“วรยุทธ์ของคุณชายเว่ยสูงกว่าหรือว่าวรยุทธ์ของคุณชายฉังเฟิงสูงกว่าเจ้าคะ” ชวีเหลียนซิงกุมขมับเอ่ยถาม หนานกงมั่วยิ้มตาหยี เอ่ย “เรื่องนี้หรือ…ระหว่างฉังเฟิงกับจวินมั่ว คงจะต่างกันเท่ากับซิงเวยยี่สิบคน”
ชวีเหลียนซิงไม่อาจประมาณการถึงวรยุทธ์สูงวรยุทธ์ต่ำได้ แต่วรยุทธ์ของซิงเวยร้ายกาจนางรู้ดี ตามที่หลิ่วหันบอก ซิงเวยเป็นมือสังหารที่ฝีมือดีที่สุดในวังจื่อเซียว ซิงเว่ยยี่สิบคน…วรยุทธ์คุณชายฉังเฟิง...
“แม่นางมั่ว เจ้าประเมินเจ้านี่สูงเกินไปหรือไม่” แม้ว่ากำลังต่อสู้ แต่ลิ่นฉังเฟิงยังคงไม่ละเลยต่อบทสนทนาของพวกนาง อดเอ่ยเสียงดังตอบกลับมาไม่ได้ หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “เช่นนั้น คุณชายฉังเฟิงเห็นว่าอย่างไร” คุณชายฉังเฟิงเพิ่งจะหลบกระบี่ที่เว่ยจวินมั่วตวัดลงมาที่ศีรษะของเขา ยังคงหวาดผวาอยู่ในใจ “เอ่อ…อย่างมากก็คงสิบแปดสิบเก้าคนหรือไม่”
“…”
ความแตกต่างของลิ่นฉังเฟิงและเว่ยจวินมั่วเริ่มแรกนั้นมองไม่ออก แต่เมื่อผ่านไปสามร้อยห้าร้อยกระบวนท่าแล้วก็เริ่มดูออก คุณชายฉังเฟิงเองก็รู้ตัวดี รู้ว่าตนเองเอาชนะเว่ยจวินมั่วไม่ได้ เมื่อพึงพอใจแล้วจึงรีบหนี หากสู้ต่อไปเขาคงโดนเข้าจริงๆ ดังนั้นอาศัยจังหวะที่ถอยเข้าใกล้กำแพง คุณชายฉังเฟิงจึงหมุนตัววิ่งหนีไป อีกทั้งยังวิ่งหนีไปยังสถานที่ครึกครื้นเสียงดังด้านนอกเรือน ที่นั่นมีทหารองครักษ์มากมายกำลังดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน ต่อให้เว่ยจวินมั่วยังตามมา อย่างน้อยก็มีคนช่วยเขารับกระบี่เอาไว้
เห็นชัดว่าคุณชายเว่ยเองไม่คิดจะสนใจ ยืนนิ่งอยู่บนกำแพงมองคุณชายฉังเฟิงที่กำลังวิ่งหนีไป ส่งเสียงหยันหมุนตัวกลับไปยังศาลาโล่ง ชวีเหลียนซิงมองทั้งสองคน จากนั้นจึงยกมือปิดริมฝีปากกลั้นยิ้มและถอยออกไป
มองดูสีหน้าที่ยังคงเรียบนิ่งของคุณชายเว่ย หนานกงมั่วจึงยื่นมือออกไปเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉังเฟิงเพียงล้อเล่น ท่านจะจริงจังกับเขาไปทำไมกัน” ยื่นมือไปกุมมือของนางเอาไว้ คุณชายเว่ยนั่งลงข้างนาง หนานกงมั่วขยับเอนตัว หนุนศีรษะลงไปที่ตักของเขา มองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ถอนหายใจออกมา “ปีนี้สบายกว่าปีที่แล้วมาก” วันไหว้พระจันทร์ปีที่แล้วพวกเขาไปร่วมงานเฉลิมฉลองในวัง เมื่อเทียบกับวังหลวงวุ่นวายน่าเบื่อ นางชอบความสุขสงบเช่นตอนนี้มากกว่า เพียงแต่… “ตอนนี้อาจารย์และอาจารย์อาคงกำลังก่นด่า”
อยู่ใกล้โยวโจวเพียงนี้ ทว่าไม่ได้กลับไปเฉลิมฉลองกับอาจารย์และอาจารย์อา ไม่ด่าสิถึงจะแปลก เพียงแต่…ตอนนี้คนที่โชคร้ายก็คือศิษย์พี่ เจอกันคราวหน้า ศิษย์พี่ต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาเอ่ยเป็นแน่
เว่ยจวินมั่วเล่นผมนาง เอ่ยเสียงเรียบ “มีเสียนเกออยู่กับพวกเขา”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็จริง กลับไปไม่ว่าจะไปหาอาจารย์หรือจวนเยี่ยนอ๋องล้วนเป็นปัญหา ยกความวุ่นวายนั้นให้กับศิษย์พี่ไปเถิด” ด้วยนิสัยของเยี่ยนอ๋อง เยี่ยนอ๋องคงไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาฉลองกันเพียงสามคนกับเสด็จแม่เป็นแน่ แต่ว่าอาจารย์และอาจารย์อาเองก็ไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับจวนเยี่ยนอ๋องนัก กลับไปก็ลำบากใจมิสู้ไม่กลับไปเสียจะดีกว่า “เพียงแต่…ครั้งหน้าถ้าศิษย์พี่มาหาเรื่องข้า ท่านต้องช่วยข้านะ”
คุณชายเว่ยเลิกคิ้ว “เขาไม่กล้าหรอก”
นึกถึงศิษย์พี่ของตน หนานกงมั่วก็อดก้มหน้าลอบขำไม่ได้ ก็ได้ คุณชายเว่ยคิดว่าเขาไม่กล้าก็คงไม่กล้า อย่างไรเสีย…กว่าแปดส่วนศิษย์พี่นั้นไม่กล้ามาหาเรื่องนาง
เสียงจอแจดังมาจากที่ไกลๆ ทว่าในสวนกลับเงียบสงบ ทั้งสองนั่งชมจันทร์อยู่ในศาลาโล่งเงียบๆ ตามลำพัง ราวกับความวุ่นวายได้ลาจากพวกเขาไปแล้ว
หนานกงมั่วราวกับนึกอันใดได้ รีบลุกขึ้น “จริงสิ ข้านึกได้ว่ายังไม่ได้มอบของขวัญให้กับท่าน”
ของขวัญวันไหว้พระจันทร์หรือ คุณชายเว่ยเลิกคิ้ว หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “รอข้าอยู่ที่นี่”
คุณชายเว่ยลังเลอยู่ชั่วครู่ พยักหน้าเบาๆ ดวงตาสีม่วงสะท้อนประกายออกมาเล็กน้อย เห็นชัดว่าแม้สีหน้าของคุณชายเว่ยจะมิได้แสดงออกมา แต่เบื้องลึกในใจกำลังเฝ้ารอของขวัญ
หนานกงมั่วยิ้มร่า ก้มลงไปจูบหน้าผากของเขา จากนั้นรีบเคลื่อนตัวถอยออกเมื่อเขาจะคว้ามือมาจับตนเองอีกครั้ง
คุณชายเว่ยนั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียวในศาลาโล่ง เสียงดังจากด้านนอกยิ่งสะท้อนความเงียบสงบในสวนมากขึ้น ได้ยินเสียงเท้าที่เดินเข้ามา คุณชายเว่ยเลิกคิ้ว เสียงพรึบของอาวุธลับดังขึ้น ไฟในสวนพลันดับลง สวนที่เคยสว่างไสวพลันมืดลง มีเพียงแสงสีเงินที่สาดส่องมาในสวน ดอกไม้ใบหญ้า เขาจำลอง ศาลาเล็ก รวมไปถึงบุรุษรูปงามในอาภรณ์สีฟ้าครามที่นั่งอยู่ด้านในศาลา
เห็นเพียงร่างล่องลอยมาท่ามกลางแสงจันทร์ เคลื่อนไหวลงสู่เขาจำลองห่างจากศาลาเล็กไม่ไกลนัก คุณชายเว่ยเงยหน้ามองไป เห็นเพียงบนยอดเขานั้น หนานกงมั่วที่ผมยาวสลวยถูกม้วนเป็นมวยเล็กน้อยอยู่ในอาภรณ์สีแดงสง่างาม แสงสีเงินของดวงจันทร์สาดกระทบมายังร่างของนาง ทั่งทั้งร่างราวกับต้องแสงสีเงินครอบเอาไว้เป็นชั้นบางๆ คล้ายกับว่ามันสามารถพาโบยบินไปได้ทุกเมื่อ เว่ยจวินมั่วลุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ทันใดนั้นเสียงผีผาพลันดังขึ้นจากมุมมุมหนึ่ง หนานกงมั่วเคลื่อนไหว เต้นรำไปตามจังหวะดนตรี
เดิมทีวิชาตัวเบาของหนานกงมั่วก็ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แม้จะยืนอยู่บนยอดเขาจำลองทว่าก็ราวกับยืนอยู่บนพื้นราบ เสียงผีผามีกลิ่นอายแปลกใหม่ ดุดันร้อนแรงทว่ายังคงความสนุกสนานเอาไว้ ท่าทางการเคลื่อนไหวของหนานกงมั่วเองก็เป็นเช่นนั้น เว่ยจวินมั่วอดนึกถึงการร่ายรำเมื่อครั้งอยู่ที่เป่ยหยวนของหนานกงมั่วขึ้นมาไม่ได้ แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างไปจากท่าทางดุดันของชนเผ่าเป่ยหยวน มีความร้อนแรงและเสน่ห์ที่งดงาม อาภรณ์สีแดงของหนานกงมั่วพริ้วไหว ทุกๆ ท่วงท่าทำให้คนอดไม่ได้หลงใหลติดกับไปกับการล่อลวงของนาง ทำให้คนเผลอไผล แต่ว่าการร่ายรำเช่นนี้ไม่มีท่าทางเกินงาม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส มีเสน่ห์ เคลื่อนตัวพริ้วไหวไปตามจังหวะของผีผา งดงามเกินกว่าสิ่งใด
หากบอกว่าเมื่อครั้งอยู่เป่ยหยวนหนานกงมั่วสุภาพเยือกเย็นดุจดอกโบตั๋น สตรีที่ร่ายรำอยู่ใต้เงาจันทร์ในยามนี้ กลับเป็นดั่งเปลวเพลิงที่ตระการตาที่สุด ภายใต้ใบหน้าเยือกเย็น กลับถูกจุดประกายสว่างไสวให้ทั้งโลกได้อย่างง่ายดาย ทันใดนั้นราวกับทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจางหาย ในดวงตาของคุณชายเว่ยมีเพียงหญิงสาวสวยยั่วยวนในอาภรณ์สีแดงอยู่บนยอดเขาผู้นั้น
ดวงตาสีม่วงมีประกายไฟร้อนแรงขึ้นมา อู๋สยา…อู่สยา…
ราวกับได้ยินเสียงร้องเรียกในใจของเขา หนานกงมั่วมองลงมาด้านล่าง คุณชายเว่ยเดินออกมาจากศาลาเล็ก จับจ้องไปที่นาง รอยยิ้มยั่วยวนถูกส่งให้เขา
เสียงผีผาหนักขึ้น ท่าทางการร่ายรำของหนานกงมั่วยิ่งร้อนแรงดุดันมากตามไปด้วย
คุณชายเว่ยยกยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มบาง
“อู๋สยา…”
การเคลื่อนไหวของหนานกงมั่ว ขึ้นลงไปตามจังหวะดนตรีสุดท้ายจึงช้าลง จนกระทั่งหยุดลงช้าๆ
“จวินมั่ว” หนานกงมั่วเก็บท่วงท่าสุดท้าย เดินยิ้มหวานเข้ามาหาชายหนุ่ม จากนั้นกระโดดขึ้นไป ลอยอยู่ท่ามกลางอากาศราวกับร่างทั้งร่างของนางจะร่วงลงมา เว่ยจวินมั่วกระโดดตามขึ้นไป โอบประคองนางเอาไว้จากนั้นจึงปล่อยร่างให้ล่องลอยลงสู่พื้นดิน
“อู๋สยา…”
หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ยว่า “เป็นอย่างไร ชอบหรือไม่”
คุณชายเว่ยกวาดตามองไปทั่วใบหน้างามของสตรีในอ้อมแขน พยักหน้าเบาๆ “ดีมาก งดงามมาก” หนานกงมั่วไม่พอใจ “ข้าร่ายรำครั้งแรก มีเพียงห้าคำเท่านี้หรือ”