บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 145 วิธี

ตอนที่ 145 วิธี

โจวเสวียนพูดเช่นนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทั้งภายในและภายนอกศาลาต่างผงะไป

สาวรับใช้จื่อเย่ว์เงยหน้าขึ้นมองเฉินตันจู ถึงแม้สีหน้าจะเรียบเฉย แต่ดวงตาของนางแสดงออกถึงความโหดเหี้ยม

ถึงแม้จะโหดเหี้ยมก็ไม่กลัว อาเถียนยืนกำมือแน่นอยู่นอกศาลา คุณหนูของพวกเราร้องไห้เป็น ร้องไห้ขึ้นมาก็โหดเหี้ยมเหมือนกัน…นางมองไปยังเฉินตันจู เตรียมตัวให้ดี แค่เพียงคุณหนูร้องไห้ นางจะเข้าไปประคองแล้วร้องไห้ด้วยกัน

แต่เฉินตันจูไม่ได้มองจื่อเย่ว์ หากแต่มองไปยังโจวเสวียน อีกทั้งไม่ได้ร้องไห้ เพียงแต่พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ได้”

องค์หญิงจินเหยาลุกขึ้นยืน “ได้อะไรกัน เฉินตันจูเจ้านั่งลง” นางเดินออกมาอย่างรีบร้อน ยืนอยู่ต่อหน้าของโจวเสวียน พูดเสียงเบา “เจ้าเหลวไหลอันใด เฉินเลี่ยหู่คือเฉินเลี่ยหู่ ไม่เคารพต่อราชสำนักเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเฉินตันจู อีกอย่างเรื่องที่เฉินตันจูทำถือว่าไถ่โทษแทนบิดาของนางแล้ว เจ้าจะหาเรื่องหญิงสาวอ่อนแอไปเพื่อสิ่งใด”

“หญิงสาวอ่อนแออะไรกัน” โจวเสวียนพูดเสียงเบาเช่นกัน เขาพูดกับองค์หญิงจินเหยาด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าอย่าถูกคำพูดของนางหลอก ข้าเห็นกับตาว่านางท้าทายคุณหนูตระกูลเกิ่งอย่างไร นางทำให้เหล่าคุณหนูตกลงไปในกลอุบายของนาง จากนั้นนางจึงลงมือ สุดท้ายเข้าราชสำนักตามที่ปรารถนา ใช้คำพูดหลอกลวงฝ่าบาท” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็ยิ้ม “ไม่อาจพูดว่าหลอกลวงได้ หากแต่พูดจนฝ่าบาทไม่มีวิธีอื่น เพราะฝ่าบาทเป็นจักรพรรดิผู้เที่ยงธรรม”

แม้แต่เสด็จพ่อก็กล้าตำหนิ องค์หญิงจินเหยาถลึงตามองเขา

“จินเหยา” โจวเสวียนถลึงตาเช่นเดียวกัน น้ำเสียงของเขาเศร้าโศก “พวกเราทั้งสองไม่ได้พบกันนาน เจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้าแล้วหรือ”

ตอนเด็กทุกคนเรียนหนังสืออยู่ในพระราชวัง มักจะเล่นด้วยกันเป็นประจำ ต่อมาโจวชิงตายไป

โจวเสวียนเข้าร่วมกองทัพออกจากพระราชวังไป พวกเขาไม่ได้พบกันสองสามปี เมื่อนึกถึงตรงนี้ สีหน้าขององค์หญิงจินเหยาก็อ่อนลง “ข้าไม่ได้ไม่เชื่อเจ้า แต่เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้”

โจวเสวียนหลุบตาลง “เหตุใดจึงไม่ได้ เพียงแค่ประลองฝีมือเท่านั้น แม้แต่ตบตีนางยังกล้า เหตุใดจึงไม่กล้าประลองอย่างจริงจัง”

องค์หญิงจินเหยารู้นิสัยของโจวเสวียน แม้แต่คำพูดของเสด็จพ่อเขายังกล้าไม่ฟัง ครานี้เขาเดินทางมาอย่างมีเป้าหมาย เฮ้อ ถึงแม้เสด็จแม่จะส่งขันทีมาเล่าเรื่องต่างๆ ให้นางฟัง อีกทั้งเตือนให้นางจับตาดูโจวเสวียนเอาไว้ แต่เสด็จแม่ย่อมรู้ดีว่านางไม่อาจห้ามโจวเสวียนได้…

เสด็จแม่ต้องการสั่งสอนเฉินตันจู

เดิมทีองค์หญิงจินเหยาไม่ได้ใส่ใจนัก อีกทั้งคิดว่าไม่เป็นอันใด แต่เวลานี้นางอยู่กับเฉินตันจูมาเป็นเวลาครึ่งวัน…

นางหันกลับไปมองศาลา เฉินตันจูนั่งลงตามคำสั่งของนาง ดวงตาจ้องมองนางอย่างสงบและเชื่อฟัง

“โจวเสวียน” องค์หญิงจินเหยาหันไปมองโจวเสวียน “มีความจำเป็นนี้หรือ”

โจวเสวียนส่งเสียง “ข้าคิดว่ามี”

องค์หญิงจินเหยามองเขาอย่างระอา สายตามองไปยังหญิงสาวที่นามว่าจื่อเย่ว์นี้ ถาม “ฝีมือของเจ้าดีมาก?”

จื่อเย่ว์ก้มหัวคารวะ “แม่ทัพโจวชื่นชมเกินไปเพคะ จื่อเย่ว์เป็นแค่ขี่ม้ายิงธนู ไม่บังอาจพูดว่าฝีมือดี

เพคะ”

องค์หญิงจินเหยามองนาง ก่อนจะมองเฉินตันจูภายในศาลา ทันใดนั้นนางตัดสินใจได้ “ข้าก็ขี่ม้ายิงธนูได้ เช่นนี้ พวกเจ้าทั้งสองคนประลองกับข้า ผู้ใดชนะข้า ผู้นั้นฝีมือดีที่สุด”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา ทุกคนต่างตื่นตระหนก เหล่านางในไม่อาจทนดูได้โดยไม่สนใจ พวกนางต่างยืนขึ้นมา “ไม่ได้เพคะองค์หญิง”

หลิวเวยก็คิดจะยืนขึ้นมา แต่เมื่อเห็นเฉินตันจูยังนั่งอยู่ นางจึงรีบยื่นมือผลักอีกฝ่ายเบาๆ …ตกใจกลัวหรือ

เฉินตันจูหันมายิ้มให้นาง

โจวเสวียนที่อยู่ด้านนอกศาลาไม่ได้เอ่ยห้าม หากแต่ยิ้มขึ้นมา มองดูเฉินตันจูที่ยังคงนั่งอยู่ในศาลา “องค์หญิงรักใคร่เฉินตันจูนี้อย่างจริงใจเสียจริง” เขาเอื้อมมือกุมหน้าอกด้วยสีหน้าเศร้าโศก “แม้แต่ข้าก็เทียบไม่ได้แล้ว”

องค์หญิงจินเหยายื่นมือผลักเขาด้วยความขุ่นเคือง “ไม่ใช่เพราะเจ้าเหลวไหลหรือ”

โจวเสวียนถอยหลังพลางหัวเราะ ก่อนจะเหลือบมองศาลาอีกครั้ง หญิงสาวนั้นยังคงอยู่ที่เดิม ถึงแม้จะได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่ได้ร้องไห้วิ่งออกมาตะโกนเสียงดัง “องค์หญิงอย่าเพคะ หม่อมฉันจะประลองกับนางเอง” เพื่อตอบแทนการปกป้องขององค์หญิง ไม่ทำให้องค์หญิงลำบากใจ

ในเมื่อเกาะขาขององค์หญิงเอาไว้แล้ว จึงใช้องค์หญิงบังหน้าได้อย่างสบายใจจริงๆ ?

เฉินตันจูนี้เหมือนดั่งคำร่ำลือ ไร้ยางอาย

“องค์หญิงอย่าได้เหลวไหลเลย” โจวเสวียนพูดอย่างระอา “เจ้าเป็นองค์หญิง จะประลองกับผู้อื่นได้อย่างไร”

จริงด้วย นางเป็นองค์หญิง ไม่เคยประลองกับผู้อื่นมาก่อน…เดิมทีองค์หญิงจินเหยาจะพูดประโยคนี้ออกมา แต่เมื่อครุ่นคิดอีกครั้ง นางก็รู้สึกว่าวิธีนี้ดีอย่างมาก

ดวงตาของนางเป็นประกาย ไม่สนใจโจวเสวียน หากแต่มองไปยังสาวรับใช้จื่อเย่ว์ “เจ้า กล้าหรือไม่”

สาวรับใช้จื่อเย่ว์มององค์หญิงจินเหยาด้วยสีหน้าตกตะลึง…

“องค์หญิง ข้ากล้า” ส่วนเฉินตันจูตอบขึ้นมา

ในที่สุดนางลุกขึ้นยืนภายในศาลา หลิวเวยที่อยู่ด้านข้างตกใจจนเกือบล้มลง อันใดกัน เหตุใดจึงกล้าขึ้นมา

องค์หญิงจินเหยาได้ยินจึงหัวเราะออกมา นางหันมากวักมือเรียก เฉินตันจูจึงเดินออกจากศาลามายืนอยู่ด้านข้างองค์หญิง นางมองจื่อเย่ว์ด้วยท่าทางท้าทาย “เจ้ากล้าหรือไม่ เจ้าคงไม่ได้ไม่กล้ากระมัง”

เวลานี้ยังกล้ามาถามนาง? จื่อเย่ว์มองเฉินตันจูด้วยสายตาโกรธเคือง ความสงบบนใบหน้าสลายหายไป

เหตุใดจึงกลายเป็นนางกล้าประลองกับองค์หญิงหรือไม่ เฉินตันจูนี้ไม่กล้าประลองกับตนเอง เวลานี้อาศัยมีองค์หญิงคุ้มกัน จึงมาข่มเหงนาง?

นางประลองกับองค์หญิง นางจะกล้าทำร้ายองค์หญิงหรือ หากทำร้ายองค์หญิงนางต้องได้รับโทษ หากไม่ประลองขอยอมแพ้จะเป็นการยอมรับว่าตนเองสู้เฉินตันจูไม่ได้

เฉินตันจูรังแกคนเช่นนี้หรือ?

ใช่ คุณหนูตันจูรังแกคนเก่งมาก จู๋หลินที่ซ่อนตัวเฝ้าดูอยู่ไม่ไกลโล่งใจ เขามองไปยังโจวเสวียน ก่อนจะกระชับมือเฝ้าระวังมากขึ้น…หากโจวเสวียนจะตีคุณหนูตันจู อืม ย่อมเปรียบดั่งตีแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เขาต้องปกป้องสุดชีวิต อีกทั้งยังต้องเอาคืน

เรื่องนี้ไม่อาจเหลวไหลต่อไปได้อีกแล้ว ชุนเหมียวและสาวรับใช้คนอื่นต่างคิดในใจ หรือว่าจะประลองกับองค์หญิงจริงๆ โจวเสวียนคงทำได้เพียงพูดยกเลิก ทุกคนแยกย้าย…

เฉินตันจูก็สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้…

ดูจากเวลานี้ องค์หญิงไม่เพียงแต่ไม่สั่งสอนนาง อีกทั้งยังปกป้องนาง

น่าเหลือเชื่อเสียจริง…เหตุใดกัน ชุนเหมียวครุ่นคิดมองดูหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างองค์หญิง ใบหน้างดงามในเวลานี้กำลังยิ้มอย่างได้ใจ สง่างามน่าดึงดูด

มือข้างลำตัวของจื่อเย่ว์กำแน่นจนเสียงดัง แต่นางยังคงไม่เปิดปาก อีกทั้งไม่อาจเปิดปากได้ แม้แต่หันไปมองโจวเสวียนก็ยังทำไม่ได้…ในฐานะสาวรับใช้ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านาย ไม่อาจขอร้องหรือถามต่อเจ้านายของตนเองได้

โจวเสวียนเม้มปาก ก่อนจะพูด “ได้ จื่อเย่ว์ เจ้าไปประลองกับองค์หญิง”

ชุนเหมียวและสาวรับใช้คนอื่นเกือบจะเป็นลมล้มลงไป เกิดอันใดขึ้น!

เหล่านางในล้อมเข้ามาอีกครั้ง พวกนางต่างห้ามปรามองค์หญิงจินเหยา ก่อนจะหันไปห้ามปราม

โจวเสวียน หลิวเวยเองก็ตั้งสติได้จากการตกตะลึง นางรีบวิ่งเข้ามาจับเฉินตันจู

“เจ้ารีบห้ามองค์หญิงเร็วเข้า” นางเขย่าแขนของเฉินตันจู พูดด้วยความร้อนใจ

เฉินตันจูถลกแขนเสื้อขึ้น “เหตุใดต้องห้ามองค์หญิง องค์หญิงต้องการประลอง”

หลิวเวยกระทืบเท้า “องค์หญิงทำเพื่อเจ้า”

เฉินตันจูทำหน้าเคร่งขรึม “เพราะว่าองค์หญิงทำเพื่อข้า ข้ายิ่งไม่อาจทำลายความสนุกขององค์หญิงได้”

นางเรียกขานอาเถียน อาเถียนตอบรับเดินขึ้นหน้า เฉินตันจูเบียดนางในคนหนึ่งออกไป ลากอาเถียนเดินเข้าใกล้

“องค์หญิง ท่านประลองกับผู้อื่นเป็นครั้งแรกใช่หรือไม่” เฉินตันจูถาม

แน่นอนสิ นางในด้านข้างถลึงตา เจ้าคิดว่าองค์หญิงเป็นคนอย่างไรกัน

องค์หญิงจินเหยาพยักหน้า “ใช่ ครั้งแรก”

เฉินตันจูผลักอาเถียนเข้ามา พูดกับองค์หญิงเสียงเบา “ตบตี ไม่ใช่ การประลองกับผู้อื่นต้องมีกลอุบาย สาวรับใช้ของหม่อมฉันคนนี้เพิ่งเรียนมา ให้นางบอกวิธีกับท่าน” พูดพลางกำหมัดต่อองค์หญิง “ลับหอกก่อนสงคราม แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์!”

องค์หญิงจินเหยาหัวเราะออกมา นางในมองดูด้วยความตกตะลึง

ชุนเหมียวตกใจแล้ว นางพูดกับเหล่าสาวรับใช้ด้วยสีหน้าซีดเผือด “รีบไปรายงานเหล่าฮูหยินและนายท่านใหญ่”

จบสิ้นแล้ว งานเลี้ยงล่องเรือของตระกูลฉาง จะกลายเป็นงานเลี้ยงแห่งการประลองแล้ว

เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ เพราะว่ามีเฉินตันจูที่ชอบการประลอง ดังนั้นแม้แต่องค์หญิงก็ถูกสะกดจิตให้ประลองหรือ

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท