“เฮ้อ”
วินาทีที่เขานอนลงบนเตียง เขาก็รู้สึกว่าร่างกายถูกดูดลงไปข้างล่าง วันนี้เป็นวันที่แค่คำว่าเหนื่อยยังไม่พอด้วยซ้ำ เขาจะต้องเช็ดผมให้แห้งก่อนถึงจะนอนได้ แต่เขาไม่มีแรงที่จะทำแบบนั้นเหลืออยู่แล้ว
ในห้องอัดเสียงอินซอบเอาเก้าอี้สองตัวมาวางติดกัน เขานอนเอนหลังและฟังการอัดเสียงของอีอูยอน ในตอนที่กลับมาที่บริษัทเพื่อเอารถมาคืนหลังจากที่อัดเสียงเสร็จ พวกเขาก็ถูกล้อมไปด้วยนักข่าวอย่างที่พูด พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากพนักงานคนอื่นๆ ในบริษัท และเข้ามาในตึกได้อย่างยากลำบาก พวกเขาเจอกับกรรมการผู้จัดการคิมที่เต็มไปด้วยความแค้นที่นั่น
‘ทำไมรถถึงเป็นแบบนี้ แผลนี้คืออะไร พวกนายขับรถยังไงกันแน่ เจ้านี่ถึงได้เจ็บป่วยขนาดนี้!’ กรรมการผู้จัดการคิมเดินวนไปรอบๆ รถพร้อมกับบ่นไปด้วย อินซอบใจฝ่อและพูดขอโทษอีกฝ่ายว่า ‘ขอโทษครับ’
‘อินซอบ นายทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง’
กรรมการผู้จัดการคิมกอดฝากระโปรงรถของเฟอร์รารี่พลางกรีดร้องออกมา ต่อให้มีสิบปาก เขาก็ไม่มีอะไรจะพูด อินซอบนึกถึงจำนวนเงินในสมุดบัญชีที่ตัวเองเก็บรวบรวมไว้ทุกครั้งที่ว่าง วินาทีที่เขาตัดสินใจว่าจะยกเงินทั้งหมดให้พร้อมกับขอโทษกรรมการผู้จัดการคิมด้วยความจริงใจ อีอูยอนที่หายไปสักพักก็โผล่มา
‘รถสบายดีหรือเปล่าครับ’
สีหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมนิ่งขึ้นมาทันทีเพราะคำพูดของอีอูยอน อินซอบห่อไหล่และก้มหน้ายิ่งกว่าเมื่อสักครู่นี‘อีอูยอน นายเป็นคนขับเหรอ’
‘…ขอโทษครับ’
อินซอบยอมรับกับคำถามนั้นเสียงเบา กรรมการผู้จัดการคิมมองอีอูยอนก่อนจะพูดกระท่อนกระแท่นว่า ‘นาย นาย’
‘โล่งอกใช่ไหมล่ะครับ’
‘ว่าไงนะ’
‘ก็ประตูยังอยู่ทั้งสองข้างไงครับ’
เสียงนั้นฟังดูราวกับช็อกโกแลตราคาแพงที่ถ้าหลับตาและเอาเข้าปากจะได้ยินเสียงแตรขอสวรรค์ อีอูยอนยิ้มตาหยีก่อนจะคว้าแขนอินซอบแล้วพูดว่า ‘ไปก่อนนะครับ’ วินาทีนั้นอินซอบสามารถอ่านการร้องไห้คร่ำครวญที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของกรรมการผู้จัดการคิมออกโดยไม่พลาดไปสักคำ
‘…อินซอบ นายทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง…?’
อินซอบได้แต่ขยับปากพูดขอโทษอยู่ในระหว่างที่โดนอีอูยอนลากไป พอจะไปที่รถตู้ อีอูยอนก็หยิบกุญแจรถที่มีตัว M ติดไว้ออกมาจากกระเป๋า นั่งคันนี้ไปกันเถอะครับ อีอูยอนเดินไปที่รถไมบัคที่กรรมการผู้จัดการคิมรักเป็นอันดับสองโดยไม่ให้โอกาสอินซอบได้ตอบ อีอูยอนบอกว่ามีธุระ แต่ดูเหมือนธุระที่ว่าจะเป็นการไปเอากุญแจรถยนต์มาจากห้องทำงานของกรรมการผู้จัดการคิม แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะวิ่งร้องไห้เข้ามาหา แต่อีอูยอนก็สตาร์ทรถ และขับรถออกไปจากลานจอดรถโดยไม่ลังเล แน่นอนว่าพาชเวอินซอบไปด้วย
พออินซอบถามว่าทำไมถึงทำแบบนั้น อีอูยอนก็ชี้ไปที่บท เขาคิดว่าการที่กรรมการผู้จัดการคิมสั่งให้อินซอบเอาบทมาให้เขาเป็นเรื่องน่ารังเกียจ อินซอบไมอาจพูดอะไรได้เลย ตอนที่มาถึงบ้านของอีอูยอน พวกเขาก็ถูกล้อมด้วยกลุ่มของนักข่าวที่เข้ามารุมอีกครั้ง แต่เรื่องโชคดีก็คือพวกนั้นไม่สามารถตามเข้ามาจนถึงด้านในของลานจอดรถได้ พวกเขาจึงสลัดพวกนักข่าวทิ้งไปได้อย่างหวุดหวิด
‘พรุ่งนี้น่าจะหนักกว่านี้นะครับ’
อีอูยอนี่ลงจากรถด้วยรอยยิ้ม อินซอบอยากจะให้อีกฝ่ายถอนคำพูดเดี๋ยวนี้ เขาส่ายหน้าไปมา หลังจากพาอีอูยอนไปส่งและกลับไปที่บ้านก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ทันทีที่กลับไปถึงเขาจะให้อาหารแมว และกว่าเขาจะอาบน้ำและเข้านอนก็ตีหนึ่งแล้ว แม้จะเคยจัดการกับตารางงานที่แน่นมากกว่านี้จนเทียบไม่ได้มามากมาย แต่วันนี้เขาเหนื่อยล้าทางจิตใจด้วย เขาจึงรู้สึกเหนื่อยมากขึ้น
“…จะตายแล้ว”
พรุ่งนี้เป็นวันจัดแถลงข่าว เขาต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้า อินซอบควานหาโทรศัพท์มือถือตรงข้างเตียง เขากำลังจะตั้งนาฬิกาปลุก แต่ก็มีสายเข้ามา
เป็นอีอูยอนนั่นเอง
“ครับ สวัสดีครับ”
อินซอบลุกจากที่ และรับโทรศัพท์
[นอนอยู่เหรอครับ]
“เปล่าครับ”
[เปล่าอะไรล่ะครับ เสียงคุณง่วงแล้วนะ]
เสียงของอีอูยอนก็เหนื่อยเหมือนกัน เพราะเขากำลังนอนอยู่บนเตียง
“กำลังจะนอนแล้วครับ”
[ทำอะไรอยู่ครับถึงได้นอนเอาป่านนี้ คุณกลับไปได้สักพักแล้วนี่นา]
“ก็ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อยน่ะครับ ก็เลยเป็นแบบนี้”
[มัวแต่ให้อาหารแมวเหรอครับ]
อินซอบค่อยๆ นอนลงบนเตียงพร้อมกับตอบว่า ‘ครับ’
[ทำไมถึงให้แต่แมวพวกนั้นล่ะครับ ผมเองก็หิวเหมือนกันนะ]
อินซอบเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้ามีของที่อยากกิน ให้ผมซื้อไปให้ไหมครับ”
[ของที่อยากกินน่ะมีครับ แต่เพราะกินไม่ได้ก็เลยเป็นปัญหา]
“…”
ความรู้สึกไม่สบายใจว่าของที่ว่ามีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่จะหมายถึงตนเองจู่โจมอินซอบอย่างกะทันหัน
วันนี้อีอูยอนก็รั้งอินซอบไว้และชวนให้นอนค้าง และประเด็นสำคัญของยืนกรานก็คือ ‘ถ้าพรุ่งนี้ต้องมารับตั้งแต่ตอนเช้า ก็น่าจะเหนื่อยแท้ๆ ทำไมถึงต้องไปถึงที่นั่นด้วย’ อันที่จริงถ้าลองคิดโดยการตัดเรื่องความสัมพันธ์ทิ้งไป ความคิดเห็นของอีอูยอนนั้นถูกต้อง แต่ถ้าพิจารณาจุดประสงค์ที่อยู่บนพื้นฐานนั้นแล้ว นี่เป็นข้อเสนอที่ห้ามตกลงเด็ดขาด
[จะให้ผมกินของที่ผมอยากกินได้ไหมครับ]
“…ถ้ากินอะไรตอนดึกจะไม่ย่อยนะครับ”
อินซอบปฏิเสธกลับไปอย่างมีมารยาทที่สุด เขาได้ยินเสียงหัวเราะของอีอูยอนจากปลายสาย อินซอบปรับการจับโทรศัพท์ พอได้หลับตาและฟังเสียงของอีอูยอนแบบนี้ เขาก็รู้สึกว่าความเหนื่อยล้านั้นหายไปเล็กน้อย
[คิดถึงครับ]
“…!”
