คุณชายเว่ยเลิกคิ้ว เห็นชัดว่าไม่เชื่อ
“จริงๆ” หนานกงมั่วจนปัญญา เอนศีรษะซบลงบนไหล่ของเขาแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟัง เล่าเรื่องที่ตนทำกับตระกูลจ้าวให้เขาฟังจนหมด เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้วเบาๆ “ไยอู๋สยาจึงชอบทำอันใดไม่เด็ดขาดเช่นนี้แล้วเล่า”
หนานกงมั่วกลอกตามองเขา “เช่นนั้นท่านคิดว่าต้องทำเช่นไร”
“ฆ่าทิ้งเสีย” คุณชายเว่ยตอบ
หนานกงมั่วยื่นมือไปหยิกเขาแรงๆ เอ่ย “พวกเราเพิ่งมาก็สังหารบุตรชายของขุนพล ทำให้คนโจมตีเราน่ะสิ ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าเบื่อ ข้าคิดว่าจากนี้ตระกูลจ้าวจะต้องครึกครื้น รอข้ามีเวลาว่างข้าจะได้ช่วยสุมไฟให้คุณชายจ้าวสามผู้นั้น หึๆ…รอหลังบ้านตระกูลนั้นไฟไหม้ คิดว่าแม่ทัพจ้าวคงไม่มีเวลามาหาเรื่องเราแล้ว”
มุมปากของคุณชายเว่ยยกยิ้ม ยื่นมือไปดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด
หนานกงมั่วรู้สึกว่าอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเขานั้นสบายที่สุดแล้ว จึงไม่เกรงใจที่จะเบียดตัวข้างเก้าอี้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา “บอกมา ไยท่านจึงกลับมาเร็วเพียงนี้ ไม่มีเรื่องอันใดใช่หรือไม่”
คุณชายเว่ยเลิกคิ้ว คล้ายกำลังถามว่าจะเจอเรื่องอันใดได้
“อย่างเช่น…มีคนทำให้ท่านต้องลำบาก ข่มขู่ท่านอะไรเช่นนั้น” หนานกงมั่วเอ่ย “นี่มิใช่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นหรือ ดังเช่นตอนที่ท่านเข้าไปอยู่ในกองทัพแม่ทัพจูใหม่ๆ”
เว่ยจวินมั่วสางผมนาง เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
หนานกงมั่วกะพริบตา “ก็ได้ มีฉังเฟิง ซิวหยางตามไปด้วย อีกทั้งยังมีทหารองครักษ์กลุ่มใหญ่ คนที่กล้าหาเรื่องท่าน…ก็คงมีไม่มาก” ล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่เกิดและเติบโตในกองทัพ อย่างไรก็คงพอมีตาอยู่บ้าง มิใช่ยอดฝีมือทุกคนจะดูเป็นธรรมชาติอย่างเว่ยจวินมั่ว ต่อให้คนกลุ่มนั้นในจวนของพวกเขาออกมายืนประจันหน้า แม้จะดูร้ายกาจเพียงใดก็ยังต้องเดินหลบให้
เว่ยจวินมั่วลูบหลังของนางเบาๆ เอ่ยถาม “ข้าไม่อยู่ มีคนมาหาเรื่องเจ้าหรือไม่”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ อย่างน้อยนางก็ยังมีตำแหน่งจวิ้นจู่อยู่ นอกจากเจ้าโง่ตระกูลจ้าวนั่นใครจะกล้ามาหาเรื่องนางอย่างโจ่งแจ้งอีก แน่นอนว่าเว่ยจวินมั่วเองก็เข้าใจดี ไม่มีใครมาหาเรื่องหนานกงมั่วเพราะความยำเกรงและอยากออกห่าง โชคดีที่หนานกงมั่วเองก็ไม่คิดอยากเกี่ยวข้องกับเหล่าสตรีครอบครัวขุนพลเหล่านั้น นอกจากนายทหารยศน้อยที่มีภรรยาเอกมาด้วย ขุนพลที่ชั้นสูงขึ้นมาสักหน่อยก็มีแต่อนุภรรยา หนานกงมั่วไม่รู้ว่าต้องข้องแวะอันใดกับคนเหล่านี้ มิสู้ไม่มีอันใดทำก็มาเล่นจับหนูเสียยังจะดีกว่า
“เซี่ยลี่ไม่มีความเคลื่อนไหว ท่านว่าเขาคิดจะทำอันใด” หนานกงมั่วเอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ไม่ใช่เขาคิดจะทำอันใด แต่เป็นเซียวเชียนเยี่ยคิดจะทำอันใด”
“เซียวเชียนเยี่ย…เซียวเชียนเยี่ยคงอยากฆ่าท่าน”
“อืม” เว่ยจวินมั่วพยักหน้า
“ดังนั้น…เซี่ยลี่เองก็อยากฆ่าท่านอย่างนั้นหรือ เพียงแต่…ยังหาโอกาสไม่ได้” หนานกงมั่วลืมตาขึ้นพลางเอ่ย คุณชายเว่ยสัมผัสแก้มของนางเบาๆ เอ่ย “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล”
“…” ข้าไม่ได้กังวลเสียหน่อย หนานกงมั่วถอนหายใจ “เมื่อคืนมีเรื่องตื่นเต้นมากไปหน่อยนอนไม่หลับนัก ข้าขอนอนสักหน่อย…”
“กลับไปนอนที่ห้อง” มองสตรีที่หลับตาพริ้มอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของตน คุณชายเว่ยเอ่ยอย่างทำอันใดไม่ได้
“ท่านอุ้มข้ากลับไป” หนานกงมั่วคร้านแม้แต่จะลืมตา ยกมือขึ้นกอดคอเขาเอาไว้ คุณชายเว่ยจึงจำต้องอุ้มนางขึ้นมา ลุกขึ้นเดินออกไป
“จวิ้นจู่ คุณชาย…” ชวีเหลียนซิงยกอาหารเข้ามา พลันมองเห็นคุณชายที่กำลังอุ้มจวิ้นจู่เข้ามา
เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะ มองสิ่งที่อยู่ในมือของนาง เอ่ย “ไม่ต้องแล้ว รอกินตอนเที่ยงครั้งเดียว”
“เจ้าค่ะ คุณชาย”
เว่ยจวินมั่วเดินผ่านชวีเหลียนซิงออกไป เสียงหนานกงมั่วที่ถูกเขาอุ้มอยู่เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เหลียนซิง เอามาส่งที่เรือนใหญ่”
มองตามหลังคุณชายเว่ยที่หายไปตรงหน้าประตู ชวีเหลียนซิงก้มลงมองของที่อยู่ในมือ ต้องฟังใครกันเล่า ไหวไหล่เบาๆ เดินออกไป ฟังจวิ้นจู่ดีกว่า นางเป็นคนของจวิ้นจู่
…
ในจวนของเซี่ยลี่ที่ตั้งอยู่ในเมืองเล็กๆ เซี่ยลี่ใบหน้าทะมึนมองผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ตรงหน้าเนิ่นนานไม่เอ่ยวาจา
แม่ทัพจ้าวมองสีหน้าทะมึนของเซี่ยลี่ อดที่จะกระวนกระวายไม่ได้ ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพ…เรียกข้ามา มีเรื่องอันใดหรือขอรับ” เซี่ยลี่ส่งเสียงหยัน เอ่ย “ได้ยินมาว่าบุตรชายของท่านไปสร้างความวุ่นวายให้ซิงเฉิงจวิ้นจู่หรือ”
แม่ทัพจ้าวรีบเอ่ย “เอ่อ…ท่านแม่ทัพ เรื่องนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิดกันขอรับ บุตรชาย…บุตรชายของข้ายามนี้อยู่ที่จวนของซิงเฉิงจวิ้นจู่ โดยซิงเฉิงจวิ้นจู่เป็นคนจัดการขอรับ” นึกถึงบุตรชายที่ตนทิ้งไว้ที่จวนซิงเฉิงจวิ้นจู่ แม่ทัพจ้าวรู้สึกกังวลขึ้นมา แต่ก่อนหน้านี้ท่านแม่ทัพก็กำชับเอาไว้แล้วว่าอย่าได้ไปหาเรื่องเว่ยจวินมั่ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าท่านแม่ทัพเรียกเขาเพื่อมาตำหนิที่ตนไม่เคารพในคำสั่งของท่านแม่ทัพ จึงรีบเอ่ยอธิบาย
“โง่เง่า” เซี่ยลี่ด่าว่าอย่างไม่พอใจ “พวกเจ้านึกว่าที่ข้าไม่ให้พวกเจ้าไปหาเรื่องเว่ยจวินมั่ว เป็นเพราะเข้าข้างพวกเขาหรือ”
“เอ่อ…แน่นอนว่าไม่ใช่ขอรับ” แม่ทัพจ้าวรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อน แต่ว่าความจริงแล้วมีขุนพลไม่น้อยที่คิดเช่นนั้น
เซี่ยลี่เอ่ยเสียงเย็น “แม้แต่ความจริงเกี่ยวกับอีกฝ่ายก็ไม่รู้ยังจะกล้าหาเรื่อง พวกเจ้าไม่กลัวตายหรืออย่างไร” แม่ทัพจ้าวคับข้องใจ ทว่าไม่เข้าใจความหมายของเซี่ยลี่ รีบเอ่ย “ขอท่านแม่ทัพได้โปรดชี้แนะ” เซี่ยลี่เอ่ย “ไม่ใช่ข้าดูถูกพวกเจ้า หลายปีมานี้พวกเจ้าเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในกองทัพ ต่อให้มีสองศีรษะพวกเจ้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของซิงเฉิงจวิ้นจู่ คิดอยากจะหาเรื่องนาง ก็เหมือนกับการเอาอาหารไปส่งให้นาง เมื่อวานเจ้าก็ประมือกับพวกเขาแล้ว ผลสุดท้ายเป็นเช่นไร”
แม่ทัพจ้าวอยากอธิบายเรื่องเมื่อวานนั้นไม่ใช่ความตั้งใจของตน ทว่าเมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยลี่เอ่ยจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ท่านแม่ทัพ ซิงเฉิงจวิ้นจู่ผู้นั้นเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น ต่อให้มีวรยุทธ์ก็มิได้เป็นเช่นท่านแม่ทัพเอ่ย…”
เซี่ยลี่ยิ้มเย็น “มิได้มีอันใดน่าเหลือเชื่อหรือ จังติ้งฟังที่คิดก่อกบฏเมื่อปีที่แล้ว เซียวฉุนผู้สำเร็จราชการแทนที่ยังไม่ทันได้มั่นคง สยบความวุ่นวายที่หลิงโจว อีกทั้งไม่นานมานี้ ขุนพลภายใต้จอมทัพฮูตุนตายไปหกเจ็ดคนในครั้งเดียว หากไม่ใช่เพราะฮูตุนเปลี่ยนตัวทัน เกรงว่าตอนนี้เป่ยหยวนคงปั่นป่วนไปแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกับซิงเฉิงจวิ้นจู่ผู้นั้น เจ้าว่านางร้ายกาจหรือไม่”
โยวโจวอยู่ไกลจากจินหลิง ข่าวคราวไม่นับว่าทั่วถึง มีหลายเรื่องราวที่ผู้นำเมืองโยวโจวได้รับรู้ แต่ขุนพลเบื้องล่างกลับไม่รู้เรื่องราว ได้ฟังสิ่งที่เซี่ยลี่เอ่ย แม่ทัพจ้าวก็อดสูดหายใจเข้าลึกไม่ได้ ทว่าสีหน้ามีแววไม่เชื่ออยู่บ้าง เซี่ยลี่ถอนหายใจ เอ่ย “อย่างอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง เจ้าว่าเรื่องเมื่อวาน ผลของมันเจ้าเห็นแล้วหรือไม่ เจ้าคิดว่าไยจึงเป็นเรื่องบังเอิญเพียงนั้นที่คุณชายสี่ของเจ้าถึงได้ถูกม้าเหยียบขาหัก”
แม่ทัพจ้าวลุกขึ้นมาทันใด เอ่ย “ท่านแม่ทัพ ท่านจะบอกว่าบาดแผลของเจ้าสี่ของข้า…”