สีหน้าลู่เจียวมองดูแล้วยากคาดเดา นางแอบกัดฟันกรอด ดูซิว่านางกลับไปจะจัดการลู่กุ้ยอย่างไร ก็บอกเขาแล้วว่าอย่าให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ อย่าไปบอกเซี่ยอวิ๋นจิ่น เขาถึงกับยังไปบอกอีก
ลู่เจียวค่อยๆ ฉีกยิ้ม มองสวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เขาบอกแล้วว่าจะมารับข้า”
สวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อพยักหน้า เข้าใจทันที ที่แท้เป็นเช่นนี้
สวี่เซี่ยนเว่ยยิ้มกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ลู่เหนียงจื่อกับเซี่ยซิ่วไฉดีจริง”
สวี่เซี่ยนเว่ยกล่าวจบก็หันไปมองจางเหนียงจื่อ เหมือนจะบอกว่าวันหน้าข้าเองก็จะดีกับเจ้า
จางเหนียงจื่อแทบอยากจะค้อนใส่เขา ท่านเทียบกับเซี่ยซิ่วไฉไม่ได้สักนิดเลยไหม คนเขามีภรรยาคนเดียวมาตั้งแต่ต้น ส่วนท่าน อนุรับมาคนแล้วคนเล่า เทียบกับคนเขาได้อย่างไร
จางเหนียงจื่อไม่ได้สนใจสวี่เซี่ยนเว่ย หันไปสั่งสาวใช้ “ไปเชิญเซี่ยซิ่วไฉเข้ามา”
“เจ้าค่ะ ต้าเหนียงจื่อ”
สาวใช้ออกไปแล้ว
สาวใช้เชิญเซี่ยอวิ๋นจิ่นเข้ามาในเรือนบุปผาที่เรือนด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เพราะครอบครัวตนเป็นเหตุทำร้ายเซี่ยอวิ๋นจิ่นบาดเจ็บ ดังนั้นสวี่เซี่ยนเว่ยจึงลุกขึ้นออกไปรับเซี่ยอวิ๋นจิ่นเข้ามานั่งอย่างรู้สึกผิด
“อาการเซี่ยซิ่วไฉไม่เป็นไรแล้วหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้าเล็กน้อย “ดีขึ้นมากแล้ว”
เขากล่าวจบก็หันไปมองลู่เจียว แววตาดำเหมือนมีวาจาอยากจะพูดแต่ก็ชะงัก ไม่ได้พูดออกมาสักคำ เอาแต่จ้องมองลู่เจียว
ลู่เจียวเห็นท่าทางเขาเช่นนี้ก็ส่งยิ้มให้เขา
ความโมโหในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นพลันมลายหายไปทันที สีหน้าอบอุ่นราวกับลมวสันต์พร่างหยาดพิรุณ ไม่ได้มีแววกรุ่นโกรธแม้แต่น้อย
วันหน้าเกรงว่าเขาคงเป็นผู้ชายที่เห็นภรรยาก็เข่าอ่อน ทำแข็งกร้าวใส่ไม่ขึ้นแล้ว
แต่คิดภาพเช่นนี้แล้ว ในใจเขาก็รู้สึกหวานล้ำ
ที่แท้คนที่กลัวภรรยาพวกนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ว่ากลัว แต่เพราะพวกเขารักภรรยา ไม่อยากให้นางโกรธ
ในเรือนบุปผา ลู่เจียวกล่าวว่า “ข้าน่าจะหาตัวคนตระกูลสวี่ที่แพร่งพรายเรื่องของเจ้าออกไปแล้ว เจ้ารู้ไหมว่าผู้ใด”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบจ้องมองลู่เจียวถามว่า “ผู้ใด”
ลู่เจียวไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านนอก ตามมาด้วยเสียงชุลมุนวุ่นวาย
สวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อย่อมได้ยินเช่นกัน ทั้งสองคนโมโหจนแทบจะระเบิดออกมา ไม่เห็นว่ามีแขกหรือ โวยวายอะไรกันไม่จบไม่สิ้น
จางเหนียงจื่อมองไปยังสาวใช้ข้างกาย ออกคำสั่งว่า “เสี่ยวจื่อ ไปดูหน่อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เสี่ยวจื่อรีบวิ่งออกไป ครู่หนึ่งก็กลับมารายงาน “นายท่าน เหนียงจื่อ ไม่ได้การแล้ว จางเสี่ยวเหนียงจื่อถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ใบหน้าครึ่งซีกเต็มไปด้วยเลือด เสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อหายตัวไป เสื้อผ้าและเครื่องประดับนางก็หายไปด้วย”
สวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อสีหน้าย่ำแย่ทันที ทั้งสองคนมองลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างรู้สึกเกรงใจ กล่าวว่า “ขอโทษเจ้าทั้งสองด้วย ขายหน้าพวกเจ้าแล้ว”
กล่าวจบทั้งสองคนก็ลุกขึ้นเดินออกไป ลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็ลุกตามพวกเขาออกไปข้างนอกเช่นกัน
ลู่เจียวกระซิบกระซาบกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นมาตลอดทาง “เจ้ารู้ไหมคนที่แพร่งพรายความลับเจ้าคือผู้ใด”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองคนที่เขยิบเข้ามาใกล้ ในใจก็แอบเต้นแรง สมาธิก็เริ่มหวั่นไหว
“ผู้ใด”
ลู่เจียวรีบกล่าวว่า “เสิ่นซิ่ว”
ครั้งนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็ตกใจ รีบถามทันที “เจ้าว่าผู้ใดนะ”
“เสิ่นซิ่ว เสิ่นซิ่วคืออนุคนที่เก้าของสวี่เซี่ยนเว่ย เปลี่ยนชื่อเป็นเสิ่นเหลียน ก่อนหน้านี้สวี่ชิงอินมาคอยตามติดเจ้าไม่เลิก หากไม่เหนือความคาดหมาย น่าจะเป็นนางที่หลอกล่อ น่าจะคิดให้สวี่ชิงอินแย่งเจ้ามา ทำให้ข้าเสียเจ้าไป”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดลู่เจียว แววตาก็ส่องประกายน่ากลัว เขาอยากบอกว่า ข้าเป็นของเจ้า เจ้าไม่มีทางเสียข้าไป
แต่เขาไม่กล้าพูด
ลู่เจียวก็กล่าวต่ออีกว่า “หากไม่เหนือความคาดหมาย คนที่แพร่งพรายเรื่องเจ้าเป็นที่ปรึกษาหลังม่านของนายอำเภอหูน่าจะเป็นนาง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็พลันมีสีหน้าเย็นเยียบ
เขากับเสิ่นซิ่วผู้นี้ไม่เคยเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย อย่างมากก็เคยคุยกันในหมู่บ้านไม่กี่คำ นั่นยังเป็นเพราะเสิ่นซิ่วเอาแต่ตามติดเขา เขารำคาญก็เลยพูดกับนางไปสองสามคำ ปฏิเสธนางอ้อมๆ ว่าอย่าได้มาตามตื้อเขา
คิดไม่ถึงว่าหญิงผู้นี้ลับหลังจะนำความยุ่งยากใหญ่หลวงเช่นนี้มาให้เขา
สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นดุดันอย่างมาก เดินตามหลังสวี่เซี่ยนเว่ยและจางเหนียงจื่อไปกับลู่เจียว ตรงไปเรือนที่พักอนุตระกูลสวี่
แม้ว่าสวี่เซี่ยนเว่ยเป็นขุนนางเล็กๆ แต่บรรพชนตระกูลสวี่มีเงินทอง ตำแหน่งเซี่ยนเว่ยเขาก็ใช้เงินทองซื้อมา
ตระกูลสวี่ไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่อนุหลายคนก็อยู่รวมกันในเรือนหลังใหญ่ บรรพชนตระกูลสวี่มีคำสั่งว่าอนุให้กำเนิดบุตรจึงจะมีเรือนส่วนตัวได้ ตอนนี้นอกจากมารดาสวี่ชิงอินมีเรือนพักแยกแล้ว เสี่ยวเหนียงจื่อที่เหลือล้วนอยู่ร่วมกันในเรือนหลังใหญ่
ยามนี้เรือนหลังใหญ่อลหม่านกันไปหมด
คนไม่น้อยกำลังสุมหัวกันวิพากษ์วิจารณ์ พอสวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อมาถึง บรรดาอนุก็เข้าไปต้อนรับ “นายท่าน ต้าเหนียงจื่อ”
สวี่เซี่ยนเว่ยโมโหตวาดว่า “เกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ เกิดอะไรขึ้น”
อนุที่อายุมากสุดในกลุ่มก็ก้าวออกมา กล่าวว่า “นายท่าน จางเสี่ยวเหนียงจื่อถูกทุบตายในห้องเสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อ เสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อหายตัวไปแล้ว ทุกคนเดาว่าเสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อคิดหนี ถูกจางเสี่ยวเหนียงจื่อเห็นและขัดขวางไว้ ปรากฏถูกนางทุบตาย”
สวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อต่างมีสีหน้าดำคล้ำ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยินบ่าวรายงานยังคิดว่าจางเสี่ยวเหนียงจื่อเพียงแค่ถูกทุบบาดเจ็บสาหัส คิดไม่ถึงว่าถึงกับตายแล้ว
สวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อก้าวเข้าไปในห้องพักเสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อ
ลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็สบตากันทันที หากพิสูจน์ได้ว่าจางเสี่ยวเหนียงจื่อถูกเสิ่นซิ่วทุบตาย นางก็คือฆาตกร ครั้งนี้ไม่ต้องให้พวกเขาสองคนลงมือจัดการนาง นางย่อมมีแต่ตายสถานเดียว
ลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นตามสวี่เซี่ยนเว่ยสองสามีภรรยาเข้าไปในห้องเสิ่นซิ่ว
จางเสี่ยวเหนียงจื่อก็คือจ้าวเหอฮวา บุตรสาวที่มือปราบจ้าวรับมาเลี้ยงผู้นั้น ยามนี้ใบหน้านางครึ่งซีกเต็มไปด้วยเลือด ร่างเอียงพิงอยู่ที่ข้างเก้าอี้ พื้นเต็มไปด้วยเศษแจกันแตก นางไม่ขยับและไร้ลมหายใจไปแล้ว
สวี่เซี่ยนเว่ยมองจางเสี่ยวเหนียงจื่อ ก่อนจะหันไปมองลู่เจียวทันที กล่าวว่า “นางตายแล้วจริงหรือ”
ลู่เจียวเข้าไปตรวจดู รับรองว่าจางเสี่ยวเหนียงจื่อสิ้นลมแล้ว
ลู่เจียวมองนาง ไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรดี
ชีวิตดีๆ มาจากไปเช่นนี้ หากยอมแต่งกับหลู่ต้าหนิวไปดีๆ จะเกิดเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็ลุกขึ้นยืนมองสวี่เซี่ยนเว่ยกล่าวว่า “สิ้นลมแล้วอย่างแน่นอน ถูกคนทุบด้วยของแข็งสาหัส เสียเลือดมากไปจนตาย”
อย่าได้กล่าวถึงว่าสีหน้าสวี่เซี่ยนเว่ยย่ำแย่เพียงใด พร้อมกันนั้นเขายังแอบตัดสินใจว่า จากนี้ไปจะไม่รับอนุอีก แต่ละคนไม่มีดีสักคน
สวี่เซี่ยนเว่ยครุ่นคิดอย่างโมโห จางเหนียงจื่อพลันถามขึ้น “สาวใช้ประจำตัวจางเสี่ยวเหนียงจื่อล่ะ ทำไมไม่ติดตามรับใช้อยู่ข้างกายนาง”
จางเหนียงจื่อเพิ่งกล่าวจบ นอกห้องก็มีคนดึงตัวชุ่ยลวี้สาวใช้จางเสี่ยวเหนียงจื่อกับเสี่ยวหงสาวใช้เสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อเข้ามา สองคนมีสีหน้าซีดเผือด ตัวสั่นเทาไม่หยุด
พอเห็นสวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อ พวกนางพลันคุกเข่าลงร่ำไห้กล่าวว่า “นายท่าน ต้าเหนียงจื่อ เสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อเอาแจกันทุบจางเสี่ยวเหนียงจื่อ ตอนนั้นพวกบ่าวตกใจ ดังนั้น…”