หลิวเวยอยู่เคียงข้างองค์หญิงจินเหยาและเฉินตันจูตลอดเวลา นางเป็นผู้รู้ดีที่สุด เพียงแต่เกี่ยวข้องกับความลับของราชวงศ์…เหล่าผู้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนี้ เหล่าฮูหยินตระกูลฉางทำการไล่พวกนางออกไป เหลือไว้เพียงนายท่านฉางและฮูหยินใหญ่ตระกูลฉาง
“เวยเวย เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” เหล่าฮูหยินตระกูลฉางถาม “เหตุใดองค์หญิงจึงตีกับคุณหนูตันจูขึ้นมา”
นายท่านฉางถาม “องค์หญิงจินเหยาลงโทษเฉินตันจูหรือ”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางถามเรื่องสำคัญ “เหตุใดองค์หญิงจินเหยาจึงดูไม่โกรธเคือง”
หลิวเวยมองดูสีหน้ากังวลสงสัยไม่เข้าใจของพวกเขา ก่อนจะระลึกถึงเรื่องที่ผ่านมา ตนเองก็รู้สึกสงสัย…น่าเหลือเชื่อเกินไป
“อันที่จริง องค์หญิงไม่ได้ตีกับคุณหนูตันจู” นางพูดอย่างเปิดเผย “แต่เป็นการประลอง”
การประลอง? เหล่าฮูหยินตระกูลฉางมองบุตรชายและสะใภ้ของตนเอง การประลองของหญิงสาว?
“เรื่องนี้จะว่าไปเกิดจากคุณชายโจว…” หลิวเวยครุ่นคิดเล็กน้อย “…แนะนำ คุณชายโจวต้องการให้สาวรับใช้ของเขาประลองกับเฉินตันจู องค์หญิงจึงอยากเข้าร่วม ดังนั้นองค์หญิงจึงประลองกับสาวรับใช้ของคุณชายโจวและเฉินตันจู สุดท้ายเฉินตันจูชนะองค์หญิง”
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางและอีกสองคนได้ยินดังนี้ นางรู้สึกเข้าใจแต่ก็ราวกับไม่เข้าใจ
“คุณชายโจวหรือ” นายท่านฉางครุ่นคิด “ที่แท้ก็เป็นเขาที่ต้องการสั่งสอนเฉินตันจู”
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางสีหน้าตกตะลึง “แต่องค์หญิงจินเหยาปกป้องเฉินตันจู”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางพึมพำ “ถึงแม้จะเป็นการประลอง แต่เฉินตันจูบังอาจชนะองค์หญิงจริงๆ”
ควรจะบอกว่าองค์หญิงจินเหยานิสัยดี หรือควรจะบอกว่านิสัยของเฉินตันจูไม่ได้เย่อหยิ่งธรรมดา อีกฝ่ายเป็นถึงกิ่งทองใบหยก…บอกว่าลงมือก็ลงมือ หากประลองตามที่เวยเวยบอก เจ้าขาดการชนะหนึ่งครั้งหรือ จะแย่งอันใดกับองค์หญิง…
เมื่อเห็นคนในห้องทั้งสองต่างตกอยู่ในความเงียบ หลิวเวยจึงพูดเสียงเบา “พวกท่านไม่ต้องกังวล องค์หญิงไม่ได้โกรธ แม้แต่คุณชายโจว…” นางครุ่นคิดอยู่สักพัก ถึงแม้จะไม่รู้จักโจวเสวียนนี้ แค่ตามที่นางจับตาดูสถานการณ์อยู่ด้านข้างก็สามารถมั่นใจได้ “ก็ไม่ได้โกรธ ครั้งนี้พวกท่านอาจเห็นว่าเป็นการทะเลาะกัน แต่จริงๆ แล้วเป็นแค่เรื่องเล็ก”
อีกทั้งหลังการประลอง เฉินตันจูชนะองค์หญิงจินเหยาแล้ว องค์หญิงจินเหยาปฏิบัติดีต่อเฉินตันจูมากยิ่งขึ้น น่าแปลก ตอนนั้นนางเห็นกับตาว่าเฉินตันจูลงมือดุดันเพียงใด หลังจากกดองค์หญิงจินเหยาลงกับพื้นก็ใช้แรงมากขึ้น…จนองค์หญิงร้องไห้แล้ว แต่เฉินตันจูก็ยังไม่ปล่อยมือ จนกระทั่งชนะจึงจะยอม ทั้งถูกตี ทั้งพ่ายแพ้ ตามหลักแล้วมีหญิงสาวคนใดยอมรับได้ ถึงแม้จะนิสัยดีเพียงใด แต่คงจะขายหน้าไม่น้อย ภายในใจคงไม่สบอารมณ์
อืม ทำได้เพียงพูดว่า องค์หญิงผู้เป็นบุตรหลานตระกูลสวรรค์ จิตใจกว้างขวางเกินหญิงทั่วไป
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางมองใบหน้าที่เงียบสงบแต่ปนไปด้วยรอยยิ้มของหลิวเวย มั่นใจว่าองค์หญิง
จินเหยาไม่ได้โกรธเคืองจริง มิฉะนั้นหลิวเวยไม่มีทางผ่อนคลายเช่นนี้ หญิงสาวที่นางเลี้ยงมากับมือนางย่อมรู้ดีแก่ใจ ทั้งอ่อนไหวและใจขลาด
“เช่นนี้ดีเสียจริง” เหล่าฮูหยินตระกูลฉางโล่งใจ ขอบคุณเทวดาทั่วสวรรค์ “องค์หญิงสนุกก็พอ”
หลิวเวยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงสนุกมาก ชื่นชมตระกูลของพวกเรา”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางพูดกับเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง “ท่านแม่ บัดนี้ไม่มีเรื่องใดน่ากังวลแล้ว
ให้เวยเวยกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด” พูดพลางลูบหัวไหล่ของหลิวเวย “เวยเวยของพวกเราเหน็ดเหนื่อยแล้ว ต้องคอยดูแลคุณหนูตันจูและองค์หญิง คงไม่ได้กินอิ่มท้อง? อยากกินสิ่งใด ข้าให้พวกนางไปเตรียม”
หลายสิบปีแล้ว ครานี้เป็นหนแรกที่ฮูหยินใหญ่เมตตากับนางเช่นนี้ หลิวเวยยิ้มอย่างเขินอาย ในใจของนางรู้ดี ทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะองค์หญิงจินเหยาและเฉินตันจู
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางรู้ดีแก่ใจเช่นเดียวกัน เพียงแต่สะใภ้สามารถทำเช่นนี้ นางก็ยินดีที่จะเห็น และรู้สึกปลื้มปริ่มกับการกระทำของนาง สะใภ้คนนี้มักจะดูถูกตระกูลของนาง เวลานี้คงรู้แล้ว หญิงสาวในตระกูลของนางไม่ธรรมดา ได้รับการปฏิบัติอีกแบบจากองค์หญิงผู้สูงส่งและหญิงชนชั้นสูงผู้ยโส
“เวยเวย ไปเถิด เจ้าไปพักผ่อน” นางพูดด้วยรอยยิ้ม
แต่หลิวเวยลังเลเล็กน้อย “ท่านยาย ข้าอยากกลับจวน”
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางและอีกสองคนผงะไป นายท่านฉางขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงกลับจวน เวลานี้องค์หญิงเพิ่งเสด็จกลับ หากมีคนในวังมาถามจะทำอย่างไร”
ถึงแม้หลิวเวยจะบอกว่าองค์หญิงจินเหยาสนุกมาก แต่ไม่มีบิดามารดาคนใดจะดีใจที่เห็นบุตรของตนเองทะเลาะกัน อีกทั้งยังถูกผู้อื่นตีอีก ฮ่องเต้และฮองเฮาต้องส่งคนมาถามอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลา ยังต้องการหลิวเวยออกมาตอบ เวลานี้นางจะกลับจวนพวกเขาจะทำอย่างไร
“ท่านลุงไม่ต้องกังวล ข้าบอกองค์หญิงแล้วว่าจวนข้าอยู่ที่ใด หากมีเรื่องให้คนไปหาข้าที่จวนก็พอ” หลิวเวยรีบพูด “ข้าแค่อยากกลับไปพบท่านพ่อ เพราะว่าท่านพ่อไม่เคยรู้ตัวตนของคุณหนูตันจูมาก่อน เฮ้อ พวกข้าคิดว่านางเป็นหญิงสาวที่ต้องการเปิดร้านยาธรรมดาจริงๆ”
อย่างไรนะ ให้คนในพระราชวังไปตระกูลหลิว? เช่นนั้นจะเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลฉางอีก งานเลี้ยงนี้จัดโดยตระกูลฉางของพวกเขา นายท่านฉางคิดจะคัดค้านอีกครั้ง ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางพูดด้วยรอยยิ้ม “มีอันใดน่ากังวลกัน เวยเวย ท่านลุงไปรับบิดาของเจ้ามาก็พอ พวกเขาจะได้นั่งคุยกันเรื่องนี้พอดี”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตระกูลฉางจะส่งคนไปรับท่านพ่อมา แต่ก่อนล้วนเป็น “ให้พ่อเจ้าเดินทางมา!”
