสุนัขตัวนั้นและลูบหลังมันเบาๆ ยุนอารึมเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม
“ดูเหมือนคุณจะเคยเลี้ยงหมามาก่อนนะคะ”
“ครับ รู้ได้ยังไงเหรอครับ”
“คนปกติจะกลัวเวลาโดนหมาที่ตัวโตขนาดนี้วิ่งใส่นี่คะ แต่คุณทำตัวเป็นธรรมชาติมากเลย”
อินซอบบอกว่า ‘อย่างนั้นเหรอครับ’ พร้อมกับยิ้ม และตบหัวของคงเบาๆ ไปด้วย
“นายน่ารัก แล้วก็เป็นเด็กดีมากเลยน้า”
“เป็นเด็กดีอะไรกันล่ะคะ ตอนนี้โต๊ะกินข้าวที่บ้านของฉันเอียงกระเท่เร่เพราะเด็กนี่ไปแล้ว มันขูดขาข้างหนึ่งออกมากินน่ะค่ะ”
อินซอบหัวเราะออกมา เขานึกถึงวิลตอนเป็นเด็ก
“วิลที่บ้านของผม…”
“หมาที่เลี้ยงชื่อวิลเหรอคะ คุณร้องไห้เหรอ”
ยุนอารึมทำให้สุนัขที่กระโดดไปมาด้วยความตื่นเต้นสงบลง และเอ่ยถามอย่างตกใจ
“เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”
อินซอบรีบส่ายหน้า แต่น้ำตาที่ไหลออกมาแล้วครั้งหนึ่งกลับไม่หยุดง่ายๆ ยุนอารึมค้นในกระเป๋า และหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้
“…ขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเราก็ได้”
อินซอบเอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดตา ยุนอารึมกำสายจูงสุนัขให้กระชับ และเฝ้าอยู่ข้างๆ
“ผมคิดถึงวิลน่ะครับ…”
อินซอบพึมพำเบาๆ
“ดูเหมือนจะข้ามสะพานสายรุ้งไปแล้วสินะคะ”
“สะพานสายรุ้งเหรอครับ”
อินซอบกะพริบตาให้กับสำนวนที่ได้ยินเป็นครั้งแรก น้ำตาที่เกาะอยู่ที่ขนตายาวไหลลงมาตามแก้มและหยดลง
“พวกเจ้าของจะพูดแบบนั้นเวลาที่สัตว์เลี้ยงตายน่ะค่ะ เพราะพวกเขาหวังว่าสัตว์เลี้ยงข้ามสะพานสายรุ้งไปและได้ไปอยู่ในที่ที่ดี”
พอเขานึกถึงวิลที่ข้ามสะพานสายรุ้งไปด้วยเท้าหน้าสีขาวนุ่มนิ่ม น้ำตาที่หยุดไหลอย่างยากลำบากก็ไหลลงมาอีกครั้ง อินซอบพูดว่า ‘ขอโทษครับ’ พร้อมกับระเบิดน้ำตาออกมาอีกรอบ ยุนอารึมถอนหายใจก่อนจะนั่งลงข้างๆ ท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด มีเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้นที่ดำเนินต่อไป คงที่ครางหงิงๆ เลียมือของอินซอบด้วยคิดว่าเกิดปัญหาเพราะตัวเอง
“ขอบใจนะ …ขอโทษที นายเลยตกใจไปด้วยเลย”
อินซอบลูบหัวของคง
“ไม่ต้องสนใจเด็กนี่หรอกค่ะ ยังไงซะก็เป็นเด็กที่พอหันหลังให้ ก็ลืมทุกอย่างอยู่แล้ว”
ยุนอารึมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสดใส
“ขอโทษนะครับ ที่ทำให้ต้องมาเห็นภาพที่น่าเกลียดแบบนี้ เป็นผู้ใหญ่แล้วแท้ๆ…”
ยุนอารึมโบกมือปฏิเสธพลางพูดว่า ‘ไม่เลยค่ะ’ แล้วเธอก็พูดต่อ
“เมื่อปีก่อน ทัน[2] ที่บ้านฉันเลี้ยงไว้ก็ข้ามสะพานสายรุ้งไปเหมือนกันค่ะ ฉันเองร้องไห้ทุกวันเกือบเดือนเลยเพราะเลี้ยงมาเป็นสิบปีแล้วน่ะค่ะ แต่วันหนึ่งพอฉันเลิกงานกลับบ้าน ฉันก็เห็นว่าพ่อกำลังร้องไห้อยู่คนเดียว ตอนแรกฉันก็ตกใจ นึกว่าตัวเองเจอผีซะอีก เพราะพ่อของฉันเป็นคนเย็นชาและไม่ค่อยแสดงความรู้สึกน่ะค่ะ แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วก็คิดได้ว่าพ่อเป็นคนพาทันไปเดินเล่นตลอด ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็รู้สึกปวดใจและเจ็บปวดเหมือนกันทั้งนั้นแหละค่ะ การแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ ไม่ดีตรงไหนล่ะคะ”
“ขอบคุณครับ…”
“แล้วการที่คุณอินซอบร้องไห้ก็ไม่ได้น่าเกลียดเลยนะคะ กลับดูสวยซะอีก ไม่เคยได้ยินคำพูดแบบนี้ที่ไหนบ้างเหรอคะ”
อินซอบก้มหน้าเพราะตกใจกับการปลอบโยนที่แฝงคำพูดล้อเล่นไว้ด้วยของหญิงสาว นี่เป็นคำพูดที่เขาได้ยินจากอีอูยอนบ่อยๆ
“ถึงจะเป็นคำพูดที่ไม่ควรพูดตอนนี้ แต่พอผ่านไปสักปี คุณลองเลี้ยงหมาตัวอื่นก็ดีนะคะ ช่วงนี้ที่บ้านของฉันก็มีเสียงหัวเราะไม่ขาดสายเลยเพราะเจ้านี่ แน่นอนว่าวุ่นวายด้วยเพราะมันเล่นฉีกวอลล์เปเปอร์ออกมาหมดเลย ฉันชมอะไรแกเหรอ แกถึงยิ้มน่ะ”
ยุนอารึมใช้ปลายนิ้วดีดจมูกของคงอย่างแกล้งเล่น
“คงไม่ได้หรอกครับ ผมไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านเท่าไร”
“แล้วคนอื่นๆ ในครอบครัวล่ะคะ”
“ตอนนี้ผมอยู่คนเดียวน่ะครับ”
“อ๋า ยังทำงานนั้นอยู่เหรอคะ”
“ครับ? เรื่องนั้น…”
ในระหว่างที่อินซอบกำลังลังเล เพราะเขาไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ว่าอย่างไรดี ยุนอารึมก็รีบโบกมือปฏิเสธ
“ขอโทษค่ะ ถ้าลำบากไม่ต้องตอบก็ได้นะคะ ฉันเลิกเป็นนักข่าวแล้วล่ะค่ะ เมื่อกี้ฉันถามเหมือนขุดคุ้ยมากไปใช่ไหมคะ ตายจริง ฉันถูกตำหนิทุกครั้งเลยล่ะค่ะ แต่การเปลี่ยนวิธีในการพูดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ”
“ไม่เลยครับ ด้วยสถานการณ์บางอย่าง ตอนนี้ผมก็เลยทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้อีอูยอนชั่วคราวน่ะครับ ที่เป็นแบบนั้นเพราะผมไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีเฉยๆ ครับ ผมสิครับต้องขอโทษ ที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี”
พอเห็นอินซอบขอโทษอย่างสุภาพ ยุนอารึมก็หัวเราะออกมา
“ทำไมคำพูดถึงแข็งทื่อไม่สมเป็นคุณอินซอบเลยล่ะคะ เพื่อนๆ ไม่ตกใจเหรอคะ”
“ปะ เป็นแบบนั้นเหรอครับ”
ยุนอารึมตลกกับอะไรบางอย่างเป็นอย่างมาก เธอจึงไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ ชเวอินซอบนึกถึงเจนนี่ เสียงหัวเราะที่สดใสของเจนนี่ฟังเหมือนเสียงดนตรีเสมอ
“คุณอินซอบเป็นคนตลกนะคะเนี่ย”
“…ขอบคุณครับ”
อินซอบกล่าวขอบคุณอย่างประดักประเดิด ก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้พร้อมกับพูดว่า ‘นี่ครับ’
“มันเปื้อนน้ำตากับน้ำมูกไปหมดแล้วนะคะ ฉันให้ไปเลยดีไหมคะ”
“โอ๊ะ ไม่เป็นไรครับ ขอโทษด้วยนะครับ ผมจะรีบไปซักให้เดี๋ยวนี้ ไม่สิ ซื้อให้ใหม่ดีกว่า…ขอโทษด้วยนะครับที่ทำตัวไม่มีมารยาท”
“ล้อเล่นน่ะค่ะ ล้อเล่น ฉันพูดเล่นกับคุณอินซอบไม่ได้เลยสินะคะ รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ใจจังเลย”
อินซอบกำผ้าเช็ดหน้าไว้และทำตัวไม่ถูก
“ทิ้งไปเถอะค่ะ ฉันได้เป็นของสมนาคุณจากร้านขายเครื่องสำอางน่ะค่ะ”
ยุนอารึมลุกขึ้น อินซอบเองก็ลุกตามเธอไปด้วย
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะคืนให้แน่นอน”
“เดี๋ยวน่ะ เมื่อไหร่เหรอคะ”
“ครับ?”
