เมื่อได้ยินนางพูดประโยคนี้ สีหน้าของจื่อเย่ว์ยิ่งตกตะลึง เหมือนต้องพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออก รู้สึกเพียงลำคอแห้งผาก
ทางองค์หญิงจินเหยาราวกับเป็นกังวล นางเรียกขานเฉินตันจู “มีเรื่องใดอีกประเดี๋ยวค่อยพูด อาเสวียน ให้จื่อเย่ว์มาเช็ดหน้าด้วยกันเถิด”
เฉินตันจูตอบรับ “พูดจบแล้วเพคะ มาแล้วเพคะ” นางหันหลังเดินออกมา
โจวเสวียนเบนสายตาจากตัวของเฉินตันจูมองไปยังองค์หญิงจินเหยา พูด “ไม่เป็นอันใด ชิงเฟิงรออยู่ด้านนอก นางกลับไปกับชิงเฟิงก็พอ”
องค์หญิงจินเหยาเพียงแค่พูดตามมารยาทเท่านั้น นางตอบรับ ก่อนจะจูงมือของเฉินตันจู ปลอบประโลมเสียงเบา “เจ้าไม่ต้องพูดสิ่งใดกับนาง ล้วนเป็นความคิดของอาเสวียน คนอย่างอาเสวียนข้ารู้ดี หลังจากกลับไปข้าจะพูดกับเขา”
โจวเสวียนคนนี้…เฉินตันจูมองใบหน้าแดงระเรื่อขององค์หญิงจินเหยา ชาติก่อนองค์หญิงแต่งงานกับโจวเสวียน เวลานี้ดูเหมือนโจวเสวียนและองค์หญิงก็รู้จักกันดี แต่องค์หญิงรู้จักโจวเสวียนดีจริงหรือ นางรู้ว่าโจวเสวียนคิดว่าโจวชิงตายอยู่ในมือของฮ่องเต้หรือไม่ อีกอย่าง เวลานี้โจวเสวียนรู้หรือไม่
เฉินตันจูอดหันกลับไปมองไม่ได้ โจวเสวียนเดินจากไปแล้ว แต่เมื่อนางมองมา เขาก็หันกลับมาดุจดั่งสัมผัสได้…
เฉินตันจูเบนสายตากลับมา พูดกับองค์หญิง “เขามีอคติกับหม่อมฉันเพราะบิดาของเขา ความเจ็บปวดที่สูญเสียคนในครอบครัวไป องค์หญิงอย่าได้เกลี้ยกล่อมเสียดีกว่า อีกทั้งคุณชายโจวไม่ได้ต้องการทำอันใดหม่อมฉันจริง เพียงแค่ขู่หม่อมฉันเท่านั้น”
องค์หญิงจินเหยาได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็ดีใจอย่างมาก “เจ้าคิดได้เช่นนี้ย่อมดีมาก เพียงแต่ต้องลำบากเจ้าแล้ว”
“มีสิ่งใดลำบากกันเพคะ หากหม่อมฉันได้รับความไม่เป็นธรรม หม่อมฉันยิ่งได้ความรักจากองค์หญิงมากขึ้นเสียอีก” เฉินตันจูจับแขนเสื้อของนางพูดเสียงเบา “อย่างไร ท่านอย่าได้พูดเรื่องของหม่อมฉันกับคุณชายโจว”
องค์หญิงจินเหยาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ได้ๆ ข้าไม่พูดกับเขา”
ดีที่สุดแม้แต่สนทนาก็ไม่ต้องสนทนากับเขา เฉินตันจูคิดภายในใจ นางรู้สึกได้ว่าหากองค์หญิงจินเหยาแต่งงานกับโจวเสวียนจะไม่มีความสุข
แน่นอน คนอื่นมีความสุขหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่นางตัดสินได้
สิ่งที่นางทำได้คงมีเพียงฝึกฝนวิชาแพทย์ให้ดี เมื่อถึงเวลาที่องค์หญิงจินเหยาตกอยู่ในอันตรายจะได้สามารถช่วยนางได้
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางและคนอื่นถูกนางในกำชับไม่ให้เผยแพร่เรื่องในวันนี้ออกไปจึงถูกปล่อยตัว
หลิวเวยนำเหล่าสาวรับใช้ของตระกูลฉางมาปรนนิบัติองค์หญิงจินเหยาและเฉินตันจูอาบน้ำอย่างเป็นระเบียบ
องค์หญิงจินเหยาเปลี่ยนชุดที่นำมาจากภายในพระราชวัง หลิวเวยหยิบชุดของตนเองมาให้เฉินตันจูใส่
“ชุดนี้เป็นชุดใหม่ ท่านยายตัดให้ข้าจำนวนมาก ข้ายังไม่เคยใส่” นางพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉินตันจูเปลี่ยนชุด ก่อนจะส่องกระจกมองซ้ายมองขวา “ข้างามเสียจริง”
หลิวเวยหัวเราะออกมา องค์หญิงที่หวีผมอยู่ทางนั้นก็หัวเราะเช่นกัน
มีเพียงนางในทำหน้ามุ่ย “ไม่ได้พาอาเซียงมาด้วย จะหวีผมได้อย่างไร”
เฉินตันจูรู้ว่าองค์หญิงจินเหยาชอบแต่งตัว นึกถึงทรงผมที่เคยเห็นเมื่อชาติก่อน จึงพูดขึ้น “ข้าหวีผมให้องค์หญิงเอง”
องค์หญิงจินเหยามองหญิงสาวที่เปลี่ยนเป็นชุดลายดอกไม้ขนาดเล็ก ทำให้นางยิ่งดูผอมเพรียว ก่อนจะถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าหวีผมเป็นหรือ?”
เฉินตันจูเลิกคิ้วขึ้น ชี้ไปยังทรงผมของตนเอง “หม่อมฉันเป็นคนทำผมให้ตนเอง”
อีกทั้งนางทำมาสิบปีแล้ว ถึงแม้สิบปีนั้นนางจะไม่มีความหวัง แต่นิสัยของหญิงสาวที่หลงเหลือทำให้นางมักจะหวีผมทรงต่างๆ ต่อหน้ากระจกเพื่อเป็นการค่าเวลา
องค์หญิงจินเหยายิ้มตอบรับ นางในไม่ได้ห้าม เวลานี้นางดูออกแล้ว องค์หญิงตามใจเฉินตันจูอย่างมาก องค์หญิงเป็นคนที่ใส่ใจในการแต่งกายและทรงผมอย่างมาก หากคนอื่นหวีออกมาไม่ดีคงจะถูกลงโทษ แต่เฉินตันจูไม่มีทางถูกลงโทษ…ปล่อยให้นางทำเถิด รีบทำให้เสร็จรีบกลับวัง จบสิ้นการออกมาเที่ยวเล่นดุจดั่งฝันร้ายนี้เสียที
เฉินตันจูหวีผมให้องค์หญิงจินเหยาอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว หลิวเวยที่ไม่เชื่อว่านางจะทำผมได้ก็เผยสีหน้าตกตะลึงเมื่อยืนมองอยู่ด้านข้าง
“องค์หญิง” นางพูดกับองค์หญิงจินเหยา “คุณหนูตันจูหวีผมเป็นจริงด้วยเพคะ”
องค์หญิงจินเหยามองกระจกด้วยรอยยิ้ม “ข้าเห็นแล้ว ไม่เลวเลย”
เฉินตันจูบอกให้นางในและอาเถียนช่วย ก่อนจะพูด “เมื่อหวีเสร็จองค์หญิงจะเห็นสิ่งที่ไม่เลวกว่านี้อีกเพคะ”
คุณหนูคนอื่นมีแต่ถ่อมตน มีเพียงเฉินตันจูที่จะชื่นชมตนเองตามเมื่อคนอื่นชื่นชมนาง หลิวเวยและองค์หญิงจินเหยาต่างหัวเราะ เมื่อทำผมเสร็จสิ้น เหล่านางในและหลิวเวยต่างเผยสีหน้าตกตะลึงในความงดงามออกมา องค์หญิงจินเหยามองกระจกด้วยสายตาตกตะลึง
“ข้าไม่เคยเห็นทรงผมนี้มาก่อน ดุจดั่งพญางูแต่ก็ดุจดั่งมีดโค้ง สวยงามอย่างยิ่ง” นางพึมพำ ก่อนจะหันมาถามเฉินตันจู “ทรงนี้เรียกว่าอันใด เป็นทรงผมของเมืองอู๋หรือ”
เฉินตันจูมองดูทรงผมสูงที่ปักปิ่นทอง ทรงนี้หรือ ตอนนั้นนางเคยพบเห็นบริเวณเชิงเขาครั้งหนึ่ง หญิงชนชั้นสูงเดินผ่านไป หญิงชาวบ้านริมทางต่างสนทนาเสียงเบา บอกว่าทรงนี้คือทรงองค์หญิง เป็นทรงผมที่องค์หญิงจินเหยาทำ จากนั้นพวกนางต่างเหยียดหยามว่าไม่เหมือน ไม่งามเท่าองค์หญิงจินเหยา…พูดราวกับว่าทุกคนเคยเห็นองค์หญิงเสียอย่างนั้น
เฉินตันจูยิ้ม ก่อนจะเสียบดอกไม้มุกไว้ข้างหูขององค์หญิง “ไม่ใช่ทรงผมของเมืองอู๋เพคะ มีเพียงองค์หญิงที่มี เรียกว่าทรงองค์หญิงจินเหยา”
องค์หญิงจินเหยาผงะ ก่อนจะยิ้มออกมา ยิ้มด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
นางในอดมองเฉินตันจูไม่ได้ เหตุใดเฉินตันจูนี้จึง…ปากหวานเช่นนี้
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ องค์หญิงจินเหยาเดินออกมาอีกครั้ง เหล่าฮูหยินตระกูลฉางและคนอื่นล้วนรอคอยอยู่ในโถงใหญ่ ทุกคนต่างรอคอยด้วยความกังวลใจ ถึงแม้เหล่าฮูหยินตระกูลฉางและเหล่านายหญิงจะกำชับหลายครั้ง แต่ภายในโถงใหญ่ยังคงเสียงดัง เรื่องเช่นนี้น่ากลัวเกินไป เฉินตันจูตีแม้กระทั้งองค์หญิง…
แต่เหตุใดจึงไม่มีองครักษ์หลวงมาจับเฉินตันจูไป คุณชายโจวผู้นั้นเล่า? ไม่สนใจหรือ คุณชายโจวหายไปแล้ว ไม่แน่ว่าเขากำลังไปเรียกองครักษ์หลวง…
สุดท้ายฮูหยินของตระกูลฉางและเหล่านายท่านจึงไม่สนใจเสีย ไม่สนใจคำวิจารณ์ของผู้อื่น เป็นกังวลเรื่องของตนเอง องค์หญิงจินเหยาถูกเฉินตันจูตีในงานเลี้ยงของตระกูลพวกเขา
องค์หญิงจินเหยาเดินออกมา ภายในโถงเงียบสงัดลงทันที สายตาทุกคนจับจ้องไปบนตัวของนาง ดวงตาขององค์หญิงสดใส มุมปากมีรอยยิ้ม มีชีวิตชีวาเสียยิ่งกว่าตอนเดินทางมาถึง จากนั้นสายตามองไปยังเฉินตันจูที่อยู่ข้างหลังขององค์หญิง เฉินตันจูไม่มีความเปลี่ยนแปลงอันใดจากตอนมา ยังคงมีใบหน้ายิ้มแย้ม นอกจากนี้ยังมีสายตาบางส่วนจับจ้องไปบนตัวของหลิวเวย อืม หญิงสาวนี้คือผู้ใดกัน คุณหนูผู้เป็นญาติของตระกูลฉาง? อยู่ข้างตัวองค์หญิงได้นานเพียงนี้…
“องค์หญิง” เหล่าฮูหยินตระกูลฉางนำทุกคนคารวะ น้ำเสียงสั่นเทา “หม่อมฉันมีโทษ”
องค์หญิงจินเหยายิ้ม “เหล่าฮูหยินตระกูลฉางไม่ต้องพูดเช่นนี้ งานเลี้ยงของท่านดีมาก ข้าสนุกมาก”
นางในหยิบถาดออกมาใบหนึ่ง นำเครื่องหยกสองชิ้นส่งไปยังด้านหน้าของเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง
“สิ่งนี้เป็นของตอบแทนที่เสด็จแม่ให้ข้านำมา” องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางและทุกคนในตระกูลฉางต่างคุกเข่าลงขอบพระทัยฮองเฮา หลังจากให้ลุกขึ้นมา องค์หญิงจินเหยาจึงขอตัว ทุกคนส่งองค์หญิงขึ้นราชรถที่หน้าประตู เหล่าคุณหนูจึงได้พบโจวเสวียนอีกครั้ง
โจวเสวียนขี่ม้าอยู่ท่ามกลางองครักษ์หลวงเหมือนตอนเดินทางมา คุณชายชนชั้นสูงท่าทางสง่างาม เหล่าคุณหนูลืมเรื่องประลองขององค์หญิงและเฉินตันจูไปชั่วคราว พวกนางสนทนาเรื่องโจวเสวียนขึ้นเสียงเบา
องค์หญิงจินเหยานั่งขึ้นไปบนรถม้า เฉินตันจูเดินขึ้นหน้าบอกลา
“หากเจ้าเข้าวังอีก อย่าไปหาแต่เสด็จพ่อ มาหาข้าบ้าง” องค์หญิงจินเหยาพูด
เฉินตันจูหัวเราะ เดินขึ้นหน้าพูดเสียงเบา “ฝ่าบาทอาจไม่ได้อยากพบหน้าหม่อมฉัน”
องค์หญิงจินเหยานึกถึงสาเหตุการเข้าวังของนางในแต่ละครั้งก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ นางนึกถึงคนคนหนึ่ง “เจ้าเหมือนกับพี่หกของข้า เสด็จพ่อปวดหัวทุกครั้งที่พบเขา…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลงราวกับรู้ว่าไม่ควรพูด
เฉินตันจูมีความอยากรู้ขึ้นมา องค์ชายหก? ฮ่องเต้ปวดหัวเมื่อพบองค์ชายหก? ปวดหัวแบบไหน
องค์ชายหกร่างกายอ่อนแอพบคนไม่ได้ คงไม่อาจก่อเรื่องได้กระมัง หรืออาจเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอ เมื่อเห็นบุตรของตนเองเป็นเช่นนี้ ผู้เป็นบิดามารดาย่อมปวดหัวเสียใจ
“ร่างกายขององค์ชายหกไม่ดีขึ้นเลยหรือเพคะ” นางถาม ก่อนจะปลอบประโลมองค์หญิง “ใต้หล้ากว้างเพียงนี้ ย่อมมีสักวันต้องหาผู้รักษาได้”
องค์หญิงจินเหยาตอบรับอย่างคลุมเครือ ก่อนจะถอนหายใจไม่สนทนาเรื่องนี้อีก “ข้าไปแล้ว พบกันครั้งหน้า”
เฉินตันจูคารวะองค์หญิง นางในปิดม่านลง ทุกคนคารวะอย่างพร้อมเพรียง มองดูขบวนขององค์หญิง
จินเหยาจากไปอย่างเชื่องช้า
เมื่อองค์หญิงจินเหยาจากไปแล้ว เฉินตันจูจึงขอตัวลา นางจูงมือของหลิวเวย “ครั้งหน้าข้ามาหาใหม่”
หลิวเวยตอบรับ ก่อนจะยืนส่งนางพร้อมเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง มองดูรถม้าของเฉินตันจูเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนเดินทางมา
องค์หญิงและเฉินตันจูล้วนจากไปแล้ว คนอื่นย่อมไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ตระกูลฉางต่อ พวกเขาต่างขอตัวลากลับ ด้านหน้าจวนของตระกูลฉางเต็มไปด้วยรถม้าอีกครั้ง เหล่าฮูหยิน คุณหนู และคุณชายจากไปด้วยความกังวลและตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าตอนเดินทางมา
เรื่องนี้ย่อมต้องถูกแพร่กระจายไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเรื่องสนทนาของทุกคนทั้งเช้าทั้งเย็น
แขกต่างจากไปแล้ว คนของตระกูลฉางไม่สนใจความเหน็ดเหนื่อย พวกเขาต่างล้อมหลิวเวยเอาไว้ “คุณหนูเวยเวย เกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน”
หลิวเวยมองดูทุกคนตรงหน้า ถึงแม้นางจะเติบโตในจวนของท่านยาย แต่ตั้งแต่เล็กจนโต ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ถูกคนจำนวนมากเช่นนี้จ้องมองด้วยความกระตือรือร้นภายในตระกูลฉาง