ไม่รู้เหตุใด แต่ก่อนเมื่อประสบกับเหตุการณ์นี้ นางรู้สึกเพียงท่านพ่อทำให้นางขายหน้า แต่เวลานี้นางรู้สึกเพียงท่านพ่อน่าเวทนา
“ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ” หลิวเวยยืนกราน “ข้ากลับไปด้วยตนเองดีกว่า”
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางห้ามบุตรชายและสะใภ้ พูดด้วยท่าทางเย่อหยิ่งเล็กน้อย “เอาเถิด เวยเวยอยากกลับก็กลับไป มีเรื่องอันใดที่พวกเจ้าไม่วางใจ ให้ไปถามที่ตระกูลหลิว ใช่ตระกูลของผู้อื่นเสียที่ไหน”
เฮ้อ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางพูดถึงตระกูลของตนเองได้อย่างภาคภูมิใจ
นายท่านฉางเห็นมารดาเปิดปากแล้ว ก็ทำได้เพียงจำยอม ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางเตรียมรถม้าด้วยตนเอง พร้อมทั้งส่งอีกฝ่ายออกจากจวน นอกจากนี้ยังกำชับให้อีกฝ่ายรีบกลับมา เหล่าคุณหนูของตระกูลฉางล้วนเบียดตัวอยู่ด้านหลัง ส่งหลิวเวยนั่งรถม้าจากไปด้วยสายตาเสียดาย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไม่อยากให้
หลิวเวยจากไป…พวกนางยังไม่ทันได้ฟังหลิวเวยเล่าเรื่องขององค์หญิงและเฉินตันจูเลย
หลิวเวยรีบกลับไปพบบิดา ราชรถขององค์หญิงจินเหยาเคลื่อนเข้าพระราชวัง ในขณะที่นางถูกเหล่านางในห้อมล้อมเดินเข้าไปในพระราชวังหลังนั้น องค์หญิงจินเหยาชะงักฝีเท้าลงเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทางตำหนักด้านหน้าแทน
“องค์หญิง?” ขันทีและนางในต่างถามขึ้นด้วยความฉงน
“ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ” องค์หญิงจินเหยาพูด
แต่ว่า…ขันทีคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “ฮองเฮากำลังรอองค์หญิงอยู่พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงต้องการเข้าเฝ้า
ฝ่าบาทก็ไม่ต้องรีบ ตอนที่กินอาหารค่ำฝ่าบาทจะเดินทางมาที่ตำหนักของฮองเฮา ฝ่าบาทจำได้ว่าวันนี้องค์หญิงออกไปนอกวัง ย่อมต้องมาถามไถ่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงจินเหยาส่ายหัว ไม่สนใจพวกเขา เดินไปทางตำหนักด้านหน้าอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
องค์หญิงจินเหยายืนกรานเช่นนี้ นางในและขันทีก็ไม่อาจขวางได้ เพียงแค่ให้คนไปทูลฮองเฮา ก่อนจะเดินตามองค์หญิงมาทางพระราชวังของฮ่องเต้
ฮ่องเต้อ่านตำราอยู่ในห้องตำรา เมื่อได้ยินขันทีทูลว่าองค์หญิงจินเหยาเดินทางมาเข้าเฝ้า จึงรีบเรียกให้นางเข้ามา เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งถือชายกระโปรงเดินเข้ามาอย่างสง่างาม บนใบหน้าของฮ่องเต้ปรากฏรอยยิ้มขึ้น ภายในดวงตามีความระลึกถึง…องค์หญิงจินเหยามีความงดงามเหมือนสนมเหมยผินผู้เป็นเสด็จแม่ของนางอย่างมาก
ฮ่องเต้มีชีวิตอย่างไม่สงบเมื่อตอนอายุน้อย เขาคิดแต่เพียงต้องการรักษาผืนแผ่นดินนี้เอาไว้ ไม่สนใจต่อลักษณะภายนอกจากสนม แต่อย่างไรเขาก็เป็นคน คนผู้ใดไม่ชอบสิ่งงดงาม สนมเหมยผินเป็นหญิงงามที่เห็นได้น้อยในวังหลัง เสียดายที่โชคชะตาบางเบา หลังจากกำเนิดองค์หญิงจินเหยาก็ตายไป เหลือไว้เพียงโฉมหน้าอันงดงามที่หลงเหลืออยู่ภายในดวงใจของฮ่องเต้
“จินเหยา” เขาถามด้วยรอยยิ้ม “วันนี้สนุกหรือไม่”
องค์หญิงจินเหยาเดินมาถึงหน้าฮ่องเต้ นางพยักหน้าก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “เสด็จพ่อ วันนี้หม่อมฉันตีกับเฉินตันจู”
รอยยิ้มของฮ่องเต้ชะงักไป ก่อนจะโกรธขึ้นมา “บังอาจนักเฉิน…”
องค์หญิงจินเหยาดึงแขนของเขาเอาไว้ “แต่หม่อมฉันไม่โกรธ หม่อมฉันยังดีใจอย่างมาก เสด็จพ่อ หม่อมฉันมาเพื่อบอกพระองค์ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พระองค์จะได้ไม่โกรธเนื่องจากได้ยินคนอื่นพูด”
อืม? ฮ่องเต้มองบุตรสาว มั่นใจว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของนางเป็นความจริง…
“เช่นนั้น เจ้าชนะ?” เขาถามพลันเลิกคิ้ว ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง ชนะหรือไม่ เฉินตันจูก็ไม่ควรลงมือกับองค์หญิง!
องค์หญิงจินเหยาส่ายหัว “ไม่ หม่อมฉันแพ้เพคะ”
ตีกับเฉินตันจู ยังตีแพ้อีก อีกทั้งยังดีใจเพียงนี้? หรือว่าสมองของนางถูกตีจนเสียไปแล้ว? ฮ่องเต้มองบุตรสาว ปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมา