หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – ตอนที่ 633

ตอนที่ 633

บทที่ 633 เข้าไม่ได้!
ทุกคนพยักหน้าหลังจากได้ยินคำสั่งของสหายแห่งเต๋าโยวหรันและแยกย้ายกันออกไป หวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋าตามเฟิ่งชิวหรันไปยังแผ่นวงแหวนหนึ่งจากอีกสามวงแหวน

หวังเป่าเล่อชะลอความเร็วลงเล็กน้อยเพื่อให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าตามได้ทัน สำหรับเขาแล้วที่มาปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ก็เพื่อตอบแทนทางสำนักและเฟิ่งชิวหรัน จริงๆ ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ แต่ก็เป็นห่วงเจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋า

“เยี่ยเหมิง กงเต๋า อยู่ใกล้ๆ ข้าไว้ ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น…เราจะกลับทันที!” ชายหนุ่มรู้ว่าควรให้ความสำคัญกับอะไรที่สุด เขาส่งข้อความไปบอกผ่านแหวนสื่อสารในช่องทางเฉพาะของสหพันธรัฐจึงไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาได้ยิน

เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าเองก็คิดเช่นนั้น ทั้งสามหันมองกัน ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ชัดเจนว่าพวกเขาจะคอยเกาะกลุ่มกันและกลับออกไปพร้อมกัน

ทั้งสามมุ่งหน้าเข้าไปใกล้แผ่นวงแหวนด้วยความเป็นกังวล มองไกลๆ ว่าดูน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว เมื่อเข้าใกล้ก็พบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มองไม่เห็นเลยว่าขอบสุดอยู่ตรงไหน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองได้ทั่วด้วยดวงตาเพียงคู่เดียว

แผ่นวงแหวนเริ่มเด่นชัดในสายตาขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่สามารถระบุภูมิทัศน์ของมันได้ ผิวด้านบนมีลักษณะเป็นของเหลว คลื่นที่กระเพื่อมอยู่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่

พลังกดดันจากแผ่นวงแหวนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้ เหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเริ่มเวียนหัวแม้จะมีวงแหวนปราณป้องกันและพลังปราณจากเฟิ่งชิวหรันช่วยคุ้มกัน มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่ยังมีสติแจ่มชัด พลังปราณแกร่งกล้าและสถานะไม่ธรรมดาของหวังเป่าเล่อช่วยให้เขาปลอดภัยเช่นกัน ถึงกระนั้นก็ยังหายใจถี่รัว หัวใจเต้นระส่ำอย่างควบคุมไม่ได้

โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องทนทรมานนานเท่าใดนัก ไม่นานกลุ่มผู้ฝึกตนที่มีเฟิ่งชิวหรันคอยคุ้มกันก็เคลื่อนทัพเข้าไปอยู่ห่างจากผิวน้ำของวงแหวนปราณประมาณสามร้อยเมตร แสงสว่างวาบในตาเฟิ่งชิวหรันขณะเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเริ่มปลดปล่อยพลังปราณ ทุกคนมารวมตัวและรวมพลังกัน แปรเปลี่ยนเป็นดวงหางพุ่งตรงไปยังแผ่นวงแหวน

พวกเขาถึงจุดหมายในทันใด ขณะที่กำลังจะปะทะกับผิวน้ำของแผ่นวงแหวน เฟิ่งชิวหรันก็หยิบเอายันต์โบราณแผ่นหนึ่งออกมาโดยไม่ลังเล แผ่นยันต์ดังกล่าวสร้างขึ้นโดยสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริง ใช้เพื่อเปิดชั้นด้านนอกของเรือบินรบเพื่อเข้าไปด้านใน มีชื่อเรียกว่า ยันต์ระเบิดเคลื่อนย้าย!

เสียงกัมปนาทดังสนั่นเมื่อยันต์ระเบิดออก ผิวน้ำของแผ่นวงแหวนกระเพื่อมรุนแรง เผยให้เห็นปากทางเข้าแคบๆ เฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ ปลดปล่อยพลังปราณพร้อมกันและพุ่งตรงไปยังปากทางเข้าด้วยความเร็วเต็มพิกัด!