เลือดไหลมารวมกันที่หัวใจเพราะคำสารภาพที่กะทันหันนั้น อินซอบกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตัก จึงใช้ผ้าห่มห่อตัวเอาไว้
[คิดถึงนะครับ]
“…ผมก็เหมือนกันครับ”
อินซอบตอบด้วยเสียงที่เบาที่สุด เพราะกลัวว่าใครจะมาได้ยิน เขารู้สึกจั๊กจี้เท้าที่ออกไปนอกผ้าห่ม
[แล้วทำไมถึงไปล่ะครับ ทำให้ยุ่งยากกันทั้งสองฝ่ายเปล่าๆ]
เป็นน้ำเสียงที่แฝงการตำหนิเบาๆ
“เรื่องนั้น…”
ถ้าหากนอนและเตรียมตัวที่บ้านของอีอูยอน เขาจะสามารถนอนได้มากขึ้นอีกสองชั่วโมง แล้วเขาก็จะได้มองคนรักที่คิดถึงอย่างเต็มที่ด้วย เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แต่คุณภาพของการนอนหลับกลับไม่เป็นแบบนั้นเลย
เพราะเห็นแก่อินซอบ พวกเขาจึงมีอะไรกันแค่สัปดาห์ละครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้เวลาหลายๆ คืนด้วยกันอย่างเรียบร้อย พวกเขาแค่ไม่ได้สอดใส่เท่านั้น แต่ทำสิ่งต่างๆ ที่น่าจะทำได้ทั้งหมด แน่นอนว่ามีคืนที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ในวันแบบนั้นอีอูยอนก็จะกอดอินซอบไว้ไม่ยอมปล่อย อีกฝ่ายมักจะกัดติ่งหูหรือคอ หรือไม่ก็บีบนวดช่วงล่างของเขาทั้งคืน และวันถัดมาช่วงล่างของเขาก็ถูกถูเสียจนนั่งดีๆ ได้ลำบาก
“เรื่องนั้นน่ะ…”
[ไม่สะดวกใจที่จะนอนกับผมเหรอครับ]
“เปล่านะครับ เพราะจะมีอุปสรรคต่อตารางงานในวันถัดไปไม่ได้ ผมก็เลยกลับมานอนที่นี่ครับ เราจะสายไม่ได้”
[ไม่สะดวกใจจริงๆ ด้วยสินะครับ]
อีอูยอนย่อคำชี้แจงที่ยาวมากๆ ของอินซอบลงง่ายๆ แม้อินซอบจะพยายามหาคำพูดอื่นมาแทน แต่จังหวะที่จะตอบก็จากไปไกลแล้ว
[ทำยังไงดีล่ะครับ คุณไม่สะดวกใจซะแล้ว]
น้ำเสียงดูกังวลจากใจจริงๆ
“มะ ไม่ได้ไม่สะดวกใจขนาดนั้นนะครับ พอดีผมมีนิสัยที่นอนคนเดียวมาตลอดอยู่แล้ว ก็เลย…”
[ฮ่าๆๆๆ]
อีอูยอนหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันหยุดลงอย่างไม่มีเค้าลางเหมือนกับฝนไล่ช้างในช่วงฤดูร้อน
[ก็ลองไม่มีนิสัยแบบนั้นดูสิ]
อินซอบเผลอคู้ตัวอยู่ในผ้าห่มโดยไม่รู้ตัว
เรากำลังคุยโทรศัพท์กับคนรัก และคนคนนี้ก็ชอบเราจริงๆ แต่…ทำไมถึงได้รู้สึกหนาวขนาดนี้นะ
[แต่ถึงยังไงคุณอินซอบเองก็ต้องเริ่มชินตั้งแต่ตอนนี้ได้แล้วนะครับ]
“ผมจะพยายามครับ”
[ผมจะทำอะไรเพื่อผู้จัดการส่วนตัวของผมที่พยายามจะนอนข้างๆ ผมดีล่ะครับ ผมร้องเพลงกล่อมพอได้ไหมครับ]
“ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ”
[อ่านหนังสือให้ฟังไหมครับ]
เขาควรจะปฏิเสธทันที แต่อินซอบกลับลังเลไปครู่หนึ่ง
[หนังสือเล่มไหนดีครับ]
“มะ ไม่ต้องหรอกครับ คุณจะเหนื่อยนะ ไม่เป็นไรครับ”
แม้อินซอบจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจอย่างเต็มที่ แต่เขาก็ได้ยินเสียงเป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังลุกขึ้นดังมาจากปลายสาย
[อันไหนดีครับ]
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยืนอยู่หน้าชั้นวางหนังสือ
“คือ…เคยอ่านเรื่อง ‘การท่องเที่ยวไม่มีที่สิ้นสุด’ ไหมครับ”
[ไม่ครับ สนุกเหรอครับ]
“ครับ ผมอ่านอย่างสนุกเลยล่ะครับ”
[ดูเหมือนผมจะเคยเห็นหนังสือเล่มนั้นที่ชั้นวางหนังสือของคุณอินซอบนะครับ ไว้ผมจะขอยืมนะ]
แม้จะเป็นคำพูดที่เหมือนกับในอดีต แต่น้ำหนักของสัญญากลับต่างไปอย่างชัดเจน อินซอบหายใจไม่ออกอย่างน่าประหลาด เขาเอาหน้าออกจากหมอน และสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ อากาศในตอนกลางคืนของช่วงต้นฤดูร้อนที่เย็นสบายลอยเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้
[หนังสือที่อ่านวันนี้เป็นยังไงบ้างครับ]
“ดีครับ”
เขาถูกใจถึงขนาดที่สั่งนิยายต้นฉบับมาที่บ้านในระหว่างทางกลับบ้านทั้งๆ ที่สติขาดๆ หายๆ
[อืม ถ้าอ่านหนังสือที่เคยอ่านแล้วจะไม่สนุกหรือเปล่า]
“ไม่ครับ ผมชอบครับ ผมชอบมากจริงๆ ผมชอบงานครั้งนี้มากที่สุดในบรรดาหนังสือเสียงที่คุณเคยอัดเสียงมาเลยครับ”
อีอูยอนหัวเราะเบาๆ เพราะพอใจกับปฏิกิริยาของอินซอบ
[บางครั้งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับว่าคุณอินซอบชอบผม หรือว่าชอบนักแสดงอีอูยอน]
“ก็ต้อง…”
[ช่วยชอบผมมากกว่าหน่อยนะครับ]
อินซอบตอบเสียงเบาว่า ‘ครับ’ อีอูยอนคงจะนั่งลงบนเตียงอีกครั้งแล้ว เขาถึงได้ยินเสียงพลิกหน้าหนังสือ
[หลับตานะครับ]
อินซอบทำตามที่อีกฝ่ายสั่งอย่างว่าง่าย อีอูยอนเริ่มอ่านหนังสือ เป็นน้ำเสียงที่สงบนิ่งโดยไม่มีการสั่นไหวราวกับทะเลลึก
พอเขานอนหลับพร้อมกับฟังเสียงของอีกฝ่ายไปด้วย ความรู้สึกก็ซัดสาดเข้ามาเหมือนน้ำ
เราชอบคนคนนี้จริงๆ สินะ
เขารับรู้ถึงความรู้สึกนี้มาหลายครั้งแล้ว ในขณะที่ผิวน้ำที่ระยิบระยับด้วยแสงแดดค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ สติของอินซอบก็ถูกซ่อนไว้ข้างใต้นั้น
***
“…”
ตอนที่ลืมตาขึ้นมา ความรู้สึกไม่สบายใจว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติก็จู่โจมตัวเขาอย่างกะทันหัน อินซอบควานหาโทรศัพท์มือถือจากใต้หมอนด้วยความเคยชิน แม้จะเห็นหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้ว แต่เขาก็ยังเหม่อลอย และกะพริบตาปริบๆ อยู่พักหนึ่ง เหมือนกับเขาพลาดอะไรบางอย่างที่สำคัญไป…
“เฮือก!”
อินซอบใช้เท้าแตะผ้าห่มพลางลุกขึ้น เขามองนาฬิกาอีกรอบ ตอนนี้เลยสิบเอ็ดโมงมาแล้ว
“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว…ผมกับเสื้อผ้า…ไม่สิ ใครจะขับรถล่ะ…”
วันนี้เป็นวันแถลงข่าวของภาพยนตร์ที่อีอูยอนถ่ายเสร็จไปเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาเชิญนักข่าวมาหลังจากกำหนดวันเปิดกล้อง และนี่ก็เป็นงานสำคัญสำหรับการโปรโมท
“ทำไมนาฬิกาถึงไม่ปลุกล่ะ ฮือ จะทำยังไงดี”
ดูเหมือนเขาจะหลับไปในระหว่างที่คุยโทรศัพท์กับอีอูยอนเมื่อวาน เขาแพนิกและจับจุดไม่ถูกแล้วว่าควรจะต้องเริ่มทำอะไรก่อน
“ต้องติดต่อไป ติดต่อ…”
อินซอบมองโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่มีข้อความจากอีอูยอนเข้ามาพอดี
[คุณคงจะเหนื่อยก็เลยไม่ตื่น ไม่ต้องรีบมานะครับ]
ด้านล่างข้อความนั้นมีสถานที่จัดงานแถลงข่าวเขียนไว้อยู่
“ฮือ…”
อินซอบวิ่งไปห้องน้ำทั้งๆ แบบนั้น เขาอาบน้ำอย่างรวดเร็วและกระโดดออกมา เขาใส่เสื้อผ้าตามแต่ที่จะหยิบได้ และคว้าโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์มา
“อ๋อ แล้วก็ แล้วก็…”
อินซอบโทรศัพท์หาอีอูยอน
[ตื่นแล้วเหรอครับ]
น้ำเสียงนั้นมีเสียงหัวเราะปนอยู่
“ขอโทษนะครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”
[ค่อยๆ มาก็ได้ครับ ตอนนี้ยังไม่มีงานให้ทำหรอก]
“วันนี้คุณต้องเดินทางลำบากแน่เลย ขอโทษนะครับ”
[ไม่หรอกครับ ผมมาถึงอย่างสบายมากเลยครับ เพราะกรรมการผู้จัดการขับรถให้ อ๋อ กรรมการผู้จัดการเขาเพิ่งไปเมื่อกี้นี้เองครับ]
“…”
อินซอบที่กำลังใส่รองเท้ากลั้นหายใจ พอนึกถึงกรรมการผู้จัดการคิมที่โดนเรียกตัวตั้งแต่รุ่งสาง เขาก็ทำตัวไม่ถูกเพราะความรู้สึกผิด อีอูยอนหัวเราะพร้อมกับบอกว่า ‘ตอนนี้ต้องไปแล้วครับ’ ก่อนจะวางสายไป เขาก็ใส่รองเท้าเสร็จและออกจากบ้านพอดี
วันนี้เป็นวันที่แจ่มใสจนเขาแสบตา
“…ผมผิดเองครับ”
อินซอบพึมพำคำขอโทษที่ไม่รู้เลยว่าพูดให้ใครฟังด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด