ออกจากพระราชวังก็ขึ้นรถม้า ไท่ฮูหยินพูดเบาๆ “ฮองเฮาตรัสอะไรกับเจ้า”
สืออีเหนียงเล่าให้ไท่ฮูหยินฟังอย่างรวบรัด “…เรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่แปลกที่ฮองเฮาจะลังเล ท่านแม่อย่าได้โทษที่ข้าตัดสินใจเอง”
นางมองไท่ฮูหยินด้วยความไม่สบายใจ
ไท่ฮูหยินถอนหายใจแล้วตบมือนางเบาๆ “เจ้าพูดได้ดี แต่ต้องจำเอาไว้ว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง ต่อไปอย่าเสี่ยงเช่นนี้อีก”
เพราะนางอายุแค่สิบสี่ปี แต่กลับโน้มน้าวใจฮองเฮาได้ ต่อไปนางก็คงจะรู้สึกเย่อหยิ่ง มันไม่ดีต่อนางในอนาคต
สืออีเหนียงเห็นว่าไท่ฮูหยินไม่ได้กล่าวโทษนาง นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เพราะการกระทำครั้งนี้ของตัวเองไม่ได้รับการอนุญาต…
ความคิดวาบขึ้นมา รถม้าก็มาถึงหน้าประตูฉุยฮาจวนสกุลสวีแล้ว พวกนางเปลี่ยนเป็นรถลากแล้วไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน คุณชายสาม คุณชายห้า ฮูหยินสอง ฮูหยินสามและฮูหยินห้ารออยู่ที่นั่นอยู่แล้ว เห็นพวกนางเข้ามาพวกเขาก็รีบเดินเข้าไป ฮูหยินสามพูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อน “ฮองเฮาเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินตอบไม่ตรงคำถาม “นั่งลงพูดคุยกันเถิด” นางก็พูดกับสืออีเหนียง “เจ้าก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเถิด” จากนั้นก็ให้ป้าตู้ประคองเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องข้างใน
ทุกคนมองไปที่สืออีเหนียง
ไท่ฮูหยินไม่ได้พูดอะไร นางก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไร
เวลานี้ นางรู้สึกซาบซึ้งที่ไท่ฮูหยินให้นางกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อจะได้ไม่ถูกพวกเขาถามถึงสถานการณ์
สืออีเหนียงย่อคำนับให้คนที่อยู่ในห้อง จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋รอนางอยู่ที่ห้อง
นางเล่าเรื่องในพระราชวังให้สวีลิ่งอี๋ฟังอย่างรวบรัด
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็เลิกคิ้ว “เจ้ากล้าเกินไปแล้ว กล้าบอกให้ฮองเฮาบอกให้ข้าทำเช่นนั้น หากนางให้ข้าไปฆ่าไทเฮาจริงๆ ข้าก็ต้องไปฆ่าเช่นนั้นหรือ”
ครอบครัวต้องสามัคคีกัน สกุลกสวีมีฮูหยินสองที่ชาญฉลาด มีฮูหยินห้าที่มีไหวพริบ แล้วยังมีคุณชายสามที่จงรักภักดี ตอนนี้ก็รักษาโรคหัวใจของฮองเฮาได้แล้ว หากทุกคนอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะมีลมฝนอะไร เชื่อว่าจวนสกุลสวีก็จะสามารถฝ่าฟันไปได้
สืออีเหนียงอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
ตัวนางยังรู้ แล้วสวีลิ่งอี๋จะไม่รู้ได้เช่นไร
นางคิดว่าสวีลิ่งอี๋ก็น่าจะอารมณ์ดี เขาพูดเช่นนี้ ต้องเป็นการหยอกล้อกับนางแน่นอน ดังนั้นนางจึงยิ้ม “ท่านโหวมีความสามารถ แล้วยังมีศีลธรรม ข้าคิดว่าเรื่องแค่นี้ไม่ยากสำหรับท่าน”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา
คนผู้นี้ ทำหน้าตาเคร่งขรึมแล้วช่างดูน่ากลัวเสียจริง!
โชคดีที่ตัวเองไม่กลัว…
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็อดยิ้มไม่ได้
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” สวีลิ่งอี๋มองภรรยาของตัวเองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เราไปหาท่านแม่ด้วยกัน”
สืออีเหนียงย่อคำนับ เข้าไปยังห้องชำระกับปินจวี๋ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกไปหาไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋
ไท่ฮูหยินพึ่งออกมาจากห้องชำระ ฮูหยินสามกำลังรับใช้นางดื่มชา เห็นพวกเขาเข้ามา นางก็เรียกสาวใช้ไปยกเก้าอี้มา ทุกคนนั่งลงตามลำดับอีกครั้ง ตอนที่สาวใช้กำลังยกชาให้สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง ไท่ฮูหยินถึงพูดว่า “ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง ฮองเฮาแค่เป็นหวัด ตอนนี้หายดีแล้ว”
ทุกคนที่อยู่ในห้องล้วนแต่เป็นคนฉลาด ไม่มีใครเชื่อ ใบหน้าของพวกเขามีความตึงเครียด
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ
ฮูหยินสองได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “ท่านแม่ไปหาฮองเฮาในพระราชวังตั้งแต่เช้า ท่านคงจะเหนื่อยแล้ว ในเมื่อฮองเฮาไม่เป็นอะไร เช่นนั้นเราก็กลับกันเถิด!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ
ฮูหยินสามเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้ารีบร้อน นางขยิบตาให้คุณชายสาม คุณชายสามขมวดคิ้วแล้วหันหน้าไปมองคนอื่น คนอื่นล้วนลุกขึ้นหมดแล้ว
นางกัดฟันพูดเสียงดัง “เดี๋ยวก่อน”
ทุกคนในห้องมองไปที่ฮูหยินสามด้วยความตกใจ
คุณชายสามส่ายหน้าให้ฮูหยินสาม
ฮูหยินสามเห็นอย่างชัดเจน แต่ทุกคนกำลังจ้องมองมาที่นาง นางจำเป็นต้องพูดออกมาจริงๆ นางจึงกัดฟันแล้วพูดว่า “ท่านแม่ เจี่ยนเกอเอ๋อร์จะอายุสิบสองแล้ว ข้าคิดว่า เราควรจะให้เขาออกไปอยู่ลานข้างนอกคนเดียวได้แล้วเจ้าค่ะ…” พูดจบ นางก็มองไปที่ไท่ฮูหยินด้วยความหวาดกลัว “ปีนั้นเจี่ยนเกอเอ๋อร์เป็นอีสุกอีใส ข้าสงสารเขาจึงให้เขาอยู่ลานข้างในปีหนึ่ง ตอนนี้เขาโตขึ้นแล้ว ลานข้าในก็ยังมีเจินเจี่ยเอ๋อร์ หากให้เขาอยู่ลานข้างในต่อไปมันคงจะไม่ดีเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินครุ่นคิด “เจ้าพูดถูก เจี่ยนเกอเอ๋อร์ไม่เด็กแล้ว เขาควรออกไปอยู่คนเดียวได้แล้ว…”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็หน้าซีด
เกิดอะไรขึ้นช่วงนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครบอกนาง แต่นางก็คงจะเดาออก วันนี้ไท่ฮูหยินไปพระราชวัง นางถือโอกาสนี้กลับสกุลเดิม กลับไปเล่าเรื่องในสกุลให้พี่สะใภ้ใหญ่สกุลเดิมฟัง พี่สะใภ้ใหญ่เล่าเรื่องราวให้นางฟังตั้งมากมาย นางจึงเข้าใจสถานการณ์ของสกุลสวีตอนนี้ เดิมทีนางอยากจะรอดูไปก่อน แต่ตอนนี้รอไม่ได้แล้ว ฮูหยินสามพูดเรื่องการย้ายออกไปลานข้างนอกของสวีซื่อเจี่ยน แต่ที่จริงแล้วนางกำลังถามว่าคุณชายสามแยกออกไปอยู่ข้างนอกได้หรือไม่ หากเขาแยกไปตอนฤดูใบไม้ผลิ ก็ไม่จำเป็นต้องระดมคนหาลานข้างนอกให้สวีซื่อเจี่ยน แต่หากแยกออกไปไม่ได้ ด้วยอายุของสวีซื่อเจี่ยน แน่นอนว่าเขาอยู่ลานข้างในต่อไปไม่ได้แล้ว
แต่ถามเรื่องนี้ตอนนี้…มันไม่ใช่เวลา…
ความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัว สืออีเหนียงเข้าใจความหมายของฮูหยินสามทันที
นางรีบดึงแขนเสื้อของสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ได้ยินฮูหยินสามพูดเช่นนี้ เขาก็เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร แต่ว่าไท่ฮูหยินกำลังพูดกับนาง เขาไม่สะดวกที่จะพูดแทรก แต่ตอนนี้สืออีเหนียงดึงแขนเสื้อของเขา เขาก็อดยิ้มในใจไม่ได้
ดูเหมือนว่าสืออีเหนียงจะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ…
เขากำลังครุ่นคิด จับมือที่ดึงแขนเสื้อของตัวเองเอาไว้
สืออีเหนียงตกใจ จากนั้นนางก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาหมายความว่าอะไร
หากไท่ฮูหยินเห็นเข้าจะทำเช่นไร
นางพยายามดึงมือกลับมา
แต่เขาจับมือนางไว้แน่น ดึงสองสามทีก็ดึงกลับมาไม่ได้ นางกำลังกังวล ก็ได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “ท่านแม่ ข้าว่าเรื่องนี้ถึงเวลาแล้วค่อยปรึกษากันดีกว่าขอรับ ประเดี๋ยวก็จะปีใหม่แล้ว มีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากมาย”
ได้ยินสวีลิ่งอี๋พูด ทุกคนก็มองมาที่เขา
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็รีบยิ้ม ยืนอยู่ข้างหลังสวีลิ่งอี๋อย่างสง่างามและปล่อยให้เขาจับมือตัวเอง
สวีลิ่งอี๋กำลังบอกพวกเขาว่า เรื่องนี้จะมีจุดเปลี่ยน
ฮูหยินสามและคุณชายสามได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย ฮูหยินสามรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวพูดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเราก็ฟังท่านโหวเถิดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างแผ่วเบาและปล่อยมือสืออีเหนียงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปัดเสื้อและพูดกับสืออีเหนียงเบาๆ “เรากลับกันเถิด ท่านแม่จะได้พักผ่อน” พูดจบเขาก็เดินออกไป
สืออีเหนียงรีบย่อตัวคำนับคนในห้องแล้วเดินตามออกไป
ระหว่างทาง ใบหน้าของสวีลิ่งอี๋เย็นชา ทำให้สืออีเหนียงอดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองทำอะไรผิดไปหรือไม่ แต่นางกลับไม่ได้สังเกตว่าสวีลิ่งอี๋แอบยิ้มมุมปากในตอนที่นางไม่รู้ตัว
*****
เพราะว่าแยกย้ายกันทานข้าว หลังจากทานข้าวเสร็จ สวีซื่ออวี้และจุนเกอก็มาคารวะสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียง และอี๋เหนียงทั้งสามคนก็มาคารวะพอดี ทุกคนนั่งลงล้อมรอบสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง สวีลิ่งอี๋ก็ทดสอบสวีซื่ออวี้เหมือนครั้งก่อน เมื่อเขารู้ว่าตั้งแต่ปิดเทอมหลังจากช่วงเทศกาลล่าปา สวีซื่ออวี้นั้นศึกษาตำราอยู่ตลอด สวีลิ่งอี๋ก็พอใจ
“สองสามวันนี้เจ้าก็พักเสียหน่อยเถิด อยู่คุยเป็นเพื่อนท่านย่า”
สวีซื่ออวี้ตอบรับด้วยความเคารพ
สายตาของสวีลิ่งอี๋มองไปที่จุนเกอ
จุนเกอหดตัวแล้วขยับเข้าไปหาสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจแล้วพูดอย่างเอือมระอา “ดึกแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปเถิด!”
อี๋เหนียงทั้งสาม สวีซื่ออวี้ เจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอ ย่อเข่าคำนับแล้วกลับไปที่เรือนของตัวเอง
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่จุนเกอเตะลูกขนไก่ กระโดดเชือกกับสาวใช้ทุกวันให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…เขาเป็นโรคขาดสารอาหารตั้งแต่เด็ก ได้ขยับร่ายกายเช่นนี้บ้าง ร่างกายของเขาก็จะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น ถึงแม้จะบอกว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญสำหรับลูกผู้ชาย แต่สุขภาพที่แข็งแรงย่อมสำคัญกว่า เรื่องบางเรื่องจะรีบร้อนไม่ได้เจ้าค่ะ ปีหน้าหาอาจารย์มาสอนเขา เขาก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง”
“คงต้องเป็นเช่นนี้!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างขมขื่น
สืออีเหนียงถามเขา “ท่านโหวจะอาบน้ำที่เรือนของข้าก่อนหรือไม่เจ้าค่ะ”
ตามวันแล้ว วันนี้เขาต้องไปนอนที่เรือนของเหวินอี๋เหนียง
สวีลิ่งอี๋พูด “วันนี้ข้าจะนอนที่นี่”
เรื่องทั้งในจวนและนอกจวนมีตั้งมากมาย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีอารมณ์ สองสามวันก่อนเขาควรนอนที่เรือนของฉินอี๋เหนียง แต่เขาไปแค่ครั้งเดียว วันอื่นๆ ก็นอนที่นี่ตลอด ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้นางเข้าไปหาฮองเฮาในพระราชวัง นางคงมีอะไรจะพูดกับตัวเอง
สืออีเหนียงส่งคนไปบอกเหวินอี๋เหนียง บอกว่าวันนี้ท่านโหวมีธุระ จากนั้นก็จัดเตียงรับใช้สวีลิ่งอี๋เข้านอน
สวีลิ่งอี๋ซักถามเรื่องของฮองเฮาอย่างละเอียดก่อน เมื่อได้ยินว่าฮองเฮาดีขึ้นมากแล้ว เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อาจจะเป็นเพราะได้ยินว่าฮองเฮาถามถึงเรื่องทานยาของนาง เขาจึงถามเรื่องทานยาของนางในช่วงนี้เช่นกัน
“หมอหลวงหลิวบอกว่าต้องทานสองสามเดือนถึงจะเห็นผล ตอนนี้ยังไม่รู้สึกอะไรเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋บอกนาง “เจ้าต้องทานยาตามที่หมอหลวงหลิวบอก จะประมาทไม่ได้”
แน่นอนว่าสืออีเหนียงไม่กล้าประมาทอยู่แล้ว
ผู้ใดเล่าจะกล้ารับประกันว่าจะไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้น…หากนางตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ ด้วยวัยและสถานการณ์ตอนนี้ล้วนอันตรายอย่างมาก หากสามารถใช้ยาบำรุงสุขภาพได้ โอกาสที่จะอยู่รอดนั้นก็สูงขึ้นไม่น้อย
นางพยักหน้าอย่างจริงจัง
สวีลิ่งอี๋มีท่าทางลังเล พลันพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะกลับมาสายหน่อย…ข้าจะไปพูดกับฮ่องเต้”
ดูเหมือนว่าเขาตัดสินใจที่จะทำตัวน่าสงสารแล้ว
แน่นอนว่าสืออีเหนียงต้องให้กำลังใจเขา “เช่นนั้นก่อนปีใหม่ท่านโหวก็จะได้พักผ่อนอยู่ที่จวนแล้วหรือเจ้าคะ ข้าจะได้ไม่ต้องตื่นยามโฉ่วทุกวัน”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ลาออกจากตำแหน่ง ต่อไปทำอะไรก็คงไม่สะดวกเหมือนตอนนี้”
หมายความว่า คนยังไม่ทันหมดอำนาจแต่ก็จะไม่มีใครสนใจแล้วเช่นนั้นหรือ!
คนที่เคยลิ้มรสของอำนาจ จู่ๆ ก็ยอมปล่อยวาง เขาคงจะรู้สึกเสียใจอย่างแน่นอน
สืออีเหนียงจงใจพูดหยอกเย้า “ตอนนี้ท่านได้รับตำแหน่ง ข้าก็ไม่เห็นว่าเราจะทำสิ่งใดได้สะดวก แต่กลับรู้สึกว่ามันไม่สะดวกเอาเสียเลย ข้าอยากจะจัดลานตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ แล้วยังอยากปลูกต้นทับทิมและต้นดอกกล้วยไม้หยกตรงหน้าศาลา…หากท่านอยู่ที่เรือน จะสะดวกข้ามากเลยเจ้าค่ะ”
เชิญคนมาซ่อมแซมลาน นางต้องหลบออกไป ถึงตอนนั้นหากมีเรื่องอะไรก็ต้องบอกช่างผ่านทางผู้ดูแล มันไม่สะดวกสบายเท่ากับบอกผ่านสวีลิ่งอี๋โดยตรง
สวีลิ่งอี๋ก็ฟังออก เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มหัวเราะ “เจ้าให้ข้าลาออกเพราะเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ!”
สืออีเหนียงพูดจาเหลวไหลกับเขาต่อ “ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดดูแล้ว เห็นว่าการเป็นขุนนางคือเรื่องที่เสียต้นทุน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องตื่นเช้าทุกวัน โรงครัวก็ต้องทำอาหารเช้าสองครั้ง แค่เรื่องเงินเดือนและรายจ่าย…” นางคิดบัญชีให้สวีลิ่งอี๋ “แค่แขกไปใครมาก็ไม่สะดวก แต่หากลาออก มีงานสังสรรค์อะไรท่านจะไปก็ได้ไม่ไปก็ได้…”
สวีลิ่งอี๋ฟังภรรยาของตนพูดจาเหลวไหล ความรู้สึกกังวลที่จะลาออกจากตำแหน่งก็ลดลงไปไม่น้อย!