พริบตาเดียวพวกเขาก็มาถึงหน้าปากทางเข้า ขณะที่กำลังจะเคลื่อนตัวเข้าไปก็มีคลื่นพลังเคลื่อนย้ายระเบิดออกจากโลกภายใน กระจายไปรอบด้าน ส่งให้ทุกคนหัวหมุน

หวังเป่าเล่อเองก็ได้รับผลกระทบ เขาอยู่ห่างจากโลกด้านในแผ่นวงแหวนเพียงแค่ก้าวเดียวจึงได้กลิ่นดอกไม้ลอยออกมา ถึงกระนั้น ภารกิจครั้งนี้ก็รุดหน้าต่อไปได้ไม่สำเร็จ ทุกคนเริ่มหายวับไปในพายุพลังเคลื่อนย้าย ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง…บนฟากฟ้าถัดจากเรือบินรบไปสามหมื่นเมตร

“เกิดอะไรขึ้น”

“นึกว่าเข้าไปได้แล้วเสียอีก!”

“เรือบินรบมีกลไกเคลื่อนย้ายผู้บุกรุกออกไปจริงๆ ด้วย!”

เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋ามีสีหน้าเคร่งเครียด ผู้ฝึกตนรอบกายเริ่มกระซิบคุยกันอย่างดุเดือด เฟิ่งชิวหรันทำหน้านิ่วขณะจ้องมองเรือบินรบ ความรู้สึกมากมายลุกโชนในแววตา ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นกลับแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ชายหนุ่มไม่เห็นด้วยกับการนำกลุ่มคนมากมายมายังเรือบินรบ แต่เมี่ยเลี่ยจื่อกับสหายแห่งเต๋าโยวหรันกลับเห็นดีเห็นงามกับแผนนี้ เฟิ่งชิวหรันเองก็เห็นชอบ หวังเป่าเล่อจึงไม่สามารถโต้แย้งอะไรออกไปได้

ก็ดีเหมือนกัน ผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าบิดาของนางน่าจะตายไปแล้ว แต่ก็ทำได้แค่หวัง เขาถอนหายใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองสำรวจเรือบินรบ ชายหนุ่มเห็นแสงจากการเคลื่อนย้ายสว่างขึ้นถัดออกไปไม่ไกล พวกเมี่ยเลี่ยจื่อกับสหายแห่งเต๋าโยวหรันก็น่าจะโดนเคลื่อนย้ายออกมาเช่นกัน

ทุกคนหน้าคร่ำเคร่ง หลังจากสี่ผู้อาวุโสถกกันเสร็จ พวกเขาก็ตัดสินใจลองเข้าไปอีกครั้ง แต่ก็จบที่ถูกเคลื่อนย้ายกลับออกมาเหมือนเดิม ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ ทันใดนั้น เมี่ยเลี่ยจื่อก็เสนอความคิดขึ้น

“เราต้องใช้พลังจากวงแหวนปราณของกระบี่สำริดเขียวโบราณเพื่อขัดขวางการเคลื่อนย้ายจึงจะสามารถเข้าไปด้านในเรือบินรบได้ ข้าเสนอให้เรากลับสำนักก่อนและรวมพลังกันทั้งสามฝ่าย เราต้องเตรียมการเผื่อมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นครั้งหน้า!”

หวังเป่าเล่อเห็นด้วยกับข้อเสนอของเมี่ยเลี่ยจื่อ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สหายแห่งเต๋าโยวหรันก็พยักหน้ายินยอม เฟิ่งชิวหรันถอนหายใจ แม้จะหดหู่ใจแต่นางก็ยอมรับการตัดสินใจครั้งนี้ กลุ่มผู้ฝึกตนหลายร้อยคนที่มุ่งหน้ามาอย่างดุดันตัดสินใจกลับสำนักมือเปล่า

เหล่าศิษย์ที่อยู่คุ้มกันสำนักและผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐต่างแปลกใจเมื่อได้เห็นพวกเขากลับมา สำนักวังเต๋าไพศาลยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน มีเพียงรูปลักษณ์เรือบินรบที่เปลี่ยน รวมถึงความกดดันจากการปฏิบัติภารกิจล้มเหลวที่ยังติดอยู่ในใจ

อย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป เรือบินรบที่เปลี่ยนโฉมไม่น่าจะส่งผลต่อชีวิตผู้คนในวังเต๋าไพศาลในเร็ววัน สองสามวันต่อมา ทางสำนักก็พบว่าเรือบินรบนั้นได้กลับสู่ตัวดาบ ไม่ได้หนีออกไปไหน หวังเป่าเล่อกับเฟิ่งชิวหรันถกกันด้วยความสงสัยระคนความไม่สบายใจ ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลหลายคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ทราบข่าว

การควบรวมระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐดำเนินต่อ วันคืนอันแสนสงบสุขผ่านไป หวังเป่าเล่อฝึกวิชาได้ไม่นาน จินตั้วหมิงก็มาหาในคืนหนึ่ง

เขายิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับยกมือขึ้นคำนับทักทายหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าก่อนหน้ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าเราสองคนเริ่มจะห่างเหินกันไป ข้าจึงมาที่นี่เพื่อคุยเปิดอกกับเจ้า

“จินตั้วหมิงผู้นี้ไม่ได้ต้องการจะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐกับเจ้า ถึงจะเป็นภารกิจที่ต้วนมู่ฉีมอบหมายมา ข้าก็ไม่สน ข้ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ข้าอยากมีส่วนร่วมในการควบรวมสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐ ข้าอยากจัดตั้งกลุ่มไตรจันทราที่ไม่ขึ้นตรงต่อตระกูลของตัวเอง!”

“เป่าเล่อ เจ้าช่วยข้าได้ไหม” จินตั้วหมิงเอ่ยถามอย่างจริงใจ ดวงตาที่จ้องมองมาดูซื่อสัตย์ ไม่มีอะไรแอบซ่อน

หวังเป่าเล่อนวดหน้าผาก หลังจากเรือบินรบเปลี่ยนโฉมไป เขาก็เอาแต่ครุ่นคิดไม่หยุด จริงๆ แล้วตนกับจินตั้วหมิงก็ไม่ได้ห่างเหินกันสักเท่าไหร่ พวกเขายังติดต่อหากันตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชายหนุ่มพิจารณาอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามขึ้น

“ข้าจะช่วยเท่าที่ทำได้แล้วกัน เจ้าติดปัญหาเรื่องอะไร”

“ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าเรื่องที่จะขออาจทำให้เข้าใจผิดได้ แต่…ข้าก็จะพูด ข้าอยากแลกหุ้นส่วนเครือข่ายวิญญาณของข้ากับหุ้นส่วนเกมของเจ้า” จินตั้วหมิงเบือนหน้าหลบด้วยความขัดเขินเมื่อเอ่ยขอขึ้น

ชายหนุ่มนวดหน้าผากตนเองอีกครั้ง ส่วนตัวแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะตัดสินใจได้ฝ่ายเดียว หลังจากครุ่นคิดสักพัก หวังเป่าเล่อก็ถามขึ้นอย่างมีชั้นเชิง “ตั้วหมิง เจ้าควรไปปรึกษาเรื่องนี้กับเซี่ยไห่หยาง”

“เป่าเล่อ ข้าตามหาเซี่ยไห่หยางดูแล้ว แต่ไปถ้ำที่พักก็ไม่เห็นใคร ภายในก็ว่างเปล่า เห็นว่าเขาหายตัวไปวันเดียวกับที่เรือบินรบปรากฏ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา…” จินตั้วหมิงถอนใจพร้อมกับเอ่ยบอกด้วยความหงุดหงิด

“ไม่เจอ ถ้ำที่พักก็ว่างเปล่า เขาหายตัวไปอีกแล้วอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อ รีบหยิบแหวนสื่อสารขึ้นมาส่งข้อความหาเซี่ยไห่หยาง แต่ก็เหมือนดังโยนหินลงไปในมหาสมุทร ไม่มีการตอบกลับใดๆ

ดวงตาของจินตั้วหมิงฉายแสงวาบเมื่อเห็นดังนั้น เขาก้มหัวลงพร้อมกับถอนใจ

“ใช่ เขาชอบหายตัวไปไหนไม่รู้ นี่ก็ครั้งที่สองแล้ว”

หวังเป่าเล่อปวดหัวตุบๆ อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเซี่ยไห่หยางถึงมาหายตัวไปในเวลาเช่นนี้ เขาต้องตรวจสอบเรื่องนี้ คิดดังนั้นก็หันไปตอบจินตั้วหมิง

“ตั้วหมิง ไม่ต้องเป็นกังวลไป เซี่ยไห่หยางเป็นชายผู้เต็มไปด้วยปริศนา อาจจะมีธุระจำเป็นต้องไปสะสาง เดี๋ยวข้าไปตามหาเขาเอง จากนั้นจะรีบให้คำตอบเจ้า เอาตามนี้ได้ไหม”

จินตั้วหมิงยิ้มและพยักหน้าให้ เขาพูดคุยกับหวังเป่าเล่อต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะกลับออกไป

ส่งจินตั้วหมิงกลับไปเสร็จ หวังเป่าเล่อก็กลับมานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ขณะกำลังคิดเรื่องการหายตัวไปของเซี่ยไห่หยาง ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองไปด้านนอกตรงทางที่จินตั้วหมิงเดินจากไป ความสงสัยเริ่มฉายขึ้นในดวงตา หลังจากใคร่ครวญสักพักก็พบว่าสิ่งที่จินตั้วหมิงพูดถึงเซี่ยไห่หยางเป็นจุดที่ทำให้เขานึกสงสัย

“ไม่เจอ ถ้ำที่พักก็ว่างเปล่า เขาหายตัวไปอีกแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ใช่ เขาชอบหายตัวไปไหนไม่รู้ นี่ก็ครั้งที่สองแล้ว”

บทสนทนาเล่นซ้ำในหัวชายหนุ่มอีกครั้ง หน้าผากเริ่มขมวดเป็นรอยย่นลึก ถ้าจินตั้วหมิงไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยไห่หยางเคยหายตัวไป เขาน่าจะสงสัยเมื่อได้ยินตนพูดไปเช่นนั้น น่าจะถามถึงพฤติกรรมชอบหายตัวไปของเซี่ยไห่หยางกลับมา

แต่จากคำตอบก็ทำให้ตระหนักว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้ว่าเซี่ยไห่หยางเคยหายตัวไป

มีบางอย่างไม่ถูกต้อง จินตั้วหมิงไม่น่าจะรู้ว่าเซี่ยไห่หยางเคยอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาเคยถามเรื่องเซี่ยไห่หยาง แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้บอกอะไรไปมาก ถึงจะไปค้นข้อมูลเพิ่มก็ไม่น่าจะพบอะไรเพราะตอนนี้พวกเขาอยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ไม่ใช่สหพันธรัฐ

นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังเคยเตือนจินตั้วหมิงว่าอย่าเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องเซี่ยไห่หยาง เขาจำสีหน้าของจินตั้วหมิงหลังจากนั้นได้ขึ้นใจ จินตั้วหมิงน่าจะเชื่อฟังคำแนะนำตามนิสัย อีกทั้งยังน่าจะฉลาดพอที่จะไม่แอบไปค้นเรื่องเซี่ยไห่หยางเอง อาจจะคิดไปว่าเซี่ยไห่หยางเป็นศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลด้วยซ้ำ

หวังเป่าเล่อเริ่มนึกสงสัย แต่อีกฝ่ายอาจจะไปไล่ถามคนอื่นมาก็ได้ ผู้ฝึกตนจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีเพียงแค่ตนคนเดียว

ข้าอาจจะคิดมากไปเอง ชายหนุ่มนวดหน้าผาก ตัดสินใจเลิกคิดเรื่องนี้ไป กลับมาสนใจเรื่องการหายตัวไปของเซี่ยไห่หยาง ความหงุดหงิดใจเริ่มคุกรุ่นขึ้นภายใน เขาเรียกหาแม่นางน้อย แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบกลับ

หลับอีกแล้วหรือ หวังเป่าเล่อลุกยืน ท้องฟ้ามืดลงแล้ว แต่ความหงุดหงิดในใจยังลุกโชนไม่ดับหาย เขาหยิบเอาแผ่นหยกเกมเทพจุติออกมา กะจะเข้าไปเล่นเกมให้หายหงุดหงิดเสียหน่อย

แต่แม้ว่าจะพยายามเชื่อมต่ออยู่หลายครั้ง ก็เหมือนว่าระบบเกมจะล่ม เพราะเขา…ไม่สามารถเข้าเกมได้!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท