ครั้งนี้เฝิงจือตกใจแล้ว นางรีบคุกเข่าลง ในใจแอบด่าตนเองที่ละเมิดธรรมเนียม
ระยะนี้นางเห็นเหนียงจื่อดีกับพวกนางมาก ก็เลยลืมตัวไปคิดเองเสร็จสรรพ
“เหนียงจื่อ ข้าผิดไปแล้ว”
ลู่เจียวมองเฝิงจือ กล่าวเตือนว่า “นี่คือครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเตือนเจ้า จำไว้ข้าคือเจ้านายเจ้า ไม่ว่าข้าสั่งการตอนไหน เจ้าก็ต้องทำตามคำสั่ง อย่าได้คิดฝืนคำสั่งข้าโดยพลการ ยิ่งไม่อาจเอาความคิดที่ว่าหวังดีกับข้ามาคิดการแทนข้า หากทำผิดอีกครั้ง ข้าก็จะส่งเจ้าไปจากที่นี่”
เฝิงจือสีหน้าซีดเผือด รู้ว่าตนเองทำเหนียงจื่อโมโหแล้ว ขอบตาแดงอย่างไม่อาจระงับ
ลู่เจียวไม่ได้ปลอบใจนาง นางตัดสินใจแล้วว่าวันหน้าต้องเข้มงวดกับสาวใช้ ไร้ธรรมเนียมไม่อาจสงบสุขได้ แม้ว่านางไม่ค่อยพิถีพิถันเรื่องพวกนี้ แต่หากไม่เข้มงวด คนพวกนี้ก็จะลืมตัว
ลู่เจียวแอบตัดสินว่าจะต้องเข้มงวดแล้ว นางค่อยๆ กล่าวว่า “ครั้งนี้ให้อภัยเจ้า ครั้งหน้าผิดอีก ข้าย่อมไม่ให้อภัยเจ้าง่ายๆ อย่างเด็ดขาด”
เฝิงจือรีบรับคำ “เจ้าค่ะ เหนียงจื่อ”
นางกล่าวจบก็ลุกขึ้น รีบหันหลังออกไปบอกให้หลินต้านำรถม้าออก
ลู่เจียวหันไปเห็นหร่วนจู๋ที่มองนางอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ลู่เจียวหัวเราะขำกล่าวว่า “ข้าทำเจ้าตกใจแล้ว?”
หร่วนจู๋รีบส่ายหน้า ก็ไม่ถึงกับตกใจ แค่นางคิดมาตลอดว่าเหนียงจื่อมีนิสัยอ่อนโยน คิดไม่ถึงว่านางเข้มงวดขึ้นมาก็น่าตกใจเช่นนี้ ดูท่านางคิดผิดไปแล้ว
ลู่เจียวมองหร่วนจู๋กล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ข้าไม่ชอบคนละเมิดคำสั่งข้า ดังนั้นวันหน้าเจ้าต้องฟังคำสั่งข้า อย่าได้คิดแทนข้า”
หร่วนจู๋รีบผงกศีรษะหงึกๆ “อืม อืม ข้ารู้ ข้าต้องฟังคำสั่งเหนียงจื่ออย่างแน่นอน ไม่มีทางละเมิดคำสั่งเหนียงจื่อ”
ลู่เจียวพอใจท่าทีของสาวน้อยมาก พานางเดินไปเรือนด้านหน้า
……
พอลู่เจียวก้าวออกจากบ้านตระกูลเซี่ย ลู่กุ้ยก็วิ่งไปตามเซี่ยอวิ๋นจิ่นในห้อง รายงานเรื่องที่นางพาเฝิงจือกับหร่วนจู๋ไปตระกูลสวี่ให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ ไม่ใช่ลู่กุ้ยขี้ฟ้อง แต่เพราะเขาเป็นห่วงพี่สาวตนเอง
การที่พี่สาวเขาพาสองสาวไปตระกูลสวี่นั้นเป็นเรื่องอันตรายมาก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเดิมกำลังชี้แนะทบทวนให้นักเรียนในสำนักศึกษาประจำอำเภออยู่ในห้อง อีกไม่กี่วันก็จะสอบย่วนซื่อแล้ว ดังนั้นสองสามวันนี้แม้ว่าเขาบาดเจ็บนอนพักอยู่บนเตียง แต่ก็ไม่ได้พักเรื่องชี้แนะทบทวนให้นักเรียน พวกนักเรียนทุกวันพบเจอปัญหายากอะไรก็จะมาขอคำชี้แนะจากเขา
“อะไรนะ เจ้าว่าพี่สาวเจ้าพาคนไปตระกูลสวี่แล้ว?”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่กุ้ยด้วยสีหน้าดุดัน ลู่กุ้ยรีบพยักหน้า “ใช่ ข้าห้ามนางไม่อยู่”
พี่สาวเขายังเตือนเขาว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับเซี่ยอวิ๋นจิ่น นางจะรีบกลับมา
แต่เขาไม่กล้า หากเกิดเรื่องกับพี่สาวเขา พี่เขยได้เอาเขาตายไหม ดังนั้นเขาก็บอกเรื่องพี่สาวเขากับพี่เขยแล้วกัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงหันไปมองนักเรียนกล่าวว่า “วันนี้ก็ทบทวนถึงตรงนี้ ตอนบ่ายพวกเจ้าค่อยมา”
นักเรียนรีบลุกขึ้นคารวะนอบน้อมออกไป
ระยะนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นให้คำชี้แนะพวกเขาด้วยความทุ่มเทอย่างมาก พวกเขารู้สึกซาบซึ้งใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นมาก และหลังจากได้เรียนกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นมา แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาก้าวกระโดด แต่ก็นับได้ว่าก้าวหน้าไม่น้อย หากไม่เหนือความคาดหมาย การสอบย่วนซื่อครั้งนี้ ในบรรดาพวกเขาต้องมีคนสอบได้ซิ่วไฉกันไม่น้อย
นักเรียนพากันอำลาเซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับไปอย่างรวดเร็ว เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงลุกขึ้นรวดเร็วเช่นกัน
ครั้งก่อนหลินตงยังต้องประคองเขาลุก ลู่กุ้ยรีบหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “พี่เขย พี่ทำอะไรเนี่ย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกัดฟันกล่าวว่า “ข้าไม่วางใจพี่สาวเจ้า จะไปรับนาง”
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นเอ่ย ลู่กุ้ยก็ว้าวุ่นใจ ทำหน้าปั้นยากกล่าวว่า “พี่เขย พี่อย่าไปเลย ก่อนหน้านี้ตอนพี่เจียวไป กำชับไม่ให้ข้าบอกพี่เขย ตอนนี้ถ้าพี่ไปล่ะก็ นางกลับมาต้องจัดการข้าแน่เลย”
พ่อบ้านใหญ่บ้านพี่สาวตนเองนี่เป็นยากแท้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นถลึงตาใส่ลู่กุ้ยอย่างไม่สบอารมณ์ กล่าวว่า “ยามนี้แล้ว เจ้าไม่เป็นห่วงพี่สาวเจ้า เป็นห่วงแต่นางจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า”
ลู่กุ้ยกินปูนร้อนท้อง ใช่ ยามนี้เขาควรเป็นห่วงความปลอดภัยพี่สาวเขา
“งั้นข้าให้ท่านอาโจวเตรียมรถม้าไปรอที่หน้าประตู”
ลู่กุ้ยเช้ามาก็พาคนนั่งรถม้าไปซื้อรถม้ากลับมาคันหนึ่ง ยามนี้ได้ใช้พอดี
เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังกำชับเขาว่า “เรียกหลี่หนานเทียนให้ตามข้าไปตระกูลสวี่ด้วย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นตั้งใจว่าจะพาทั้งหร่วนไค หลี่หนานเทียนกัและโจวเส้ากงไปหมด
ประการแรก ป้องกันคนบงการอยู่เบื้องหลังแอบทำร้ายพวกเขา
ประการที่สอง เขาคิดลองดูฝีมือคนพวกนี้ ดูว่าฝีมือพวกเขาเป็นอย่างไร
ลู่กุ้ยรีบรับคำ เซี่ยอวิ๋นจิ่นเก็บของรวดเร็ว พาหลินซีกับหร่วนไคตรงไปหน้าประตู
ที่หน้าประตู หลี่หนานเทียนรออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็รีบเรียกอย่างนอบน้อม “คุณชาย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะก้าวขึ้นรถม้า หลินตงกับหร่วนไคก้าวตามเขาขึ้นรถม้า โจวเส้ากงขับรถม้า หลี่หนานเทียนนั่งข้างเขา รถม้าตรงไปยังตระกูลสวี่
ลู่เจียวพาเฝิงจือกับหร่วนจู๋สองคนไปตระกูลสวี่ ไม่ได้เจอคนดักลอบทำร้ายระหว่างทาง รถม้าแล่นตรงมาไร้อุปสรรคจนถึงหน้าประตูใหญ่ตระกูลสวี่
เฝิงจือเคาะประตูจวนตระกูลสวี่ ก็มีคนไปรายงานสวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อ
สองสามวันนี้สวี่เซี่ยนเว่ยร้อนใจมาก ประการแรก โมโหที่การผ่าตัดตัวเองยังไม่ทันได้ทำ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็บาดเจ็บ ลู่เจียวไม่อาจจัดการเรื่องผ่าตัดให้เขาได้ ประการที่สอง คนที่แพร่งพรายความลับเป็นไปได้อย่างมากว่าเป็นคนในบ้านเขา หากเป็นคนในบ้านเขาจริง ลู่เจียวจะโมโหไม่ผ่าตัดให้เขาไหม
สวี่เซี่ยนเว่ยยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดจนไม่อยากไปไหน อยู่แต่ในจวนสอบสวนว่าแท้จริงผู้ใดในจวนแพร่งพรายเรื่องเซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นที่ปรึกษาหลังม่านของนายอำเภอหูออกไป
ความจริงสวี่เซี่ยนเว่ยแอบกินปูนร้อนท้อง เพราะวันนั้นที่เขากับจางเหนียงจื่อกลับมาจากตระกูลเซี่ย ทั้งสองคุยเรื่องเซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นที่ปรึกษาหลังม่านของนายอำเภอหู พวกเขายังว่าครั้งนี้เกรงว่ารองนายอำเภอหยางกับเผิงจู่ปู้คงประสบโชคร้ายแล้ว
บางทีตอนนั้นอาจมีคนแอบได้ยินเข้า จากนั้นก็นำเรื่องนี้ไปบอกรองนายอำเภอหยางหรือเผิงจู่ปู้
ทั้งสองคนย่อมนำเรื่องนี้ไปบอกคนตระกูลใหญ่ทั้งสี่ คนพวกนั้นรู้เรื่องนี้จะปล่อยเซี่ยซิ่วไฉไปได้อย่างไร ดังนั้นเซี่ยซิ่วไฉถูกลอบสังหารบาดเจ็บ ล้วนเป็นเพราะพวกเขา
สวี่เซี่ยนเว่ยคิดแล้วก็ยิ่งอารมณ์เสีย
เขาอยากสอบสวนหาตัวคนที่แพร่งพรายความลับนี้ออกไปให้ได้ เพื่อให้คำตอบตระกูลเซี่ย แต่เขาสอบไปสอบมา สอบได้สองสามวันแล้วก็ยังสอบไม่เจอว่าคนรับใช้คนไหนผิดปกติ วันนั้นตอนเขาคุยกับจางเหนียงจื่ออยู่ในเรือนบุปผาพวกเขา คนรับใช้พวกเขายืนอยู่ด้านนอก ไม่ได้เข้ามา
ณ เรือนบุปผาในเรือนด้านหลัง จางเหนียงจื่อเห็นสวี่เซี่ยนเว่ยกลุ้มใจก็รีบปลอบเขาว่า “เอาเถิด ไม่แน่อาจไม่ใช่คนบ้านเราแพร่งพรายออกไป ดังนั้นท่านก็อย่าได้หาเรื่องหงุดหงิดใจไปเอง”
สวี่เซี่ยนเว่ยเงยหน้ามองจางเหนียงจื่อ กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าเป็นไปได้มากว่าคนบ้านเราแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป เจ้าคิดดูวันนั้นที่พวกเราคุยกันเรื่องนี้ หากไม่ได้คุยกันก็แล้วไป แต่คุยกันไปแล้วย่อมต้องมีคนได้ยิน จากนั้นก็แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ตอนนี้ข้าคิดตรวจสอบให้กระจ่างว่าแท้จริงผู้ใดที่แพร่งพรายเรื่องที่ข้าพูดออกไป หากหาตัวเจอ ดูซิว่าข้าจะเอาตายไหม”