อาจารย์มองเหล่าผู้ตัดสินที่อยู่ข้างเวทีแล้วพยักหน้าให้ เขายืนขึ้น แล้วจึงกระแอมออกมาดังๆ สองครั้ง
หลังเสียงกระแอมอันแหบแห้งนั้นเงียบลง ทั่วทั้งเวทีประลองก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
สายตาที่เฉียบคมของอาจารย์กวาดมองไปรอบๆ หลังจากแน่ใจว่าทุกคนเงียบลงแล้ว เขาจึงกล่าวขึ้นว่า ”การแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ หอชั้นเลิศพบกับหอสามัญ เริ่มการประลองลำดับที่หนึ่งในสาขาพลังปราณได้ ณ บัดนี้!”
หลังพูดจบแล้ว อาจารย์คนนั้นก็กลับไปนั่งประจำตำแหน่งของตน
อาจารย์ไป๋รู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องดูการประลองลำดับแรกนี้เสียด้วยซ้ำ คนที่อยู่ตรงนี้คืออัจฉริยะผู้มีฝีมือโดดเด่นที่สุดของตระกูลหยวน ระดับพลังปราณของเขาเป็นรองแค่มู่หรงฉางเฟิงเท่านั้น แม้แต่ภายในสำนักก็ยากจะหาคนที่มีพลังเท่าเทียมกับเขาได้ แล้วนับประสาอะไรกับขยะจากหอสามัญเล่า
การประลองที่เขาห่วงที่สุดเห็นจะเป็นการประลองลำดับที่สอง ซึ่งเป็นการประลองในสาขาอาวุธ เหตุผลที่ทำให้เขาเป็นห่วงนั้นไม่ใช่ใดอื่น หากแต่เป็นเพราะสาขาอาวุธนั้นแตกต่างจากอีกสองสาขา ในรอบชิงชนะเลิศนี้มีการเพิ่มการทดสอบข้อเขียนเข้ามาด้วย
เขาเกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น ระยะเวลาในการแข่งขันจะยืดยาวออกไป จนทำให้ลูกศิษย์ของทางนี้หมดความอดทนเอาได้
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก ในเมื่อโดยพื้นฐานแล้วผลของการประลองย่อมไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ แต่พวกเขากลับต้องเอาเวลาว่างของตนมาใช้ในการประชันฝีมือกับบรรดาคนที่ยังไม่รู้แม้กระทั่งว่าการสร้างอาวุธคืออะไร นับว่าพวกเขาเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ สู้เอาเวลาพวกนั้นไปนอนพักเสียยังดีกว่า
อาจารย์ไป๋ส่ายหน้า พร้อมกับถือถ้วยชากระเบื้องสีม่วงไว้ในฝ่ามือ แล้วเริ่มหลับตาลงพักผ่อน
ผู้ชมที่เห็นท่าทางของเขาต่างพากันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ”เจ้าดูสิว่าอาจารย์ไป๋มีท่าทีผ่อนคลายเพียงใด เขาให้คุณชายหยวนขึ้นเวทีโดยไม่จำเป็นต้องชี้แนะอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ข้าว่าหนนี้ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าฝ่ายที่ชนะจะต้องเป็นหอชั้นเลิศอย่างแน่นอน”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว! สองรอบแรกที่ผ่านมา ลำดับการแข่งขันเรียงจากสาขาโหราศาสตร์ไปสิ้นสุดที่สาขาพลังปราณ และเพราะว่าสาขาพลังปราณจะได้แข่งเป็นลำดับสุดท้าย พวกหอสามัญถึงสามารถเอาชนะมาได้อย่างไรเล่า แต่รอบชิงชนะเลิศแตกต่างกัน หากพวกเขาแพ้ในรอบแรก มันก็เท่ากับแพ้การแข่งขันนี้ไปแล้วครึ่งหนึ่งนั่นล่ะ”
“จริงสิ คนจากหอสามัญคนนั้น พวกเจ้ารู้ข้อมูลส่วนตัวของเขาหรือเปล่า เขาเป็นผู้ฝึกปราณระดับไหนกัน ถึงได้ใจกล้าบ้าบิ่นนัก เขาถึงกับเคยปะทะกับคุณชายหยวนซึ่งๆ หน้าทันทีที่เข้ามาด้วยนะ”
“ข้าไม่รู้ข้อมูลส่วนตัวของเขาแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนที่ข้าดูฐานข้อมูลของสำนักเมื่อครั้งก่อน ดูเหมือนว่าระดับของเขาจะเป็นธาตุดิน”
“ฮ่าๆๆ ธาตุดินหรือ เห็นทีการประลองนี้คงได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับเขาแน่ คุณชายหยวนคงไม่คิดที่จะปรานี แต่จะว่าไปแล้ว ตลอดสองรอบที่ผ่านมา หอสามัญเอาชนะมาได้โดยไม่แพ้แม้แต่ครั้งเดียว เขาก็เลยยังไม่เคยขึ้นแข่งมาก่อนสินะ”
“ไม่ว่าเขาจะเคยขึ้นแข่งหรือไม่ สุดท้ายเขาก็คงถูกอัดจนน่วมแน่ อย่าลืมสิว่าคนที่อยู่ตรงนั้นคือนายน้อยหยวน”
ทุกคนกำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้กันเสียงดังเซ็งแซ่ ต่างคนต่างหัวเราะอย่างมีความสุขไปกับความโชคร้ายของคนอื่น
แต่เมื่อเห็นร่างที่กำลังเดินออกมาจากด้านหลังเวที พวกเขาก็อดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้าวช้าๆ ขึ้นไปบนเวที ภาพของเสื้อคลุมตัวยาว ผ้าคาดไหล่ทั้งสองข้างที่ได้รับการตกแต่งมาอย่างบรรจง และร่างสูงสง่าที่ยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สีทองยามเย็นนั้นงดงามเสียจนทำให้สีสันของฟ้าดินดูซีดจางไปเลยทีเดียว…
คนที่อยู่รอบข้างเผลอหลีกทางให้เขาโดยไม่รู้ตัว
ในดวงตาของเขาแทบจะไม่มีใครอยู่ในสายตา ไม่มีแม้กระทั่งตัวตนของหยวนหลิงเซวียน สายตาของเขายังเหมือนเช่นเคย ยังคงยากจะเข้าใกล้ เย็นชาห่างเหิน สูงส่ง และยังมีบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ปรากฏอยู่ด้วย
เพียงแค่นั้นหยวนหลิงเซวียนก็กัดฟันกรอดพร้อมกับเพลิงโทสะที่ปะทุขึ้น เขาเกิดมาพร้อมกับความหยิ่งผยอง บรรดาขุนนางทั้งหลายไม่ว่าจะตำแหน่งสูงหรือต่ำ มีใครหน้าไหนบ้างที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอารมณ์ของเขาเพื่อความอยู่รอดของตน
แม้แต่ในสำนักไท่ไป๋ ศิษย์ทุกคนจากทั้งสี่หอก็ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา
แต่ชายหนุ่มจอมอวดดีผู้ยากจนคนนี้กลับกล้าทำให้เขาอับอายขายหน้า
หยวนหลิงเซวียนไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ฝึกปราณระดับธาตุดินคนเดียวจะมีค่าพอให้เขาสนใจ หากไม่ใช่เพราะชายน่ารังเกียจคนนี้ทำตัวยโสโอหังจนเกินไป เขาก็คงไม่จำเป็นต้องมาปรากฏตัวที่เวทีนี้เลยด้วยซ้ำ
แต่ในตอนนี้!
เขาชักอยากจะอัดคู่ต่อสู้ของตนให้เละเป็นโจ๊กขึ้นมาแล้วสิ!
โดยเฉพาะใบหน้าที่ยโสโอหังของเจ้าหมอนั่น เขาจะดูแลมันให้เป็นอย่างดีเชียว!
หยวนหลิงเซวียนก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับขยับเปลือกตาขึ้นชำเลืองมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”ตอนนี้เจ้าก็น่าจะรู้แล้วว่าความต่างชั้นระหว่างข้ากับเจ้านั้นมันมากมายเพียงใด เจ้ากล้ายั่วโมโหข้าตั้งแต่วันแรกของการเรียน ข้าคงต้องบอกว่าเจ้าช่างไม่รู้จักรักตัวกลัวตายเอาเสียเลย หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะทิ้งการประลองในเวลานี้ไปเสีย อย่างน้อยเจ้าก็ยังพอที่จะรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ แต่แน่นอนว่าถ้าเจ้ายอมคุกเข่าลงขอร้องนายน้อยคนนี้ ข้าอาจจะยอมไว้ชีวิตเจ้าสักครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น คนแรกที่มีปฏิกิริยาไม่ใช่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่เป็นองค์ชายเจ็ดซึ่งนั่งอยู่ในบริเวณที่จัดไว้ให้กับผู้เข้าแข่งขันของหอชั้นเลิศ
คนตัวเล็กลุกขึ้นยืนทันที บนใบหน้าของเขาปรากฏความหวาดกลัวคล้ายวันสิ้นโลกกำลังจะมาเยือน
ผู้ชายคนนั้นกล้าดีถึงขั้นสั่งให้พี่สามคุกเข่าให้เขา
บุตรชายของตระกูลหยวนเสียสติไปแล้วหรือไร!
ไม่ได้การล่ะ หลังจากจบการแข่งขันในครั้งนี้ เขาต้องตัดความสัมพันธ์กับหอชั้นเลิศเพื่อเลี่ยงไม่ให้ตัวเองพลอยถูกหางเลขไปด้วยเวลาที่พี่สามคิดจะเอาคืน!
พี่สามไม่ใช่คนที่จะยอมให้เรื่องมันจบลงง่ายๆ หลังจากอัดใครเสียด้วย
หลังจากจัดการคนคนนั้นลงได้ เขาก็จะอัดการโจมตีอันสุดแสนจะทรมานซ้ำเข้าไปอีก!
ยกตัวอย่างเช่น สั่งให้เขาเปลื้องผ้าแล้วเต้นระบำท่ากบ
โอ้ สวรรค์!
เขาไม่อยากนึกภาพเลยจริงๆ!
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยยกมือขึ้นกุมศีรษะไร้เส้นผมของตน แล้วส่ายหน้าเป็นพัลวัน ร่างเล็กๆ ของเขาแทบจะยืนไม่อยู่ แต่แก้มทั้งสองข้างของเขากระเพื่อมไปมาดูน่ารักมาก
ไม่ว่าใครก็คงต้องบอกว่าหยวนหลิงเซวียนคนนี้ช่างโง่เขลาเหลือเกิน!
ช่างโง่เขลาเสียจริง!
หนานกงเลี่ยเองก็คิดเช่นนั้น เขาค่อยๆ ยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นดูทั้งขี้เล่น และเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
แม้จะตัดกิเลนอัคคีออกไป แต่แค่พลังปราณอันไม่สามารถหยั่งรู้ได้ของผู้ชายคนนี้อย่างเดียวก็เพียงพอที่จะกำราบหยวนหลิงเซวียนลงได้แล้ว
หึ… องค์ชายสามจะมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไรกัน
หนานกงเลี่ยหันหน้ากลับไปมองใบหน้าด้านข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
หยวนหลิงเซวียนกลับยังพูดจาเจื้อยแจ้วอย่างไร้ความหวาดกลัวอยู่เช่นเดิม
กระทั่งเขาโอ้อวดทุกอย่างใกล้จะจบแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงค่อยๆ อ้าปาก แล้วเอ่ยขึ้นเพียงสามคำว่า ”เจ้าเป็นใคร”
เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นใคร…
ใบหน้าของหยวนหลิงเซวียนเริ่มปรากฏรอยร้าว…
“อุ๊บ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ได้ยินทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบถึงกับควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ นางเอามือกุมท้องพร้อมกับหัวเราะ
ตายคาที่ ตายคาที่อย่างไม่ต้องสงสัย!
เวลาที่คนเราเกลียดใครสักคน เกลียดเสียจนหัวแทบระเบิด แต่คนที่เราเกลียดกลับตอบมาเพียงว่า ’เจ้าเป็นใคร’
ความรู้สึกเช่นนั้นคงไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าที่ซีดจนขาวของหยวนหลิงเซวียนเปลี่ยนจากสีขาวกลับมาเป็นสีดำ และกลับไปเป็นสีขาวอีกครั้งก็นับว่าเป็นบุญตายิ่งนัก
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับยังมีท่าทีเช่นเดิม เขาทำราวกับว่าเรื่องนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตน ใบหน้าด้านข้างของเขายังคงเกลี้ยงเกลา แทบจะหารอยตำหนิไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
หยวนหลิงเซวียนโกรธจัดจนควันออกหู!
มือข้างซ้ายของเขากำแน่น จากนั้นเขาจึงพลิกฝ่ามือขึ้น เกิดเสียงดังฟิ้วไปทั่วทั้งสนาม!
แส้ยาวในมือของเขาส่งเสียงฟึ่บฟั่บระหว่างก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง หนามแหลมปกคลุมไปทั่วตัวแส้พร้อมกับเปล่งแสงสีทองออกมา
“สวรรค์ นั่นมันธาตุทอง! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นธาตุทองในตำนานนั่น!”
“อย่าบอกนะว่านี่เป็นพรสวรรค์ของทายาทที่เกิดในสี่ตระกูลใหญ่! จะยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินคำว่าธาตุทองสองคำนั้น อาจารย์ตู๋เทียนก็หันไปมองทางเวทีประลอง นั่นเป็นธาตุทองจริงๆ แม้ว่าแสงนั้นจะยังจางอยู่ แต่ความชัดเจนแบบนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถต้านทานได้ ดูเหมือนว่าครั้งนี้ หอสามัญที่เป็นม้ามืดสร้างผลงานได้เหนือความคาดหมายของทุกคนคงจะต้องพบกับความพ่ายแพ้เสียแล้ว
หยวนหลิงเซวียนกำลังเพลิดเพลินกับสายตาและคำสรรเสริญเยินยอจากทุกทิศทาง มุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย ก่อนจะพูดอย่างภาคภูมิใจว่า ”เป็นอย่างไร อยากร้องขอความเมตตาแล้วหรือยัง”
ทุกคนหันหน้าไปมองทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ปกติแล้วเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้เข้าแข่งขันคงจะยอมแพ้การประลองไปแล้ว อย่างไรเสียคู่ต่อสู้ก็เป็นถึงธาตุทองตัวจริงเสียงจริง!
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตากระเหี้ยนกระหือรือนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่ได้มีท่าทางผิดหวังแต่อย่างใด เขาใช้มือข้างซ้ายพับแขนเสื้อของตนขึ้น พร้อมกับชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างเฉยเมย ”ร้องขอความเมตตาหรือ เจ้ากำลังพูดถึงตัวเองอยู่หรือไร”
แน่นอนว่าท่าทางเช่นนั้นย่อมทำให้หน้าอกของหยวนหลิงเซวียนแทบจะลุกเป็นไฟ เขาขยับฝ่ามือ ทันใดนั้นแส้ก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมา มองดูแล้วคล้ายกับงูสีดำยาวตัวหนึ่ง มิหนำซ้ำที่ปลายแส้ยังส่งเสียงฟ่อ และแยกออกกลายเป็นลิ้นงูอีกด้วย!
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง พลังปราณของเขาต้องสูงเพียงใด ถึงสามารถทำให้รูปร่างของอาวุธเปลี่ยนไป ซ้ำยังเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิต การแข่งนี้จะเป็นแค่การประลองพลังปราณได้อย่างไร มันเป็นการสังหารกันชัดๆ!
ในเวลานี้ ในใจของทุกคนล้วนมีเพียงความคิดเดียว นั่นคือไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะต้องตายอย่างแน่นอน!