หนานกงเลี่ยที่อยู่ทางนี้กำลังพยายามจงใจทำให้ตัวเองแพ้อย่างขมักเขม้น เห็นได้ชัดว่าเขารู้คำตอบอยู่แล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้เริ่มลงมือเขียนสักที
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ศิษย์จากหอชั้นเยี่ยมกลับมีสีหน้าภูมิใจในตัวเองอย่างมาก และมีท่าทางคล้ายกับกำลังจะพูดว่าการแข่งขันระดับนี้ไม่คุ้มค่ากับเวลาของเขาเลย
ส่วนบรรดาศิษย์ที่เอาชนะหอชั้นเยี่ยมมาได้ต่างก็มองภาพนี้ด้วยสายตาเย้ยหยัน ”ข้าบอกแล้วอย่างไร พวกเขาก็แค่บังเอิญชนะเท่านั้น”
หยวนหลิงเซวียนอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน ”ไม่จำเป็นต้องดูต่ออีกแล้ว ข้าขอตัวไปนอนสักงีบก่อนดีกว่า ประลองจบแล้วค่อยมาเรียกข้าก็แล้วกัน”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็กระตุกขึ้นเช่นกัน นางบอกให้สาวใช้ช่วยพยุงนางไปพักที่ศาลาใต้ร่มไม้ พลางคิดในใจอย่างรังเกียจว่า
หึ ท่านเจ้าสำนักถึงกับกล้าคุยโวโอ้อวดเอาไว้อย่างหน้าไม่อาย อีกทั้งยังเสนอให้หอชั้นเลิศเปลี่ยนตัวผู้เข้าแข่งขันอีก
แต่ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว
ต่อให้พวกนางไม่แข่งรอบที่สาม ก็สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาครองได้อยู่ดี
หอสามัญย่อมพ่ายแพ้ให้กับหอชั้นเยี่ยมอย่างแน่นอน ”ไม่จำเป็นต้องดูต่อแล้วล่ะ พวกเราก็ไปพักกันเถอะ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หันไปสั่งสาวใช้ที่อยู่ข้างนาง
สาวใช้รีบกางร่มกระดาษน้ำมันให้นางอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเดินตามหลังเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไปทีละก้าว ด้วยเกรงว่าผู้เป็นนายจะโดนแดดเผาเอาได้
เพราะวันนี้พระอาทิตย์ฉายแสงร้อนแรงยิ่งนัก
คนสูงศักดิ์อย่างองค์ชายสามก็คงไม่เคยออกมาทำกิจกรรมภายใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้าเช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน
นิ้วขาวผ่องราวงาช้างของเขาดูไม่พอใจกับอุณภูมิน่าอึดอัดนี้เป็นอย่างยิ่ง เขาเลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงฟังดูไม่กระตือรือร้นนัก ”เจ้าจะมัวเสียเวลาอยู่อีกนานเพียงใดกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น หนานกงเลี่ยก็ยกยิ้ม และประหนึ่งว่ามีพลังอันบ้าคลั่งถูกปลดปล่อยออกมา เขาตวัดพู่กันในมือเขียนคำตอบลงไปในทันใด ความเร็วของเขานั้นเร็วมากเสียจนน่าประทับใจ บรรดาศิษย์จากหอชั้นเยี่ยมที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขาถึงกับมองภาพนี้ด้วยอาการตกตะลึง
นี่มันอะไรกัน เขาไปฉีดเลือดไก่มาหรืออย่างไร
“เสร็จแล้ว ข้าชนะแล้ว” หนานกงเลี่ยสะบัดผมยาวของตนอย่างมั่นใจ และเดินไปสลับที่กับเฮ่อเหลียนเวยเวยบนเวที
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาอย่างมีเลศนัย ”ชนะแล้วหรือ”
“อือฮึ” หนานกงเลี่ยไม่ชอบอากาศร้อนเอามากๆ เขาจึงเดินเอื่อยเฉื่อยไปทางด้านหลัง และดึงคอเสื้อที่โผล่พ้นเสื้อคลุมของตนขึ้นมาปลดกระดุมออก ”ท่าทางของข้าคงสะดุดตาน่าดูเลยใช่หรือเปล่า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองเขา จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งว่า ”เพราะเจ้าชนะ ข้าถึงพลาดโอกาสที่จะได้ประมือกับเฮยเจ๋อ ดี ดียิ่งนัก”
หนังศีรษะของหนานกงเลี่ยชาวาบ ”เดี๋ยวก่อน อาเจวี๋ย ให้ข้าอธิบายก่อน! เจ้าใช้วิธีอื่นจัดการกับเจ้าคนสกุลเฮยนั่นก็ได้นี่ จริงสิ ข้าสามารถช่วยสืบความลับของเขาให้เจ้าได้นะ”
“อ้อ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้ว ท่าทางไม่เร่งรีบแต่อย่างใด ”เช่นอะไร”
หนานกงเลี่ยทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา ”ข้ามีประวัติหอนางโลมทุกแห่งที่เขาเคยไปเที่ยวมา”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหยียดยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับยกขาขึ้นถีบอีกฝ่ายอย่างงดงาม!
เขาไม่ควรหลงเชื่อเจ้าคนประสาทกลับนี่เลย
“ชนะแล้วหรือ หอสามัญชนะอีกแล้วหรือ” บรรดาศิษย์ที่นั่งอยู่ในจำนวนผู้ชมจากหอชั้นเยี่ยมพึมพำด้วยความประหลาดใจ ราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ในฝันร้าย ”เป็นไปได้อย่างไร ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก!”
ผู้เข้าแข่งขันสาขาอาวุธก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ให้กับคนไร้ค่าที่ไม่มีพลังปราณเลยแม้แต่น้อย มือซ้ายของพวกเขาถืออาวุธที่ยังสร้างไม่เสร็จเอาไว้ พร้อมกับมองคู่ต่อสู้ของตนอย่างตกตะลึง ทันใดนั้นจึงแผดเสียงขึ้นมาว่า ”โกง! เจ้าต้องโกงแน่ๆ!”
“โกงหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว นางไม่ได้มองไปทางศิษย์คนนั้น แต่กลับมองไปทางเฮยเจ๋อแทน สายตาแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เจ้าคนขี้แพ้นี่เป็นคนในกลุ่มของเจ้าหรือ
นิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นของหนานกงเลี่ยเผยออกมาอย่างปิดไม่มิดในระหว่างที่เขาพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า ”อาเจวี๋ย ดูสิ หัวหน้ากลุ่มของเรากับคุณชายเฮยคนที่นางชื่นชมนั่นกำลังมองหน้ากันอยู่ล่ะ!”
มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ถือถ้วยชาอยู่ถึงกับชะงักเล็กน้อย คลื่นเล็กๆ กระเพื่อมอยู่ในถ้วยชาของเขา
“หึ นี่คือจังหวะดีที่จะลงมือ” หนานกงเลี่ยก้าวเท้าออกไปอย่างยินดีปรีดา ”ไปกันเถอะ ข้าจะนำทัพให้เอง!”
คุณชายเฮยผู้ขึ้นชื่อในเรื่องของความน่าเกรงขามและความเด็ดเดี่ยวเองก็เดินเข้ามา เพียงแต่ไม่ได้เป็นอย่างที่หนานกงเลี่ยคิดเอาไว้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับเข้ามารั้งตัวศิษย์ร่วมหอชั้นเยี่ยมของตนเอาไว้ แล้วผลักเขาออกไปอีกทาง น้ำเสียงทรงเสน่ห์ของเขาติดจะทุ้มต่ำ ”แพ้แล้วก็คือเจ้าแพ้แล้ว”
“แต่…” คนที่อยู่ในการแข่งขันไม่อาจทำใจเชื่อได้ลง พวกเขาไม่อยากเป็นรองหอชั้นเลิศ การพ่ายแพ้ให้กับพวกหอชั้นเลิศยังเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่พวกเขาดันแพ้ให้กับหอสามัญด้วย
เฮยเจ๋อไม่สนใจว่าคนคนนั้นจะรับได้หรือไม่ เขากระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นมา แล้วหันไปพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”พวกเราแพ้แล้ว แต่…” เขาเว้นวรรค พร้อมกับยิ้มอย่างชั่วร้าย ”เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะเอาชนะคนจากหอชั้นเลิศได้ เมื่อถึงคราวที่ต้องแข่งกับหอชั้นเลิศ ลำดับการประลองจะไม่ได้เป็นเช่นนี้ การประลองรอบแรกจะเป็นการประลองสาขาพลังปราณ เท่าที่ข้ารู้ ผู้เข้าแข่งขันสาขาพลังปราณของเจ้ายังไม่เคยขึ้นเวทีเลยนี่ จะไม่เป็นไรหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเข้าหากัน พูดเช่นนี้หมายความว่าเขาสงสัยถึงความสามารถของคนในกลุ่มนางหรือ ริมฝีปากบางของนางโค้งขึ้น และกำลังจะอ้าปากตอบ
แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงแหบพร่าดังขึ้นข้างหูเสียก่อน เสียงนั้นฟังดูไพเราะแต่ก็ชั่วร้ายเย็นชา น้ำเสียงนั้นเย็นเหยียบ ทั้งยังแผ่วเบาราวกับน้ำแข็งที่ละลายอยู่ในชาดำ เมื่ออยู่ใต้แสงแดดแผดจ้าเช่นนั้น ย่อมดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้อย่างไม่ยากเย็น ”สู้กันสักตั้งไหมล่ะ”
เฮยเจ๋อหันกลับไปมอง และเห็นเพียงร่างของชายคนหนึ่งที่ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ ขาเรียวยาวสมบูรณ์แบบทั้งสองข้าง เอวบาง และแผ่นอกกว้างของเขาประกอบรวมกันเป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เขายกมือขึ้นปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงออกจากชุด จากนั้นจึงค่อยๆ เดินมาหาเขา เสื้อคลุมตัวยาวสะบัดพลิ้ว กระทบกับแสงแดดที่สาดส่องลงมา เกิดเป็นประกายระยิบระยับงดงามอยู่รอบตัว แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้เขาดูชั่วร้ายราวกับดอกปี่อั้นที่เบ่งบานอยู่ในแดนปีศาจ…
ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความอำมหิตเย็นชาอันยากจะอธิบายได้แผ่ไปทั่วทั้งร่าง
ความหล่อเหลาที่ราวกับอยู่เหนือโลกใบนี้
ใบหน้าด้านข้างของเขาดูราวกับอ่าวอันเงียบสงบที่ตัดขาดจากโลกภายนอก มันทั้งบริสุทธิ์ เย็นชา และสูงส่ง เสียจนไม่มีผู้ใดสามารถละสายตาไปจากเขาได้
ครอบครองความสง่างามอันโดดเด่นเฉกเช่นปีศาจ แต่ก็ครอบครองเสน่ห์ดึงดูดเฉกเช่นเทพเซียนด้วยเช่นกัน
ทั้งดีงามและชั่วร้าย แต่ก็หล่อเหลาเหลือคณา
เฮยเจ๋อขมวดคิ้ว รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่รับมือยากเพียงใด ไม่แปลกใจเลยที่คนจากหอชั้นเลิศจะเห็นเขาเป็นดั่งหนามตำตา
เขาเพียงแค่อาศัยใบหน้านั้นก็คงเพียงพอแล้วที่จะสร้างความอิจฉาริษยาให้ใครต่อใครได้อย่างล้นหลาม
เด็กสาวที่โตขึ้นมาพร้อมกับเขาย่อมชอบผู้ชายหน้าตาเช่นนี้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ดวงตาของเฮยเจ๋อก็พลันแข็งกร้าว เขาเลิกคิ้วขึ้น และมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าตน ”ได้อยู่แล้ว”
แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ทันได้ประมือกัน แต่ระหว่างพวกเขาก็มีประกายไฟลั่นดังเปรี๊ยะๆ เสียแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกปวดหัวขึ้นมา นางยกมือขึ้นกุมขมับตัวเอง ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าท่านเจ้าสำนักรู้สึกอย่างไร สถานการณ์นี้ทำให้รู้สึกจนปัญญาจริงๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่พูดอะไร และทำเพียงคว้ามือของเฮยเจ๋อเอาไว้ ปฏิกิริยาแรกของนางคือกำจัดเจ้าอันธพาลขี้ใจร้อนคนนี้ออกไปก่อน
นิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไป สายตาของเขาหยุดลงที่ร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาสีดำสนิทของเขาพลันจมลงลึกยิ่งกว่าเดิม ใบไม้บนต้นไม้ทุกต้นที่ร่วงลงมารอบบริเวณนั้นต่างถูกสายลมพัดจนหมุนขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง กลีบดอกไม้สีน้ำเงินเข้มปลิวขึ้นและร่วงหล่นลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายทุกสิ่งเคลื่อนไหวเป็นภาพช้าราวกับตกอยู่ในเวทมนตร์
ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ความหนาวเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาก็ถึงกับทำให้หนานกงเลี่ยที่ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ข้างเวทีถึงกับตัวสั่นสะท้านในทันใด!
นี่คือ อาเจวี๋ย... กำลังโกรธอยู่หรือ