“ก่อนหน้านี้ฉันส่งข้อความไปหา คุณก็ไม่ตอบเลยนี่คะ ฉันเจ็บปวดนะคะ”
อินซอบนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็เหงื่อตก เขาไม่ส่งแม้กระทั่งข้อความถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามมารยาท เพราะเป็นช่วงที่เขาพยายามที่จะไม่สร้างความสัมพันธ์กับใครเลย
“ขอโทษที่ทำตัวไม่มีมารยาทนะครับ ตอนนั้นผม…”
“ไม่เลยค่ะ ฉันพูดเล่นกับคุณไม่ได้จริงๆ ด้วย”
ยุนอารึมหัวเราะอย่างขี้เล่น ก่อนจะโบกมือปฏิเสธ
ภายในหัวของอินซอบขาวโพลน นอกจากเจนนี่แล้ว เขาไม่เคยคุยอย่างจริงๆ จังๆ กับผู้หญิงที่อายุเท่ากันมาก่อนเลย ต้องให้เบอร์โทรศัพท์ไปไหมนะ ถ้าเขาคิดว่าเราทำอะไรแปลกๆ จะทำยังไงล่ะ แต่ว่าเราจะเจอเธอเมื่อไหร่ และจะต้องตอบแทนเธอยังไงดีล่ะ ถ้าทำให้มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น เราจะเป็นคนไร้มารยาทได้นะ
ยุนอารึมพูดกับเขาที่ยืนส่ายไปส่ายมา เพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรดี
“รู้เบอร์โทรศัพท์ของฉันหรือเปล่าคะ ฉันเหมือนจะลบไปแล้ว”
“ผมเปลี่ยนโทรศัพท์น่ะครับ เบอร์ที่มีก่อนหน้านี้ก็เลยหายไปหมดเลย”
“งั้นเอาโทรศัพท์มาสิคะ”
อินซอบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า และยื่นให้อีกฝ่าย หญิงสาวบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไป
“ถ้าไม่ใช่วันที่ฝนตก ฉันจะพาคงมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะนี้ตอนเวลาประมาณนี้แหละค่ะ ถ้ามีเรื่องให้ต้องออกมา ก็ส่งข้อความมานะคะ มาเจอคงก็ได้ค่ะ”
“ได้เหรอครับ”
อินซอบถามพลางเบิกตาโตให้กับวิธีการแก้ไขปัญหาที่ง่ายๆ เขาดีใจอยู่ครู่หนึ่ง เพราะคิดว่าจะได้เจอคงด้วย
“ค่ะ ช่วงนี้ฉันว่าง เพราะกลายเป็นคนว่างงานที่แกล้งทำตัวเป็นนักเรียนอยู่น่ะค่ะ ถ้าอยากร้องไห้ ฉันจะให้ยืมไหล่ที่มีขนฟูของเจ้าคงของฉันเองค่ะ”
“…ครับ”
อินซอบลูบไหล่ของสุนัขที่มีขนฟูด้วยใบหน้าที่แดงซ่าน
“ว่าแต่จะทำยังไงกับเสื้อเหรอคะ เหมือนจะเป็นเสื้อราคาแพงซะด้วย”
“เป็นเสื้อผ้าราคาแพงเหรอครับ”
อินซอบปัดดินที่เปื้อนเสื้อออกด้วยความตกใจ นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่รู้มาก่อนเลย เพราะเขาใส่ตามที่อีอูยอนซื้อให้
“คุณอินซอบนี่ตลกจริงๆ งั้นไว้เจอกันนะคะ ได้เวลาที่เจ้าคงต้องกินอาหารว่างแล้ว”
“อ๋อ ครับ กลับดีๆ นะครับ”
ชเวอินซอบรวบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันอย่างสุภาพก่อนจะก้มหัว ยุนอารึมโบกมือและจากไปพร้อมกับคง พอเห็นว่าทั้งสองลับตาไปแล้ว อินซอบก็ปัดดินที่เปื้อนเสื้อออกอีกครั้ง
ตั้งแต่มาที่เกาหลี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นนอกจากอีอูยอน เพราะอย่างนี้หรือเปล่านะ เราถึงรู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเมื่อกี้มาก
‘การแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ ไม่ดีตรงไหนล่ะคะ’
คำปลอบโยนของยุนอารึมลืมไม่ลงอย่างน่าประหลาด อินซอบตั้งใจแน่วแน่ขณะเดินลงมาจากสวนสาธารณะว่าพอกลับบ้านไปอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาจะโทรศัพท์หาอีอูยอน และพูดออกไปตรงๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโกหกหรือการแสดง ผมก็ไม่ชอบเห็นคุณทำตัวเหมือนเป็นแฟนกับคนอื่นครับ ผมหึง เอ่อ เติมคำว่าชอบไปด้วยดีกว่า การแสดงความรู้สึกออกไปนี่มันดีไหมนะ
อินซอบฝึกคำพูดที่จะพูดกับอีอูยอน และก้าวเดินไปอย่างตั้งใจ
[1] คง ในภาษาเกาหลีแปลว่าถั่ว
[2] ทัน ในภาษาเกาหลีแปลว่าถ่าน