เมื่อได้ยินว่าสวีลิ่งอี๋กลับมาแล้ว สืออีเหนียงกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็รีบไปต้อนรับ หลังจากคำนับเสร็จก็พาเขาไปคารวะไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินไม่ทันรอให้เขายืนตัวตรง ก็รีบพูดอย่างร้อนรนว่า “เหตุใดจึงได้กลับมาช้าเช่นนี้” แล้วชี้ไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามเพื่อให้เขานั่งลง
“ฝ่าบาททรงให้ข้าอยู่พูดคุยต่อ พอดีขุนนางฝ่ายในพึ่งกลับมาจากเตรียมพิธีบวงสรวงแรกขององค์ชายห้า จึงนั่งอยู่ต่ออีกหน่อย”
พิธีศพขององค์ชายห้าได้ทำการหารือในราชสำนักมาสามวัน ทำการไว้อาลัยห้าวัน แล้ววันที่สิบเอ็ดเป็นพิธีบวงสรวงแรก
ไท่ฮูหยินรีบถามขึ้นมาทันที “ฝ่าบาทตรัสว่าอย่างไรบ้าง”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มเจื่อนๆ “กระดาษทองหนึ่งหมื่นแผ่น กระดาษเงินหนึ่งหมื่นแผ่น โต๊ะอีกสามสิบเอ็ดโต๊ะ แกะสิบเก้าตัว สุราเก้าจอก ยศที่อยู่ต่ำกว่าเชื้อพระวงศ์ลงไป ตำแหน่งตั้งแต่เครือญาติของแม่ทัพขึ้นไป ข้าราชการขุนนางระดับสี่ขึ้นไป และบรรดาฮูหยินจะมารวมตัวกันที่ปะรำพิธีเพื่อสวดมนต์ ดื่มสุราและคารวะ”
ทุกคนต่างก็ตกใจ
“กระดาษเงินกระดาษทองอย่างละหนึ่งหมื่นแผ่น โต๊ะอีกสามสิบเอ็ดโต๊ะ” ฮูหยินสองพึมพำ “ดูมากเกินไปหรือไม่…”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ไม่เพียงแต่ข้า แม้แต่ขุนนางฝ่ายในก็รู้สึกว่ามากเกินไป แต่ท่าทีของฮ่องเต้นั้นเด็ดเดี่ยวมาก ทุกคนต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก จึงตกลงตัดสินใจตามนั้น”
ฮูหยินสองเหลือบมองสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก
ไท่ฮูหยินก็กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดเช่นกัน
สืออีเหนียงส่งสายตาให้เจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วทั้งสองก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ
ได้เจอกับจุนเกอที่ใบหน้าแดงก่ำและเสี่ยวเสาสาวใช้น้อยของไท่ฮูหยินที่กำลังเดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี
เมื่อเห็นสืออีเหนียงกับเจินเจี่ยเอ๋อร์เขาก็พูดขึ้นมาเสียงดังว่า “ท่านแม่ วันนี้ข้าเตะลูกขนไก่ได้สิบเอ็ดครั้ง มากกว่าเสี่ยวเสาตั้งสามครั้ง”
สืออีเหนียงเห็นสาวใช้น้อยที่ห้อมล้อมเขาถือลูกขนไก่อยู่หลายลูก จึงได้รู้ว่าพวกเขาเตะลูกขนไก่อยู่ด้านหลังจวน ยิ้มแล้วเดินไปลูบหัวเขา “เตะได้ตั้งสิบเอ็ดครั้งแล้ว เก่งมาก เก่งมาก!”
เขาเงยหน้าแล้วยิ้มเล็กน้อยด้วยความภูมิใจ
“ท่านพ่อของเจ้ากำลังพูดคุยอยู่กับท่านย่าอยู่ด้านใน พวกเราคุยกันเสียงเบาหน่อย” สืออีเหนียงกำชับเขาเสียงเบา
จุนเกอรีบพยักหน้าทันที พูดกับเสี่ยวเสาด้วยเสียงที่เบาราวกระซิบว่า “พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาเตะกันอีก”
เสี่ยวเสาตอบรับเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ” สาวใช้และบรรดาท่านป้าที่ตามจุนเกอเข้ามา ทยอยกันเข้ามาคำนับสืออีเหนียง พึ่งจะยืนขึ้น สวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้ และสวีซื่อเจี่ยนก็มาพอดี
จุนเกอรีบกระซิบบอกกับพวกเขาทันที “ท่านพ่อกำลังพูดคุยกับท่านย่าอยู่ด้านใน เราต้องพูดเสียงเบาๆ”
หลายวันมานี้บรรยากาศในบ้านค่อนข้างตึงเครียด เด็กๆ ต่างก็รู้ดี เมื่อได้ยินจุนเกอพูดเช่นนี้ แววตาก็เผยให้เห็นความไม่สบายใจเล็กน้อย เดินเข้าไปโค้งคำนับสืออีเหนียงอย่างระมัดระวัง แต่ในห้องกลับมีเสียงของไท่ฮูหยินดังออกมา “ฉินเกอ อวี้เกอและคนอื่นๆ มากันแล้วหรือ”
“ขอรับ!” สวีซื่อฉินรีบตอบรับเสียงดังทันที
“เข้ามาเถิด” ไท่ฮูหยินพูดต่อว่า “อาสี่ของเจ้าก็อยู่ที่นี่”
สวีซื่อฉินและอีกสามคนจัดการเครื่องแต่งกายแล้วเดินเข้าไปที่ห้องด้านใน
สืออีเหนียงจูงมือจุนเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์ตามเข้าไปด้วย
เมื่อเด็กๆ ทำความเคารพผู้อาวุโสเรียบร้อย คุณชายสามและฮูหยินสามก็มาถึงพอดี
พวกเขาดูเศร้าหมอง ผิดแปลกจากปกติที่มักจะยิ้มอย่างร่าเริงด้วยใบหน้าที่มีความสุข
คุณชายสามเอ่ยถามเกี่ยวกับพิธีบวงสรวงแรกขององค์ชายห้าด้วยความเป็นห่วง สวีลิ่งอี๋เล่าให้ฟังเพียงสั้นๆ ทั้งสองคนอ้าปากค้าง ฮูหยินสามหัวเราะแล้วพูดว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงเมตตาถึงขนาดนี้ แสดงว่ายังคงมีความโปรดปรานต่อฮองเฮาของพวกเรา”
ไท่ฮูหยิน สวีลิ่งอี๋ และฮูหยินสองไม่ได้พูดอะไร สีหน้าเรียบเฉย บรรยากาศในห้องมืดครึ้มลงทันที
คุณชายสามตักเตือนฮูหยินสามด้วยสายตา
ฮูหยินสามถามอย่างอึดอัดว่า “สิ่งที่ข้าพูดไม่ถูกต้องหรือ”
เมื่อสืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” แล้วหันไปถามสาวใช้น้อยข้างกายว่า “เจ้าไปดูสิว่าอาหารเตรียมเสร็จแล้วหรือยัง”
สีหน้าของไท่ฮูหยินและอีกสามคนผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สาวใช้น้อยตอบรับแล้วเดินออกไป จากนั้นคุณชายห้ากับฮูหยินห้าก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงได้มากันล่ะ”
คุณชายห้าคำนับไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินได้ยกเว้นการมาคารวะของฮูหยินห้าไปนานแล้ว
“นานๆ ทีจะว่างเช่นนี้จึงอยากจะมาดูความครึกครื้นที่นี่ขอรับ”
ขณะที่กำลังพูดสาวใช้น้อยก็เข้ามารายงานว่า “ป้าๆ บอกว่าพร้อมตั้งโต๊ะจัดสำรับได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ยกมาเลย” ไท่ฮูหยินพูดแล้วลุกขึ้น ฮูหยินสองรีบเข้าไปพยุง ทุกคนพากันย้ายไปที่ห้องปีกตะวันออก
หลังจากทานข้าวเสร็จ ไท่ฮูหยินก็ไม่ได้เรียกให้ใครอยู่ต่อ ให้ทุกคนรีบกลับไปพักผ่อน “เดี๋ยวก็จะตรุษจีนแล้ว แล้วไหนยังต้องไปร่วมพิธีบวงสรวงแรกกับพิธีบวงสรวงใหญ่อีก”
สวีลิ่งอี๋ตอบรับอย่างนอบน้อม “ขอรับ” ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับเรือน
เมื่อกลับมาถึงเรือนสีหน้าของสวีลิ่งอี๋ก็ดูหม่นหมอง หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จทั้งสองก็เข้านอน เขานอนหงายมองยอดมุ้งพลางถอนหายใจยาว พูดเสียงเบาว่า “วันนี้กรมพิธีการมาปรึกษาเรื่ององค์ชายห้า ท่าทางของฮ่องเต้ไม่ได้ดูอ่อนโยนเหมือนปกติ วันนี้พระองค์ทรงดื้อรั้นเป็นอย่างมาก…ราวกับว่าทุกคนต้องฟังข้า หากต่อต้านก็จะต้องลิ้มรสความตาย!”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็ขนลุกซู่ ลุกขึ้นมานั่ง “ทุกคนต้องฟังข้า หากต่อต้านจะต้องตายอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ดูสับสนเล็กน้อย ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ “ก็คงไม่ถึงขนาดนั้น…เพียงแต่ว่าพระองค์ทรงหัวแข็งเป็นอย่างมาก กรมพิธีการเพียงแค่บอกว่า ‘ถึงแม้จะจัดพิธีตามธรรมเนียมของราชวงศ์ แต่กระดาษเงินกับกระดาษทองนั้นก็ยังถือว่าเยอะไปหน่อย’ ฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นแล้วขว้างแท่งฝนหมึกทันที หากไม่ใช่เพราะเฮ่อกงกงขวางไว้เกรงว่าขุนนางกรมพิธีการคงจะกระอักเลือดสาดกระเด็นไปห้าฉื่อ[1]แล้ว…ข้ารู้จักพระองค์มานานแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นพระองค์ทรงไม่พอพระทัยขนาดนี้…ข้าเห็นว่าพระองค์อารมณ์ไม่ดี เมื่อขุนนางกรมพิธีการออกไปแล้วจึงนั่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนเตรียมตัวจะทูลลา…ฮ่องเต้กลับเรียกพบข้าตามลำพัง…แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นั่งเฉยๆ อยู่ในตำหนักหน่วนเก๋ออยู่ตั้งนาน จากนั้นก็ให้ข้าถอยออกไป…”
คนที่อยู่ในเกมมักจะมองไม่ออก แต่คนที่อยู่ข้างนอกมักจะมองเห็นชัดเจน
ฮ่องเต้เรียกตัวเขาไปแต่กลับนั่งเงียบไม่พูดไม่จา…
สืออีเหนียงพยายามวิเคราะห์
พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ มีอะไรที่พูดไม่ได้บ้าง
เขาเป็นถึงโอรสมังกรผู้ครองแผ่นดิน…ย่อมสามารถพูดอะไรก็ได้ แต่หากนับในฐานะพระราชบิดา การที่องค์ชายห้าได้สิ้นพระชนม์ก็เข้าใจได้หากเขาจะซึมเศร้าเช่นนี้
สืออีเหนียงถามอย่างระมัดระวังว่า “แล้วท่านโหวไม่ได้พูดอะไรกับฝ่าบาทเช่นกันหรือเจ้าคะ”
“จะไม่พูดได้อย่างไร! แต่ก็เป็นเพียงคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เท่านั้น” สวีลิ่งอี๋เบะปากอย่างจนปัญญา แววตาเผยให้เห็นความดูถูกตัวเอง “เจ้าเองก็รู้ท่าทีของอาจารย์เติ้งเป็นอย่างดี เขาอยู่ที่สำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนมาสามสิบกว่าปี แต่กลับไม่มีอาจารย์ที่เก่งพอจะแนะนำให้พวกเรา ดูเหมือนรีบร้อนอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์ ข้ากลัวเพียงแต่ว่าหากข้าพูดมากไปก็จะพูดผิดเอาได้!” คำพูดในตอนท้ายสะท้อนถึงความโศกเศร้า
การที่อาจารย์เติ้งรีบตัดความสัมพันธ์นั้นหมายความว่าอย่างไรกัน
สถานการณ์ในยามนี้ช่างซับซ้อน แม้แต่อาจารย์เติ้งที่เป็นราชครูก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยอย่างนั้นหรือ หรืออาจารย์เติ้งคิดว่าฮ่องเต้จะทรงกำจัดคนที่หมดผลประโยชน์ เขาจึงไม่อยากเข้าใกล้สกุลสวีมากเกินไป? หรือเพราะตอนนี้เขามีเกียรติยศเป็นราชครูแล้วจึงอยากจะปลีกวิเวกก็เท่านั้น?
สืออีเหนียงตัดสินใจพูดออกไปว่า “ท่านโหว ท่านเคยพูดว่าหลังตรุษจีนนี้จะลาออกจากราชการไม่ใช่หรือ ข้าคิดว่าเหตุใดจึงไม่ออกตั้งแต่ตอนนี้เสียเลยล่ะเจ้าคะ…”
นางคิดถึงการเปลี่ยนไปของคุณชายสามและฮูหยินสามในช่วงเวลานี้
เมื่อรู้ว่าจะได้ออกไปอยู่นอกจวน สองสามีภรรยาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งวัน ฮูหยินสามก็รีบไปบอกผู้ดูแลว่าตนเองดูแลจัดการเรือนอย่างไรบ้างราวกับเผือกร้อนในมือ สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะว่ามีความหวังที่จะได้มีชีวิตใหม่จึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ หากสวีลิ่งอี๋ผิดคำพูด แน่นอนว่าเรื่องนั้นย่อมมีเหตุผลของมัน และย่อมผิดหวังเป็นอย่างมาก เป็นไปไม่ได้ที่สองสามีภรรยาจะไม่มีความคับแค้นใจแม้แต่น้อย จะได้เป็นผู้ดูแลจวนหรือไม่ สืออีเหนียงไม่ได้ร้องขอ สถานการณ์ในตอนนี้นางรู้สึกว่าผ่อนคลายยิ่งกว่าการได้เป็นผู้ดูแลจวนเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าฮูหยินสามจะมีความโลภอยู่บ้างแต่ ‘น้ำใสสะอาดเกินไป…ย่อมไร้ปลา คนที่เข้มงวดเกินไป…ย่อมไร้ซึ่งบริวาร’ ไม่ว่าใครจะนั่งตำแหน่งนั้นผลลัพธ์ก็เหมือนกัน จะว่าไปแล้วที่ฮูหยินสามทำก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ตัดบุคลากรออกไปไม่น้อย ค่าใช้จ่ายในเรือนก็น้อยกว่าตอนที่หยวนเหนียงเป็นผู้ดูแล…
สวีลิ่งอี๋ยิ้มเจื่อนๆ “ทำไมข้าจะไม่อยากทำเช่นนั้น แต่ในเวลานี้เกรงว่าฮ่องเต้จะคิดว่าการที่ข้าถอยออกมานั้นก็เพื่อที่จะบุก ทำให้มีช่องว่างเกิดขึ้น”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็พูดขึ้นมาว่า“ท่านแม่บอกว่าตอนที่ท่านยังเด็กท่านมักจะเข้าวังไปเยี่ยมฮ่องเต้อยู่บ่อยๆ ฮ่องเต้ทรงปฏิบัติต่อท่านโหวเหมือนพี่น้องแท้ๆ ตอนที่ท่านตีหัวซุ่นอ๋องก็เป็นฮ่องเต้ที่ช่วยคิดหาวิธีปกปิดให้ท่าน”
สวีลิ่งอี๋แววตาหม่นหมอง “นั้นมันเรื่องตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว…”
สืออีเหนียงกลับพูดขึ้นมาว่า “ถึงจะอย่างนั้นก็ตาม แต่ความรู้สึกในวัยเด็กก็ยังคงอยู่ เมื่อสองวันก่อนท่านก็ได้เล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับเรื่องตอนเด็กๆ ที่ท่านได้อยู่กับฮองเฮาไม่ใช่หรือ ก็ใช่ว่าฮ่องเต้จะจำเรื่องนั้นไม่ได้แล้ว” น้ำเสียงของนางฟังดูสบายๆ และค่อนข้างเบา ในค่ำคืนเงียบสงัดเช่นนี้ เสียงของนางราวกับถ้วยชาร้อนที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจของคนฟัง “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นท่านก็ยังเล็ก มีอะไรที่ไม่อาจพูดได้บ้าง แม้ว่าจะเป็นการพึ่งพาอาศัยหรืออึดอัดใจก็สามารถพูดประโยคที่ลำบากใจออกมาได้…”
ไม่ว่าฮ่องเต้จะเป็นห่วงหรือจะห้าม แต่อย่างไรก็ต้องห่วงสกุลสวีอย่างแน่นอน เรื่องในเรือนก็ใช่ว่าจะปิดบังสายตาของฮ่องเต้ได้ ไม่สู้เล่นบทเศร้าและซื่อสัตย์ต่อฮ่องเต้ เปิดเผยเรื่องในจวนอย่างอ่อนน้อม ประการแรกเพื่อที่จะสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ฮ่องเต้คิดว่าสวีลิ่งอี๋กำลังเล่นกลอุบายเพื่อรุกกลับ ประการที่สองเพื่อลดความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางให้จางลงแล้วเน้นความสัมพันธ์ของเครือญาติแทน ประการที่สามเพื่อที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสวีลิ่งอี๋และสกุลสวีให้อ่อนแอลง บุรุษมักจะใช้ประสบการณ์เป็นเกณฑ์ในการวัดความสามารถ ในด้านนี้สวีลิ่งอี๋เป็นยอดฝีมืออย่างไม่ต้องสงสัย หากผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้มีปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้ ทำได้เพียงอดทน เชื่อว่าฮ่องเต้ต้องวัดความสามารถของสวีลิ่งอี๋ใหม่ แม้กระทั่งยินดีที่เห็นความขัดแย้งภายในสกุลสวี และมีความเป็นไปได้สูงที่การเข้าสู่ตำแหน่งขุนนางของคุณชายสามจะราบรื่นขึ้น
สวีลิ่งอี๋ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจเจตนาของภรรยา เขาเงียบอยู่นาน
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นทายาทสกุลสูงศักดิ์ มีความภูมิใจลึกลงไปในกระดูก การให้เขาออกจากราชการเพราะเรื่องแบบนี้ เกรงว่าเขาจะรับไม่ได้ในระยะเวลาหนึ่ง
สืออีเหนียงไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะสามารถเปลี่ยนใจเขาได้ พูดเสียงเบาว่า “คนที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ผู้ที่ประสบความสำเร็จย่อมมีคนรุ่นหลังพูดถึง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชนะย่อมไม่มีใครตำหนิ ส่วนผู้แพ้นั้นยากที่จะแก้ตัว…”
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ฟังก็อดจ้องมองภรรยาไม่ได้ เขาจมดิ่งสู่ห้วงความคิด
******
วันที่สิบเอ็ดพิธีบวงสรวงแรกได้จัดที่ประตูซือซ่าน วันที่สิบสองขุนนางในกรมพระราชวังทำพิธีบวงสรวงองค์ชายห้า จัดงานยิ่งใหญ่อลังการ กระดาษทองและเงินอย่างละสองพันแผ่น โต๊ะอีกห้าโต๊ะ แกะห้าตัว สุราห้าจอก วันที่สิบสามจัดพิธีบวงสรวงใหญ่ ฮ่องเต้จะเสด็จมาเคารพศพด้วยพระองค์เอง ทรงเปลี่ยนจากสุราเก้าจอกเป็นสุราห้าจอก ในเวลานี้ฮองเฮาทรงพระประชวร ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ไท่ฮูหยินและฮูหยินหย่งผิงโหวเข้ามาเยี่ยมในวังหลวง
ไท่ฮูหยินกังวลใจ ไม่ได้นอนทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นนางพาสืออีเหนียงไปที่ตำหนักคุนหนิงด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
บรรยากาศในตำหนักคุนหนิงค่อนข้างตึงเครียด ไทเฮามาเยี่ยมเร็วกว่าพวกนางหนึ่งก้าว ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงยืนรออยู่ข้างนอกนานกว่าสองชั่วยาม เมื่อถึงตอนกลางวันไทเฮาจึงได้ลุกขึ้นแล้วกล่าวลา
ฮองเฮาออกมาส่งด้วยตัวเอง
สืออีเหนียงสังเกตเห็นว่าถึงแม้นางจะแต่งหน้างดงาม แต่แววตากลับเศร้าหมอง ความเหนื่อยบนใบหน้าที่ยากจะปกปิด ในใจจึงอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้
————–
[1]ฉื่อหน่วยวัดจีน โดย 1 ฉื่อ เท่ากับ 10 นิ้ว หรือราวๆ 1 ฟุต