บทที่ 166 พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน พลังที่ซ่อนเร้นนั้นลึกล้ำเกินไป
จนกระทั่งก้าวเข้าสู่เส้นทางสังสารวัฏ แค่นี้สิ่งมีชีวิตทั้งสองตนก็รู้สึกโล่งใจ
แดนเบื้องล่างนั้นน่ากลัวเกินไป!
พวกเขาลงไปยังไม่ทันได้พบเป้าหมายด้วยซ้ำ กลับต้องเสียเนื้อหนังมังสาไป เหลือเพียงวิญญาณเท่านั้นที่หนีรอดออกมาได้
นี่เป็นการตอบสนองที่รวดเร็วของพวกเขา
หากช้ากว่านี้ จิตวิญญาณของพวกเขาจะไม่สามารถหลบหนีได้…
พวกเขากลับไปยังที่เดิมอย่างรวดเร็ว กลับสู่อาณาจักรที่พวกเขาอยู่ หวนกลับไปยังตำหนักโบราณที่เชื่อมกับเส้นทางสังสารวัฏนี้
“ท่านเจ้าตำหนัก พวกเราอาจเข้าใจผิด ที่แห่งนั้นดูไม่เหมือนแดนระดับล่างเลย มันน่ากลัวเกินไป ผู้คนมียอดศาตรากันครบมือ ซ้ำยังเป็นศาตราที่แข็งแกร่งมาก หาได้ด้อยกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิเลย!”
“ใช่แล้ว ท่านเจ้าตำหนัก ที่นั่นมีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน พลังที่ซ่อนเร้นนั้นลึกล้ำเกินไป ขนาดต้นหลิวหรือแม้แต่ก้อนหินนอกเมืองปุถุชนยังมีพลังที่เหนือจินตนาการ ยากจะมีผู้ใดเทียบได้!”
ทั้งสองเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในแดนเบื้องล่างนั้น ยิ่งพูดก็ยิ่งน่าหดหู่ใจ!
สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในแดนเบื้องล่างช่างน่าเวทนาเหลือเกิน…
“พูดอันใดของพวกเจ้า…ไร้สาระ!”
หลังจากฟังรายงานของสิ่งมีชีวิตทั้งสอง นายตำหนักก็ตบพวกเขา ฝ่ามือนี้เกือบจะฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองในทันที และยังเกือบทำให้วิญญาณของพวกเขาแตกสลาย!
ท่านเจ้าตำหนักหรือนายตำหนักผู้นี้ทั่วร่างถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกแปลกประหลาด จนไม่อาจมองเห็นใบหน้าและการแสดงออกของเขาได้อย่างชัดเจน
ทว่าก็ยังดูออกว่าอารมณ์ของเขาในตอนนี้ดูไม่มีความสุขนัก
แดนเบื้องล่างเล็ก ๆ นั่นจะมียอดศาสตรากันครบมือ ซ้ำยังแข็งแกร่งกว่าอาวุธของมหาจักรพรรดิได้อย่างไร?
พวกเขาพูดอีกว่าแม้แต่ต้นหลิวหรือก้อนหินนอกเมืองปุถุชนยังมีพลังที่เหนือจินตนาการ ยากจะมีผู้ใดเทียบได้
เจ้าสองตนนี้คิดว่า สามารถพูดโป้ปดหรือหลอกลวงนายตำหนักเช่นข้าได้ง่ายเพียงนั้นเลยหรือ?
เดิมทีในแดนเบื้องล่างก็จำนวนอาวุธมหาจักรพรรดิมีจำกัดอยู่แล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชิ้นส่วนอาวุธมากมายปานนั้น…
“ที่พวกข้าพูดล้วนเป็นเรื่องจริง…”
“ท่านเจ้าตำหนัก ท่านดูสิ!”
ทั้งสองรีบดึงความทรงจำทั้งหมดของตนเองในช่วงระหว่างอยู่แดนเบื้องล่างออกมาให้นายตำหนักตรวจสอบ เพื่อพิสูจน์ว่าที่พวกเขาพูดหาใช่เรื่องโกหก
นายตำหนักไม่ได้พูดสิ่งใด หลังจากดูจบ เขาเพียงเงียบไปเท่านั้น
แดนเบื้องล่างนี้ช่างน่ากลัวโดยแท้ ผู้คนที่สิ่งมีชีวิตทั้งสองได้พบเจอล้วนแล้วแต่น่าทึ่ง ซ้ำยังมียอดศาสตราเหนือจินตนาการกันครบมือ!
“นี่ถือเป็นการท้าทายพวกเราใช่หรือไม่”
หลังจากนั้นไม่นาน นายตำหนักพลันเอ่ยเสียงเย็นชาออกมา
มียอดศาสตรากันครบมือ?
จะเป็นไปได้อย่างไร!
เขารู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองตนกำลังตกเป็นเป้าหมายของใครบางคน จริง ๆ แล้วการเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญนั้นมีคนวางแผนไว้!
มิฉะนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่สิ่งมีชีวิตทั้งสองตนจะได้พบกับผู้มียอดศาสตราเหนือจินตนาการ?
ต้องทราบว่าในแดนเบื้องล่างมียอดศาสตราไม่มากนัก!
นี่ต้องเป็นแผนการที่ถูกวางมาอย่างดีแน่!
“บุคคลนี้กำลังกล่าวเตือนเราอยู่ เตือนไม่ให้พวกเรายุ่งกับผู้บรรลุสังสารวัฏอีก…”
ท่านเจ้าตำหนักยิ้มเย็นชาพลางพูดว่า “เขาไม่ได้จะฆ่าพวกเจ้า แต่แค่อยากให้พวกเจ้ากลับมาเพื่อส่งต่อข้อความนี้”
สิ่งมีชีวิตทั้งสองรอดกลับมาได้ นับว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง
แต่ในความคิดของเขา… ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหาใช่เช่นนั้น!
นี่เป็นเพราะคนผู้นั้นตั้งใจไม่ฆ่าทั้งสอง แต่จงใจปล่อยทั้งสองกลับมาหาเขา
“ทั้งฆ่าสุนัขสังสารวัฏ ทั้งส่งความนัยมาถึง เหอะ… หาญกล้าคิดท้าทายข้าหรือ?”
นัยน์ตาของนายตำหนักเย็นเยียบยิ่ง ตัวตนเช่นเขาสามารถท้าทายได้ง่ายเพียงนั้นเลยหรือ?
อาณาจักรแห่งสังสารวัฏคงอยู่ตลอดไป และวงจรของสังสารวัฏทุกวงจรที่ขยายออกไปจะเชื่อมต่อกับทุกอาณาจักร
อาณาจักรเก้าตอนบนก็ไม่มีข้อยกเว้น
ซ้ำยังมีเส้นทางสังสารวัฏกับอาณาจักรแห่งสังสารวัฏอีกด้วย!
ในสมัยโบราณกาลเวลาที่ผ่านมาได้มีผู้ยิ่งใหญ่ที่ก้าวย่างสู่วงจรสังสารวัฏแล้ว จึงได้รู้ว่าความจริงว่าวงจรสังสารวัฏนั้นไม่ได้เป็นไปตามที่เล่าลือกัน
พวกเขามีอำนาจมาก บังคับให้ทำลายเส้นทางสังสารวัฏจนเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางที่ถูกต้อง และเกิดสังสารวัฏใหม่นอกสังสารวัฏ
แต่คนเหล่านี้ล้วนถูกจับโดยสังสารวัฏอย่างไร้ข้อยกเว้น
สิ่งมีชีวิตที่ก้าวเข้าสังสารวัฏ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะท้าทายและทรงพลังเพียงใด สุดท้ายแล้วจะไม่สามารถหลบหนีการควบคุมของสังสารวัฏและต้องกลับไปยังสังสารวัฏเท่านั้น!
“ตำหนักข้าดันมีเรื่องเช่นนี้ได้ หากไม่แก้ ตำหนักอื่นจะไม่หัวเราะเยาะข้าเอาหรอกหรือ?”
มีตำหนักโบราณนับพันแห่งในอาณาจักรสังสารวัฏนี้
ตำหนักโบราณแต่ละแห่งมีหน้าที่ในเส้นทางสังสารวัฏ
ตำหนักโบราณที่ดูแลอาณาจักรเก้าตอนบนและอาณาจักรที่ทรงพลังอื่น ๆ ไม่เคยเกิดเรื่องเกิดราว แต่ตัวข้า นายตำหนักผู้ดูแลแดนเบื้องล่างกลับเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นได้ หากเรื่องนี้หลุดออกไป ตัวข้าก็ไร้ความสามารถเกินไปแล้ว…
เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้นได้!
“ทูตสังสารวัฏอยู่ที่ใดกัน” นายตำหนักกล่าวคำขึ้นมา
“เรียนท่านเจ้าตำหนัก ข้าอยู่นี่!”
หมอกสีดำลอยละล่องออกมาจากตำหนัก ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าและทำความเคารพต่อนายตำหนัก
“ไปเอาตัวผู้บรรลุสังสารวัฏคนนั้นกลับมา นอกจากนี้ข้าต้องการรู้ให้ได้ว่า มันผู้ใดที่ยั่วยุอาณาจักรแห่งสังสารวัฏของข้า หากเจอตัวแล้วจงกำจัดมันเสีย!”
นายตำหนักพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรแห่งสังสารวัฏไม่อาจแปดเปื้อนมลทินได้ ผู้ใดก็ตามที่กล้ายั่วยุอาณาจักรแห่งสังสารวัฏจักต้องชดใช้มัน!
“น้อมรับคำสั่ง!”
หลังรับคำสั่ง ทูตสังสารวัฏก็ออกจากตำหนักโบราณและย่างก้าวไปตามเส้นทางสังสารวัฏ
…
แดนบูรพาทิศ ณ ภูเขาจื่อเสีย
“ขอบคุณพี่สาวที่ช่วยพวกข้า!”
เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวขอบคุณอิสตรีในอาภรณ์สีขาวอย่างซาบซึ้ง
“พี่สาวเป็นคนดีจริง ๆ!”
“ขอบคุณท่านมาก ๆ!”
ถัดจากเด็กหญิงตัวน้อยก็ยังมีเด็กอีกเจ็ดคน พวกเขาสุภาพมากทั้งยังขอบคุณดรุณีในชุดขาวทีละคน
“ขอบคุณแม่นาง!”
“หากไม่มีแม่นาง พวกข้าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกหนึ่งเดือนในการไปถึงภูเขาจื่อเสีย!”
ผู้ปกครองที่ยืนอยู่ข้างกายเด็ก ๆ ก็แสดงความขอบคุณต่อเด็กสาวในชุดขาวด้วยความซาบซึ้งใจ
พวกเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชาวเมืองชิงซาน
เด็กทั้งแปดก็ไม่ใช่ใครอื่น ทุกคนได้ฟังคุณชายหลี่เล่าเรื่องไซอิ๋วและสถาปนาเทวดา หลังจากนั้นพวกเขาจึงเกิดอยากฝึกตนขึ้นมา
สำนักไท่หัวได้เสร็จสิ้นการประเมินคัดเลือกศิษย์แล้ว และจะเปิดคัดเลือกศิษย์ใหม่อีกครั้งในอีกสามปีข้างหน้า
ทว่าพวกเขาไม่สามารถรอนานขนาดนั้นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงขอร้องให้พ่อแม่พาพวกเขาไปที่พรรคจื่อเสีย เพื่อเข้าร่วมการประเมิน
พรรคจื่อเสียกำลังจะเปิดรับลูกศิษย์
และภูเขาจื่อเสียก็คือสถานที่ที่ใช้ประเมินกับคัดเลือกศิษย์
“ไม่เป็นไร”
เด็กสาวในอาภรณ์สีขาวเพียงคลี่ยิ้มอ่อนโยน นางกล่าวว่า “ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะผ่านการทดสอบได้สำเร็จ ได้เป็นลูกศิษย์ของพรรคจื่อเสียและเป็นศิษย์น้องของข้า”
นางเป็นศิษย์ของพรรคจื่อเสีย ก่อนหน้าได้ออกเดินทางทัศนาจรและระหว่างทางกลับพรรคจื่อเสีย ก็ได้พบกับเด็กหญิงตัวน้อยและเด็กคนอื่น ๆ
หลังจากที่นางได้ยินว่าเด็กหญิงตัวน้อย และคนอื่น ๆ กำลังจะเข้าร่วมการประเมินศิษย์ นางจึงพาพวกเขามาที่ภูเขาจื่อเสีย
สิ่งนี้ช่วยร่นระยะเวลาเดินทางของเด็กหญิงตัวน้อยและคนอื่น ๆ มากขึ้น
หากปราศจากความช่วยเหลือของนาง พวกเขาจะต้องเดินทางมาที่นี่อย่างน้อยอีกหนึ่งเดือน
“ตกลง! พวกข้าจะพยายามอย่างเต็มที่แน่!”
“ฮิ ๆ พวกข้าอยากเป็นศิษย์น้องของพี่สาวเช่นกัน!”
เด็ก ๆ ทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข
“พวกเจ้าน่ารักกันมาก…”
ดรุณีในชุดขาวลูบผมเด็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “พวกเจ้ารอที่นี่กันสักครู่ ประเดี๋ยวข้าจะไปบอกผู้อาวุโสให้ทดสอบความถนัดของพวกเจ้า”
“มิใช่ว่าต้องรออีกเดือนกว่าก่อนจะเริ่มประเมินคัดเลือกศิษย์หรือ?”
เด็กผู้หญิงตัวน้อยถาม
“เดิมทีก็เป็นเช่นนั้น…”
เด็กสาวในชุดขาวมองไปรอบ ๆ ใบหน้าของนางดูเศร้าเล็กน้อยพลางเอ่ยคำ “ทว่าตอนนี้มีบางอย่างไม่เหมือนเดิม พวกเจ้าสามารถเข้ารับการประเมินได้เลย”
นางไม่พูดอะไรมาก เพียงให้เด็ก ๆ ทุกคนและผู้ปกครองรออยู่ข้างนอกสักครู่ จากนั้นนางก็เดินเข้าไปยังด้านในของพรรคจื่อเสีย