คุณชายเว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อุ้มนางขึ้นมา เพียงกระโดดเบาๆ ลอยผ่านเข้าไปยังเรือนใหญ่ เขาจำลองด้านหลังว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีสตรีอาภรณ์แดงอยู่ตรงนั้นมาก่อน
รุ่งเช้า หนานกงมั่วตื่นขึ้นมาพลันมองเห็นเว่ยจวินมั่วถือกระบี่เดินเข้ามา อดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ “วันนี้ท่านไม่ได้ออกไปไหนหรือ” นับตั้งแต่มาถึงที่นี่ เว่ยจวินมั่วเข้ารับรับตำแหน่งก็ต้องออกไปแต่เช้าทุกวัน แม้ไม่เอ่ยสิ่งใดแต่หนานกงมั่วก็พอคาดเดาได้ ชายหนุ่งวัยยี่สิบห้าที่ได้รับแต่งตั้งให้มารับตำแหน่งที่นี่ แม้ว่าขุนพลเหล่านั้นจะไม่กล้าหาเรื่องเขาอย่างเปิดเผย เบื้องหลังก็คงต้องมีอย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เว่ยจวินมั่วที่เป็นคนของจวนเยี่ยนอ๋อง
เห็นชัดว่าคุณชายเว่ยเพิ่งกลับมาจากฝึกกระบี่ที่ด้านนอก หนานกงมั่วรู้สึกผิดที่ช่วงนี้คล้ายว่าจะเกียจคร้านเกินไป
เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะเบาๆ เอ่ยว่า “เมื่อวานตอนกลับมา แม่ทัพเซี่ยบอกว่าสองวันนี้ไม่ต้องไปที่กองทัพ” แม้ว่าเซี่ยลี่จะไม่ได้หาเรื่องเขา แต่ว่าหากให้เขายื่นมือเข้าไปยุ่งได้น้อยที่สุดก็ยิ่งดี ดังนั้นกับเรื่องวันหยุดเซี่ยลี่จึงใจกว้างมาก แม้ว่านี่จะเป็นเหตุให้ขุนพลคนอื่นๆ ต้องไม่พอใจก็ตาม แต่เซี่ยลี่ไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้
หนานกงมั่วลุกขึ้นนั่ง เว่ยจวินมั่วเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง ยื่นมือไปลูบหน้าผากของนาง เอ่ย “ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“เอ๋” หนานกงมั่วไม่เข้าใจ เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ช่วงนี้เจ้าดูไม่สดใส”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ “เปล่า คงจะเบื่อกระมัง”
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้วเบาๆ เขาเองก็รู้ดีว่าเดิมทีอู๋สยามิใช่คนที่จะอยู่เฉยได้นาน ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็ไม่มีเรื่องอันใดให้ทำ คุณชายเว่ยเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ย “หากรู้สึกเบื่อ…ก็กลับไปพักอยู่ที่โยวโจวสักสองสามวันก่อน”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้มิใช่บอกว่าไม่ให้ข้าไปหาศิษย์พี่หรือ”
ใบหน้าของคุณชายเว่ยพลันทะมึนขึ้นมา เนิ่นนานก่อนจะเอ่ย “อีกไม่นานข้าก็ต้องไปออกรบแล้ว” อย่างไรทุกฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวของทุกปีก็ต้องทำสงครามอยู่หลายครั้ง พวกเขาเพิ่งไปก่อเรื่องในเป่ยหยวนมา ไม่ว่าอย่างไรพวกเป่ยหยวนก็ต้องมาเอาคืน ดังนั้นปีนี้เกรงว่าคงจะรุนแรงกว่าทุกปี
หนานกงมั่วชะงัก นึกขึ้นได้พลันรู้สึกผิดหวัง “ข้าไปด้วยไม่ได้”
เว่ยจวินมั่วยื่นมือไปคว้านางเข้าสู่อ้อมกอด ลูบผมของนางอย่างปลอบโยน เอ่ย “เจ้าไปร่วมกับกองทัพของท่านลุงได้ แต่ว่า…ข้าไม่วางใจ”
“เกลียดเซี่ยลี่ยิ่งนัก” คุณหนูใหญ่หนานกงไม่พอใจ กลอกตาคิดแผนการออกมา “หรือข้าไปวางยาเขา ให้เขาลุกไม่ได้ กองทัพก็จะมีท่านเป็นคนสั่งการ”
คุณชายเว่ยลูบผมของนางเบาๆ ไม่เอ่ยสิ่งใด ต่อให้เซี่ยลี่ตายกะทันหัน เซียวเชียนเยี่ยคงยอมที่จะไม่เคลื่อนทัพและปล่อยให้กองทัพของเยี่ยนอ๋องต่อสู้กับเป่ยหยวนเพียงผู้เดียว และไม่มีทางยอมให้พวกเขาเคลื่อนทัพ แน่นอนว่าหนานกงมั่วเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี ก่อนหน้านี้นางเพียงล้อเล่นเท่านั้น
“ช่างเถิด ข้าเองก็มิได้ชื่นชอบสนามรบมากนัก” หนานกงมั่วไหวไหล่ เอ่ย “ถึงตอนนั้นข้าจะกลับโยวโจวไปอยู่กับเสด็จแม่และอาจารย์ อาจารย์อา ท่านทำสงครามเสร็จแล้วก็รีบกลับมา…”
“คุณชาย จวิ้นจู่ เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วยังเอ่ยไม่ทันจบ ด้านนอกพลันมีเสียงรีบร้อนของชวีเหลียนซิงดังขึ้น ชวีเหลียนซิงเห็นสองคนกำลังซุกซบอยู่ด้วยกันรีบหยุดเท้าอยากรีบถอยออกไป แต่ว่า…เรื่องที่นางมารายงานนั้นเร่งด่วนเป็นที่สุด
หนานกงมั่วลุกขึ้น เอ่ยถาม “เกิดเรื่องใดหรือ”
ชวีเหลียนซิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เกิดเรื่องกับเยี่ยนอ๋องแล้วเจ้าค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ” ไม่เพียงหนานกงมั่ว แม้แต่เว่ยจวินมั่วเองก็ตื่นตกใจ ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“เกิดเรื่องอันใด”
ชวีเหลียนซิงตั้งสติ เอ่ยเสียงเข้ม “เมื่อครู่พระชายาเยี่ยนอ๋องให้คนมาส่งข่าว เยี่ยนอ๋องไม่รู้เกิดอันใดขึ้นดึงดันจะรับสตรีนางหนึ่งขึ้นเป็นพระสนมเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนมองสบตากันก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา พวกเขานึกว่ามีเรื่องใหญ่อันใดกับเยี่ยนอ๋อง
หนานกงมั่วกุมมือเว่ยจวินมั่วเอาไว้ เอ่ยกับชวีเหลียนซิง “เอ่ยมาให้ชัดเจน”
ชวีเหลียนซิงพยักหน้า เอ่ย “คนมาส่งข่าวเอ่ยว่า ครึ่งเดือนก่อนเยี่ยนอ๋องได้ช่วยสตรีนางหนึ่งมาจากเขตชายแดน เมื่อกลับมาถึงจวนก็ประกาศจะแต่งตั้งแม่นางผู้นั้นขึ้นเป็นพระสนม อีกทั้งยังโปรดปรานแม่นางผู้นั้นเป็นอย่างมาก หลายครั้งที่ไม่คิดไว้หน้าพระชายาเยี่ยนอ๋อง แม้แต่ต้าจั่งกงจู่เกลี้ยกล่อมก็ไม่ยอมฟัง ราวกับ…หลงใหลจนไม่มีสติเจ้าค่ะ แม้แต่ซั่นจยาจวิ้นจู่ผู้นั้นยังถูกโบยจนลุกไม่ได้เพราะพระสนมใหม่ผู้นั้นเจ้าค่ะ”
ชั่วขณะ หนานกงมั่วไม่รู้ว่าใบหน้าของนางแสดงสีหน้าออกมาเช่นใด บอกว่าเยี่ยนอ๋องหลงใหลสตรีนางหนึ่ง ยากยิ่งกว่าการบอกว่าเยี่ยนอ๋องป่วยจนรักษาได้ยาก หนานกงมั่วรู้สึกสงสัยจริงๆ คนอย่างเยี่ยนอ๋องจะหลงใหลใครจนไร้สติได้เพียงนั้นเลยหรือ
“ไยเสด็จป้าจึงให้คนมาส่งข่าวให้ข้า” หนานกงมั่วเอ่ยถาม หากเป็นเรื่องจริงพวกนางก็ไม่อาจขัดขวางอันใดได้ ถ้าหากเยี่ยนอ๋องไม่ฟังแม้แต่พระชายาที่ร่วมรบอยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี และบุตรชายหรือน้องสาวเอ่ยก็ยังไม่ยอมรับฟัง พวกเขาคิดว่าหลานชายและหลานสะใภ้จะมีประโยชน์อันใดเล่า
ชวีเหลียนซิงเอ่ย “พระชายาเยี่ยนอ๋องสงสัยว่าท่านอ๋องจะถูกทำเสน่ห์ ดังนั้นจึงอยากเชิญคุณชายและจวิ้นจู่กลับไปดูเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วถอนหายใจ มองสบตากับเว่ยจวินมั่ว พยักหน้าเอ่ย “ไปเตรียมตัวเถิด พวกเรากลับไปดูสักหน่อย”
น่าเสียดาย ชวีเหลียนซิงยังไม่ทันได้กลับไปเตรียมตัว ด้านนอกเสียงรีบร้อนของหลิ่วหันพลันดังขึ้น “คุณชาย จวิ้นจู่ แม่ทัพเซี่ยส่งคนมาถ่ายทอดคำสั่ง เขตชายแดนมีความเคลื่อนไหวให้คุณชายเตรียมตัวออกรบเจ้าค่ะ”
ห้องทั้งห้องพลันเงียบลง เนิ่นนาน เว่ยจวินมั่วจึงเอ่ย “อู๋สยา ให้ลิ่นฉังเฟิงไปกับข้า คนที่เหลือเจ้าเอาไป เรื่องที่โยวโจว ลำบากเจ้าแล้ว”
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว “ไม่ได้ ท่านพาลิ่นฉังเฟิงไปคนเดียวจะพอได้เยี่ยงไร” อย่าลืมเสีย เซี่ยลี่จะลงมือกับเว่ยจวินมั่วเมื่อใดก็ได้ เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเข้ม “สำหรับข้าแล้ว คนน้อยจะสะดวกกว่า เชื่อข้า” มองเห็นหัวคิ้วย่นเข้าหากันของเขา หนานกงมั่วทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ ยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าหล่อเหล่า เอ่ยเสียงเบา “ระวังตัวด้วย ข้าจะรอท่านอยู่ที่โยวโจว”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าหนักๆ
ด้านนอกเมือง ทั้งสองจูงมือกันออกมาจากประตูเมือง ยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด เซี่ยลี่พลันนำคนเข้ามาอย่างรีบร้อน “แม่ทัพเว่ย”
ทั้งสองหันกลับไป เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “แม่ทัพเซี่ย”
สีหน้าของแม่ทัพเซี่ยไม่ดีนัก กวาดตามองคนหลายสิบคนที่แต่งเครื่องแบบนั่งอยู่บนหลังม้า เอ่ยเสียงเข้ม “แม่ทัพเว่ย ข้าสั่งให้เตรียมตัวเคลื่อนกองกำลังไปยังเขตชายแดนทันที เจ้าไม่ได้ยินหรือ”
หนานกงมั่วยืนอยู่ด้านข้างเว่ยจวินมั่ว เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ท่านแม่ทัพเซี่ยเข้าใจผิดแล้ว คนที่จะไปคือข้า จวินมั่วเพียงมาส่งข้าเท่านั้น”
“ซิงเฉิงจวิ้นจู่หรือ” เซี่ยลี่ขมวดคิ้ว “แล้วคนพวกนี้เล่า”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “คนเหล่านี้มิใช่นายทหารของกองทัพ แต่เป็นองครักษ์ของจวินมั่ว พวกเขาจะไปที่ใด ก็คงไม่ใช่เรื่องของท่านแม่ทัพกระมัง” สีหน้าของเซี่ยลี่ทะมึนขึ้น เอ่ยถาม “จวิ้นจู่จะไปไหนหรือ” มุมปากของหนานกงมั่วกระตุกยิ้มหยัน เอ่ย “จวิ้นจู่ข้าไปที่ใด แม่ทัพเซี่ยท่านจะไม่รู้หรือ” เอ่ยจบก็ไม่สนใจสีหน้าไม่พอใจของเซี่ยลี่อีก กระโดดขึ้นหลังม้าก้มลงเอ่ยกับเว่ยจวินมั่วเสียงเบา “ข้าต้องไปแล้ว อยู่ในสนามรบก็ระวังตัวด้วย”