ทำไมล่ะ
เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยพาตัวเฮยเจ๋อออกไป ทำให้เขาหมดโอกาสที่จะประมือกับอีกฝ่ายหรือ
หนานกงเลี่ยลูบคางพร้อมกับเดาไปด้วย แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีอะไรมากกว่านั้น ”อาเจวี๋ย เจ้า…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ตัดบทขึ้นมาเสียก่อน รอยยิ้มที่เขาแสดงออกมาดูราวกับมาจากปีศาจที่กำลังสั่งตัดหัวคนอยู่ไม่มีผิด มันเย็นชาจนน่ากลัว แต่ก็งดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ”ดูเหมือนว่าคงถึงเวลาทำให้เหยื่อตัวนี้รู้แล้วกระมังว่านางเป็นของใครกันแน่”
พอพูดจบ เขาก็หันหลังกลับ ผมยาวหยักศกสีดำราวกับรัตติกาลเพิ่มความงดงามน่าหลงใหลให้กับเขา ยิ่งเสริมให้เขาดูเย้ายวนขึ้นไปอีก
ปอยผมที่ทิ้งตัวลงมาจากหน้าผากระไปกับผิวขาวผุดผ่อง ทำให้ใครต่อใครรู้สึกว่าความหล่อเหลานี้ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!
หนานกงเลี่ยกลืนน้ำลาย พลางมองสีหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็งที่ต่างจากในอดีตบนใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย แล้วกลืนคำพูดที่กำลังจะพูดกลับลงไปตามเดิม
เขาโกรธอยู่จริงๆ ด้วย!
กร๊อบ——
กลีบดอกไม้สีน้ำเงินเข้มถูกเหยียบย่ำ มันส่งเสียงดังทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน
แต่ดูเหมือนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะชอบฟังเสียงของสิ่งสวยงามที่ถูกทำลายเช่นนี้นัก รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นดูราวกับคมมีดที่กรีดผ่านบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา ทำให้ทุกคนหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ
เงาทมิฬที่เดินตามหลังเอ่ยเรียกเขา ”ฝ่าบาท?”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ตอบ เขาดูราวกับคนที่ตกอยู่ในภวังค์
เงาทมิฬไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ผู้เป็นนายถึงได้หยุดเดิน เขาทำได้เพียงแค่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างกายอีกฝ่ายเท่านั้น และไม่กล้าเตือนความจำเขาด้วยซ้ำว่ายังมีการแข่งขันเหลืออยู่อีกหนึ่งรอบ
ดูเหมือนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะยืนอยู่นานพอดู นานเสียจนสุดท้ายเขาก็รู้ตัวว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ไล่ตามเขามา จากนั้นเรียวขายาวของเขาจึงค่อยๆ ก้าวเดินต่อ เสื้อคลุมตัวยาวของเขาปลิวขึ้น ต่างหูสีเงินที่หูข้างซ้ายของเขาระเบิดเป็นเสี่ยง ก่อนจะกลายเป็นดวงดาวระยิบระยับบนฟากฟ้า แพขนตายาวของเขาทิ้งเงาลงบนใบหน้า ดวงหน้าหล่อเหลาสงบราบเรียบดูไร้พิษภัย ราวกับเทพบุตรที่ย่างก้าวลงมายังโลกมนุษย์ เขาดูหล่อเหลาเหลือคณา ประหนึ่งเทพบุตรในความฝันของใครสักคน
“อาเจวี๋ย...” หนานกงเลี่ยสัมผัสได้ว่ามีอะไรผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความกังวลเล็กน้อย
คนจากหอชั้นเยี่ยมที่อยู่ในจำนวนผู้ชมยังไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และปรี่เข้าไปหมายจะหาเรื่องไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ปริปาก เขาก็ถูกสีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยข่มขวัญเข้าเสียก่อน ดวงตาแดงก่ำราวกับเลือดคู่นั้นจ้องมองมาทางเขาอย่างเย็นชา พร้อมกับเดินเข้ามาหาทีละก้าว ท่าทางของอีกฝ่ายไม่ต่างอะไรไปจากอสรพิษที่ปฏิเสธจะรับฟังคำพูดของผู้ใด
คนที่เดินเข้าไปเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว รู้สึกราวกับว่าใบหน้าของตนถูกมวลอากาศอันไม่รู้ที่มานั้นเฉือนเป็นชิ้นๆ นำมาซึ่งความเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
“เจ้าโง่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มอย่างเย็นชา ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงใคร แต่ทันทีที่พูดจบ แหวนบนนิ้วก้อยของเขาก็พลันเกิดรอยร้าว ตามมาด้วยเสียงดัง ’แกร๊ก’ และ ’กร๊อบ’
ถ้วยชาทุกใบที่วางเรียงกันอยู่บนโต๊ะไม้ต่างก็มีปฏิกิริยา พวกมันแตกออกเป็นเสี่ยง ร่างสูงตระหง่านของชายหนุ่มค่อยๆ ถูกแสงอาทิตย์อัสดงกลืนกินทีละน้อย จนกลายเป็นสีเหลืองทองระยิบระยับ ภายใต้แสงอาทิตย์อันไร้ที่สิ้นสุดนั้น ทุกคนมองเห็นเพียงเสื้อคลุมสีดำลอยพลิ้วอยู่ในสายลม เกิดเป็นภาพที่ให้ความรู้สึกชั่วร้ายอย่างประหลาด
ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งเวทมนตร์นั้น ทุกสิ่งก็ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นกลืนกินทุกอย่างไปอย่างเงียบงัน
หนานกงเลี่ยมองภาพที่เกิดขึ้นนี้ คิ้วหนาของเขาขมวดเข้าหากัน สงสัยว่าการแข่งขันในรอบต่อไปจะยังสามารถจัดได้อยู่หรือไม่
เห็นได้ชัดว่าอาเจวี๋ยไม่คิดที่จะทำอะไรมากกว่านั้น
อะไรทำให้เขาหมดความสนใจได้นะ
หนานกงเลี่ยขมวดคิ้วหนา พลางถอนหายใจยาวออกมา แล้วยกมือขึ้นไปประสานกันที่ท้ายทอยของตัวเอง สายตาของเขาหยุดลงที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
นางหรือ
แม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะใช้กำลังจัดการกับเฮยเจ๋ออยู่ แต่นางก็ยังไม่ลืมที่จะให้ความสนใจกับการกระทำของเพื่อนในกลุ่ม เดิมทีนั้นเมื่อนางเห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังจะกลับ นางก็พยายามที่จะเดินตามไป
แต่กลับถูกเฮยเจ๋อรั้งเอาไว้เสียก่อน ไม่รู้ว่าเขาจงใจทำเช่นนั้นเพราะสายตาของใครหรือเปล่า แต่เขาก็ดึงร่างทั้งร่างของนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก “อย่าขยับ”
“เจ้าทำอะไร” คิ้วยาวได้รูปของเฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดแน่น นางหัวเราะอย่างเย็นชา ”หวังว่าเจ้าจะมีคำอธิบายดีๆ ให้กับข้านะ”
เฮยเจ๋อกดศีรษะของนางลง แต่ไม่มองนางเลยแม้แต่นิดเดียว แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับมองตรงไปยังเรือนร่างอันงดงามที่ถูกเวทีประลองคั่นเอาไว้ พร้อมกับแย้มรอยยิ้มเอาอกเอาใจให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย ”มีอะไรให้อธิบายหรือ ถึงพวกเราจะไม่ได้อยู่หอเดียวกัน แต่เจ้าก็ไม่ควรปฏิบัติต่อข้าอย่างเย็นชาถึงเพียงนี้นี่ที่รัก”
“เจ้ามันบ้าไปแล้ว!” เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเย็นชา แล้วต่อยเข้าที่ท้องของเขาทันที
เฮยเจ๋อสำลักอย่างแรง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า ”โหดร้ายอะไรเช่นนี้! ต่อไปข้ายอมไม่รับเงินปันผลก็ได้ เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ”
“ไม่!” เฮ่อเหลียนเวยเวยรวบรวมกำลังผลักเขาออก แล้วรีบหันหลังเดินหนีไปอีกทาง
หลังจากที่นางเห็นว่าเจ้าของร่างอันงดงามนั้นกำลังจ้องมาทางนี้ด้วยสายตาตกตะลึง นางก็ตระหนักได้ว่าหุ้นส่วนของนางกำลังแสดงละครตบตาใครอยู่
สรุปว่าเขาต้องการที่จะทำให้เพื่อนร่วมหอของนางอิจฉา ถึงได้ทำตัวประหลาดเช่นนั้น
นางอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าคุณชายเฮยโง่หรือเปล่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้เป็นการผลักไสนางออกไปให้ไกลยิ่งกว่าเดิม
จริงๆ เลย คนหนุ่มสาวในยุคโบราณช่างไม่มีความฉลาดทางอารมณ์เอาเสียเลย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีเวลาพอที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้เพื่อนร่วมหอของนางฟัง ในฐานะหัวหน้ากลุ่มของหอสามัญ สิ่งแรกที่นางจำเป็นต้องทำคือการพาตัวเพื่อนในกลุ่มกลับมาให้ได้ก่อน
โชคดีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้เดินไปไกลนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบวิ่งตามเขาจนทัน มองเพียงปราดเดียวนางก็สังเกตเห็นอาการบาดเจ็บที่นิ้วก้อยของเขา คิ้วของนางเลิกขึ้น และโดยไม่รอช้า นางก็รีบคว้ามือของเขาขึ้นมาทันที ”ได้แผลนี้มาอย่างไร”
คิ้วเรียวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พร้อมกับหันหน้ามา เขากำลังชั่งใจว่าตนควรใช้โอกาสนี้หักแขนขาของเจ้าตัวเล็กผู้โง่เขลาไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยดีหรือไม่ โดยเฉพาะมือข้างขวาที่นางใช้สัมผัสชายอื่นนั่น…
“มานี่เดี๋ยวสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยดึงเขาเข้ามาหาตัวอีกครั้ง พร้อมกับมองนิ้วอันงดงามนั้น นางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมา ระหว่างที่นางกำลังช่วยเช็ดมือของอีกฝ่ายอยู่ นางก็พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มว่า ”ซุ่มซ่ามยิ่งนัก”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชา ยิ่งเขามองมือข้างขวาของนางมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเท่านั้น
“ข้าจะช่วยกดแผลเอาไว้ให้ ทำเช่นนั้นเลือดจะได้หยุดไหล” เฮ่อเหลียนเวยเวยจับมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
ดวงตาที่เย็นเหยียบราวน้ำแข็งของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไป ก่อนจะเคลื่อนไปสบเข้ากับดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นจึงก้มหน้าลงอีกครั้ง พร้อมกับมองมือที่อยู่ในฝ่ามือของตนในตอนนี้
มือข้างนั้นผอมบางแต่ก็ทรงพลังยิ่ง แม้ว่ามันจะทั้งเรียวทั้งเล็ก แต่เพราะปลายนิ้วที่ติดจะด้านของนาง จึงทำให้มันดูไม่ได้บอบบางนัก
เขาเป็นคนที่พิถีพิถันกับการเลือกมือพอตัว และใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมือที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี หรืองดงามกว่านางมาก่อน
แต่ในเวลานี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกขึ้นมาว่า มือเช่นนี้ หากเขาคิดที่จะหักมันไปจริงๆ ก็คงจะน่าเสียดายยิ่งนัก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้ว พลางคิดกับตัวเองว่าเขาจะยอมยกโทษให้กับนางเป็นครั้งสุดท้าย คราวหน้าหากนางยังทำตัวเช่นนี้อีก เขาจะลากตัวชายที่นางแตะต้องไปโยนทะเลให้กลายเป็นอาหารปลาเสีย
หรือที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ขังนางเอาไว้ในตำหนักของตน ทำให้นางกลายเป็นนกน้อยในกรงทอง หลังจากนั้น… ก็กระชากเสื้อผ้าของนางออกให้หมด!
ไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาแตะต้องเหยื่อของตนหรอก
และเขาก็ยิ่งกว่าไม่ชอบเสียอีก
“การแข่งขันจะเริ่มแล้ว เรากลับไปกันก่อนเถอะ” หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยช่วยไป๋หลี่เจียเจวี๋ยห้ามเลือดเสร็จ สิ่งแรกที่นางทำคือการรีบพาตัวสมาชิกในกลุ่มของตนกลับไปยังสถานที่แข่งขันในรอบถัดไป
อย่างไรเสีย ตอนนี้การประลองในรอบแรกก็เป็นการประลองสาขาพลังปราณ หากเขาไม่อยู่ที่นั่น ก็คงไม่มีทางเริ่มการประลองได้
“ได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าแล้วลุกขึ้นยืน ร่างสูงนั้นดูสง่างามอย่างยิ่ง ทั่วทั้งใบหน้าของเขาถูกเสื้อคลุมปิดบังเอาไว้ จึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจนนัก
ตลอดเวลานั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ทันสังเกตเห็นอันตรายที่แฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้นของเขาในขณะนี้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะนางกำลังรีบอย่างมาก
กติกาของสำนักกล่าวเอาไว้ว่าผู้เข้าแข่งขันจะต้องไปถึงให้ตรงเวลาที่กำหนด และเตรียมตัวขึ้นแข่งขันบนเวที มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกปรับแพ้!