บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 146 ออมมือ

ตอนที่ 146 ออมมือ

ในเมื่อเป็นการประลอง ย่อมไม่อาจพุ่งเข้าไปอย่างไม่สนใจสิ่งอื่นได้

จื่อเย่ว์ยืนถลกแขนเสื้อขึ้นช้าๆ อยู่ด้านข้าง ไม่ว่าเหล่านางในจะห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ แต่ก็ไม่อาจดูองค์หญิงจินเหยาถลกแขนเสื้อด้วยตนเองได้ ทำได้เพียงพลางห้ามปรามพลางช่วย องค์หญิงจินเหยาไม่ฟังพวกนางแม้แต่น้อย หากแต่ตั้งใจฟังอาเถียนที่กระซิบอยู่ข้างหูว่าท่านต้องทำเช่นนี้ท่านต้องทำเช่นนั้น

ดวงตาขององค์หญิงจินเหยาลุกเป็นประกาย พยักหน้า “เรื่องนี้ข้ารู้ ตอนที่อาจารย์สอนขี่ม้ายิงธนูในพระราชวังล้วนต้องเรียนสิ่งเหล่านี้ก่อน”

อาเถียนกล่าวชื่นชมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “องค์หญิงเก่งเสียจริง” อีกทั้งยังไม่ลืมชื่นชมอาจารย์ของตนเอง “คนที่สอนข้าเป็นองครักษ์หลวง ฝีมือเก่งกาจมาก องค์หญิงต้องชนะอย่างแน่นอนเพคะ”

จู๋หลินที่ขยับเข้ามาใกล้ได้ยินประโยคนี้ไม่รู้ว่าควรดีใจที่ถูกชื่นชมหรืออยากให้อาเถียนลืมตนเองเสีย

โจวเสวียนมองมาทางพุ่มไม้เตี้ยทางนี้ จ้องมองเสียจนจู๋หลินตัวแข็ง หากแต่โจวเสวียนไม่ได้พูดสิ่งใด ก่อนจะเบนสายตาออกไป

องค์หญิงจินเหยารวบชุดเสร็จสิ้น ผลักนางในที่ยังคงห้ามปรามออกไป ก่อนจะเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว “มาเถิด”

เหล่านางในระอา ทำได้เพียงจ้องมองจื่อเย่ว์ที่อยู่ตรงข้ามอย่างโหดเหี้ยม

โจวเสวียนมองใบหน้าแดงก่ำเพราะความตื่นเต้นขององค์หญิงจินเหยาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าต่อจื่อเย่ว์ “ไปเถิด” นอกจากนี้ไม่มีการกำชับสิ่งอื่น อย่างเช่นอย่าได้ทำให้องค์หญิงบาดเจ็บ หรือต้องชนะเท่านั้น

จื่อเย่ว์ตอบรับ นางเดินอยู่ตรงหน้าขององค์หญิงจินเหยา ทำการคารวะก่อน “องค์หญิง ล่วงเกินแล้ว…”

คำพูดนางยังไม่ทันจบสิ้น องค์หญิงจินเหยาก็พุ่งตัวเข้ามา “ไม่ต้องพูด”

เมื่อเห็นองค์หญิงจินเหยายื่นมือจับหัวไหล่ของจื่อเย่ว์เอาไว้ได้ อาเถียนพูดกับเฉินตันจูด้วยความตื่นเต้น “คุณหนู คุณหนู ข้าสอนเอง ต้องลงมือในตอนที่อีกฝ่ายคาดไม่ถึง”

สาวรับใช้นี้ภาคภูมิใจกับการสอนคนตบตี? หลิวเวยที่อยู่ด้านข้างไม่รู้จะพูดสิ่งใดดีแล้ว

เมื่อเห็นเฉินตันจูไม่เพียงไม่ห้าม อีกทั้งมองดูอย่างตั้งใจ หลิวเวยก็แอบมองไปยังคุณชายอายุน้อยทางนั้น…โจวเสวียนก็กำลังดูอย่างมีอรรถรส

เรื่องมาถึงเวลานี้หลิวเวยก็ทำได้เพียงดูเท่านั้น นางนึกถึงเรื่องที่ตนเองพบเจอในวันนี้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่นางไม่เคยมีมาก่อนในหลายสิบปีนี้…ดูองค์หญิงที่มัดเสื้อกระโปรงจับหัวไหล่ของหญิงสาวที่อายุใกล้เคียงกัน ส่งเสียงตะโกนออกมา แต่หญิงสาวคนนั้นบิดไหล่ออก ดิ้นหลุดออกมา ทำให้องค์หญิงจินเหยาเซไปด้านหน้า…

หลิวเวยอดที่จะร้องเสียงหลงออกมาไม่ได้ นางใช้มือปิดปากเอาไว้

จื่อเย่ว์ราวกับมีความตกตะลึงเล็กน้อย ก้าวที่หมุนออกไปในเดิมทีเดินขึ้นหน้าไปอีกครั้ง บังเอาไว้ด้านหน้าขององค์หญิงจินเหยา นางเอื้อมมือไปจับไหล่ของอีกฝ่าย ป้องกันองค์หญิงล้มลงกับพื้น

องค์หญิงจินเหยาใช้แรงกอดเข้าที่เอวของจื่อเย่ว์อย่างกะทันหัน ก่อนจะตะโกนเสียงดังพาจื่อเย่ว์ล้มลงกับพื้น

“ดี!” อาเถียนตะโกนออกมา

มีนางในคนหนึ่งตะโกนตาม นาทีถัดมานางรีบปิดปากด้วยสีหน้าเก้อเขิน นางในอายุมากสองคนถลึงตาใส่นาง แต่ก็โล่งอก ถึงแม้จะดีใจในความเฉลียวขององค์หญิง แต่เมื่อเห็นหญิงสาวสองคนกลิ้งอยู่บนพื้นเช่นนี้ ไม่งามอย่างมาก!

“คุณชายโจว” นางในคนหนึ่งเดินมาอยู่ตรงหน้าของโจวเสวียน “เล่นสนุกก็พอแล้ว อย่าได้ทำให้เป็นเรื่องเลยเจ้าค่ะ พอเถิดเจ้าค่ะ”

โจวเสวียนมองดูคนที่กลิ้งอยู่บนพื้นทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงจินเหยาทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการคิดจะควบคุมจื่อเย่ว์โดยไม่สนใจวิธีการใด ถึงแม้จื่อเย่ว์จะถูกรัดไว้ แต่ร่างกายของนางคล่องแคล่ว พลิกตัวขึ้นมากดทับองค์หญิงจินเหยาเอาไว้บนพื้น

“ทำตามกติกา” เขาพูด ก่อนจะปลอบนางในทั้งสอง “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าดูอยู่ ผู้ใดไม่อาจตอบโต้ได้ภายในสิบลมหายใจ ผู้นั้นแพ้ไป ข้าจะเรียกหยุดเอง”

เช่นนี้หรือ เช่นนี้ถือว่าจัดการแล้วหรือ เหล่านางในยิ้มขมขื่นอย่างระอา

เมื่อเห็นองค์หญิงจินเหยาถูกกดอยู่บนพื้นจนไม่อาจขยับตัวได้ โจวเสวียนจึงตะโกนอยู่ด้านข้าง “จื่อเย่ว์ ข้าจะนับสิบ หากองค์หญิงลุกขึ้นไม่ได้ เจ้าชนะ”

เขายกมือขึ้นหนึ่งข้าง นับ “หนึ่ง”

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ดวงตาของจื่อเย่ว์เป็นประกาย มือของนางออกแรงมากขึ้น องค์หญิงจินเหยาที่เดิมทีดิ้นจนไหล่ทั้งสองข้างยกขึ้นจากพื้นถูกผลักให้ล้มลงอีกครั้ง

อาเถียนและนางใน รวมไปถึงหลิวเวยต่างกังวลขึ้นมา พวกนางอดตะโกนออกมาไม่ได้ “องค์หญิง องค์หญิง องค์หญิงรีบลุกขึ้นมา รีบลุกขึ้น”

องค์หญิงจินเหยาได้ยินคำพูดของโจวเสวียน เสียงนับเลขดังขึ้นอย่างชัดเจนข้างหู นางยิ่งดิ้นอย่างสุดแรง แขนขาสะบัด จื่อเย่ว์ไม่สนใจว่าบนตัวจะถูกกระทบกี่ครั้ง นางยังคงกดไหล่ของอีกฝ่ายอย่างไม่ขยับ…องค์หญิงจินเหยาสีหน้าแดงก่ำ ผมเผ้ากระจาย ภายในดวงตาเริ่มเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา…จะร้องไห้แล้ว

เมื่อจื่อเย่ว์เห็นดังนี้ สีหน้าของนางเปลี่ยนไป แรงบนมือชะงักไป เพียงแค่เสี้ยวเวลานี้ ทำให้องค์หญิง

จินเหยามีโอกาส นางใช้เข่ากระแทกจื่อเย่ว์ออกไป จนจื่อเย่ว์ล้มลงไปด้านหลัง องค์หญิงจินเหยาพลิกตัวขึ้นมา พุ่งชนไปทางจื่อเย่ว์ราววัวตัวน้อย

“องค์หญิง องค์หญิง” นางในสองคนที่เดิมทีจะเดินเข้ามาประคองไม่กล้าเดินเข้าใกล้ ทำได้เพียงตะโกน “องค์หญิง ชนะแล้ว ชนะแล้วเพคะ พอได้แล้วเพคะ”

อาเถียนและนางในอีกสองคนวิ่งเข้ามา “องค์หญิง เร็วเข้า กดนางเอาไว้”

“องค์หญิงกอดเอว กอดเอวนางเอาไว้เพคะ”

คนกลุ่มหนึ่งล้อมรอบตะโกน หญิงสาวสองคนบนพื้นกำลังดึงทึ้งกัน เหล่าฮูหยินตระกูลฉางและคนอื่นที่รีบวิ่งมาหลังจากได้ข่าวเข่าอ่อนระทวย เหล่าคุณหนูยิ่งส่งเสียงร้องด้วยความตกใจออกมา เหล่าคุณชาย…ถูกสาวรับใช้ตระกูลฉางขวางกั้นขับไล่ไปบริเวณอื่น

เหตุการณ์เช่นนี้ชายหนุ่มเห็นไม่ได้

“เกิดเรื่องใดขึ้น” เหล่าฮูหยินตระกูลฉางหอบหายใจ “เหตุใดจึงลงมือกันขึ้นมา”

สายตาของนางและคนอื่นล้วนมองไปยังเฉินตันจู…หากคนที่ลงมือเป็นเฉินตันจูคงจะไม่มีสิ่งใดน่าแปลกใจ

แต่องค์หญิง!

“ถอยไป” โจวเสวียนตะโกนบอกพวกนาง

ถึงแม้จะเป็นหญิงสาว แต่เหตุการณ์เช่นนี้ขององค์หญิงก็ไม่อาจให้คนมุงดูได้ นางในสองคนรีบเดินขึ้นหน้าขวางเอาไว้ “เชิญฮูหยินและเหล่าคุณหนูไปที่อื่น”

ฮูหยินและเหล่าคุณหนูถูกขวางเอาไว้ โจวเสวียนเดินไปข้างตัวขององค์หญิงจินเหยาและจื่อเย่ว์ ทั้งสองคนล้วนล้มลงกับพื้น ทั้งสองต่างใช้แขนขากดอีกฝ่ายเอาไว้

“พอแล้ว” โจวเสวียนประกาศ “เสมอ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ จื่อเย่ว์รีบปล่อยแขนขาออก องค์หญิงจินเหยาก็ปล่อยออก นางในสองคนเดินมาพยุงนางลุกขึ้น จื่อเย่ว์ลุกขึ้นด้วยตนเองอย่างช้าๆ อยู่ด้านข้าง

“เสมออันใดกัน” อาเถียนพูดอย่างไม่พอใจ “ทั้งๆ ที่องค์หญิงชนะ ข้าเห็นว่าองค์หญิงกดแขนของนางได้มากกว่า”

องค์หญิงจินเหยาใจกว้างอย่างมาก เสียงของนางสั่นเทา “ฟังอาเสวียน อาเสวียนรู้ดีที่สุด เสมอก็เสมอ” นางหันไปมองจื่อเย่ว์ “ฝีมือเจ้าไม่เลวจริงๆ”

จื่อเย่ว์หลุบตาต่ำคารวะ “องค์หญิงออมมือเพคะ”

องค์หญิงจินเหยาหอบหายใจมองไปรอบด้าน ถึงแม้จะเหนื่อย บนตัวจะปวด แต่นางรู้สึกสนุกอย่างไม่เคยมีมาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทางนี้ เหล่าฮูหยินตระกูลฉางที่ถูกขวางไว้อยู่ในระยะไกลร้อนใจอย่างมาก นางดึงมือของนางในอย่างไม่สนใจกิริยา “เรื่องอันใดกัน เหตุใดจึงลงมือกัน ผู้ใดละเมิดองค์หญิงหรือ อย่าให้องค์หญิงลงมือ พวกข้าเอง”

นางในก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร ทำได้เพียงบอกว่าไม่มีอันใดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกท่านไม่ต้องสนใจ อย่ากังวล ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

เหล่าฮูหยินตระกูลฉางคิดภายในใจ นางย่อมไม่อยากสนใจ แต่ผู้ใดอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นในจวนของตนเองกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมจากไป ยืนมองจากตรงนี้สามารถมองเห็นเงาขององค์หญิงจินเหยา เฉินตันจูและสาวรับใช้ แต่ไม่ได้ยินว่าพวกนางพูดอะไร ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเพียงบางครั้ง…อ่อ ยังมีหลิวเวย

เหล่าฮูหยินตระกูลฉางชะงักเล็กน้อย หลิวเวยของนางยังอยู่ตรงนั้น นางแทบอยากจะเรียกอีกฝ่ายมาถามว่าเกิดอันใดขึ้น

ถึงแม้หลิวเวยจะตกใจ แต่ยังสามารถรับมือได้ นางเรียกให้เหล่าสาวรับใช้นำผ้าและน้ำมา สาวรับใช้รู้สึกว่าไม่ใช่แค่ต้องเช็ดหน้า สภาพขององค์หญิงจินเหยานี้ ต้องแต่งตัวใหม่ทั้งหมด เข้าห้องไปโดยเร็วเสียดีกว่า

องค์หญิงจินเหยาผ่อนลมหายใจ ยกมือขึ้นห้าม “ไม่ต้องแต่งตัว ยังไม่จบ” นางหันไปมองเฉินตันจูที่อยู่ด้านข้าง “ถึงคราวของเจ้าแล้ว”

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท