หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – ตอนที่ 669

ตอนที่ 669

บทที่ 669 หวังเป่าเล่อผู้ไม่ยอมแพ้!
หวังเป่าเล่อจ้องกำแพงน้ำแข็งที่พังทลายลงในชั่วพริบตา วังขนาดใหญ่เผยโฉมให้เห็นเบื้องหน้า ลำแสงสีแดงเข้มพุ่งขึ้นเสียดท้องฟ้า ลมหายใจของชายหนุ่มหยุดลงชั่ววินาที ผมของเขาถูกพัดปลิวด้วยคลื่นพลังปราณที่ไหลบ่าออกจากลำแสงสีแดงสูงตระหง่าน ร่างเซถลาไปด้านหลังตามแรงกระแทกของกระแสปราณ

พื้นดินรอบกายเริ่มสั่นสะเทือน ราวกับอสูรร้ายที่หลับไหลมานานชั่วกัปชั่วกัลป์ได้ลืมตาตื่นขึ้นโดยฉับพลัน พลังรุนแรงแผ่ออกจากอสูรร้ายที่อยู่ตรงหน้า จนทำให้โลกสั่นสะท้าน!

แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้ดูเหมือนมดตัวจ้อยเมื่อยืนอยู่หน้าวัง แต่ก็ยังเล็กนักเมื่อเทียบกัน ขนาดของวังและพลังปราณที่ปล่อยออกมานั้น ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเหลือคณนา

ความยิ่งใหญ่นี้ทวีความน่าประทับใจขึ้นอีกหากได้มองวังนี้จากระยะไกล วังทั้งสามสูงตระหง่านอลังการ วังด้านซ้ายที่ปล่อยแสงเจิดจ้าสีแดงเข้มออกมายิ่งดูโดดเด่นขึ้นไปอีก ในยามที่วังอีกสองวังที่เหลือยังคงถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเย็นเยือก

ไอเข้มข้นรุนแรงจากวังใช้เวลานานกว่าสามสิบวินาทีจึงค่อยๆ สลายไป ลำแสงสีแดงเข้มยังคงพุ่งตรงขึ้นสู่สรวงสวรรค์เบื้องบน กระแสปราณยังคงกระเพื่อมเป็นวงกว้างต่อเนื่อง แต่ทุกอย่างนอกเหนือจากนี้กลับสู่สภาวะปกติแล้ว ประตูวังสีแดงแง้มออกเพียงเล็กน้อง ปล่อยให้แสงสีแดงสาดส่องออกมายังโลกภายนอก

ทางที่เปิดออกนั้นแคบมากจนดูเหมือนเป็นรอยแยกเล็กๆ เมื่อเทียบกับวังทั้งหมด แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว ประตูที่แง้มออกเพียงเล็กน้อยนั้นกว้างพอให้ชายฉกรรจ์สามคนเดินจูงมือเรียงหน้ากระดานเข้าไปอย่างพร้อมเพรียง

ภาพตรงหน้าให้รู้สึกยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม แต่ชายหนุ่มไม่ใช่เด็กน้อยวัยแตกพานด้อยประสบการณ์คนเดิมที่เพิ่งก้าวสู่เส้นทางการฝึกตน เขาไม่ได้รีบพุ่งเข้าไป หากแต่ตรวจตราสภาพโดยรอบดูให้แน่ใจก่อน แล้วคิดสะระตะถึงเสียงเย็นเยียบที่ดังกังวานเมื่อครู่ หวังเป่าเล่อเริ่มปะติดปะต่อข้อมูลเท่าที่มีเข้าด้วยกัน เพื่อกลั่นกรองเป็นข้อสรุปของตนเอง

ดูเหมือนว่าข้าจะเจอโอกาสทองเข้าแล้ว! ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายสดใส สุกสกาวด้วยความตื่นเต้นและความกระหาย เขาใฝ่ฝันถึงการได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กน้อย และรู้ดีว่ามีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น…ที่จะได้อำนาจในการควบคุมสหพันธรัฐไปครอบครอง หากเขาเก่งกล้าขึ้นได้อีก ก็จะมีอำนาจกำหนดเส้นทางชีวิตตนเอง!

หลังจากที่รอดมาจากการปะทะกับโยวหรัน และผ่านความรู้สึกไร้ประโยชน์ไร้ความสามารถจากเหตุการณ์ที่พบเจอมาบนเรือบินรบเต๋ามรณะ หวังเป่าเล่อก็คิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่าเขาจะต้องพัฒนาขั้นปราณและพละกำลังของตนเองให้จงได้ แม้จะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจของชายหนุ่มก็ท่วมท้นไปด้วยความกระหายพลังที่เหนือกว่าผู้ใดทั้งปวง!

หลังจากที่ประเมินสถานการณ์เรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้าใส่วังตรงหน้าด้วยความมุ่งมั่น เขามาหยุดอยู่หน้าวังแทบจะในทันที ยืนอยู่เบื้องหน้าประตูที่เปิดออก กัดฟันแน่น ก้าวเข้าไปในแสงสีแดงที่อาบไล้สู่อีกฟากของประตู!

ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวก่อนจะชัดเจนขึ้นในบัดดล ในวังนั้นมีแต่ความว่างเปล่าไพศาล รอบกายของเขามีรูปปั้นอยู่สามตัว รูปปั้นทั้งสามมีไข่มุกสีแดงอยู่เหนือศีรษะ ไข่มุกเหล่านั้นปล่อยแสงสีแดงเรืองเรื่อ และเบื้องหน้าเขามีผู้อาวุโสผู้หนึ่งอยู่!

ความตกใจเข้าเกาะกุมหวังเป่าเล่อทันทีที่ได้เห็นผู้อาวุโสคนนั้น เขารีบถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะควบคุมลมหายใจให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ทำมือคารวะ และโค้งตัวลงต่ำ

“ขอคารวะศิษย์พี่ผู้อาวุโส!”

หวังเป่าเล่อยืนก้มตัวอยู่อย่างนั้น พลางแอบดูผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ตรงหน้า ในตอนแรกเขาสงสัยว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ แต่ไม่นานก็เริ่มตระหนักได้ถึงความผิดปกติ

ไม่ใช่ตัวจริงหรอกหรือ ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวหวังเป่าเล่อ เขาเห็นแล้วว่าร่างของผู้อาวุโสตรงหน้าไม่ใช่ของจริง ร่างนั้นดูเหมือนเป็นภาพมายาที่นั่งอยู่ ไม่ยอมขยับเขยื้อนเคลื่อนกายใดๆ

ขณะที่หวังเป่าเล่อสังเกตการณ์ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า ผู้อาวุโสที่หลับตาอยู่นานเท่าใดไม่มีใครทราบได้ ก็พลันลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างของเขาสว่างไสวเหมือนดวงดาวแฝดที่พุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งระเบิดภายในใจของเขา ดวงตาคู่นั้นเหมือนทะลุผ่านร่างของเขาไป เปิดเผยความลับในตัวเขาออกเสียหมดสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเผยออกมาต่อหน้าสายตาที่ราวกับกำลังประเมินของผู้อาวุโสผู้นี้

แต่อำนาจของสายตานั้นก็คงอยู่ไม่นานนัก ผู้อาวุโสมองไปทางอื่นในที่สุด เหงื่อเม็ดเป้งผุดออกจากหน้าผากหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มหายใจหนัก ตกตะลึงอยู่กับที่ เขายังไม่ทันได้เรียกสติตนเองกลับมา เสียงแหบของภาพมายาผู้อาวุโสก็พูดขึ้นก่อน

“เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอเข้ารับการทดสอบ หากเจ้าต้านทานกระแสพลังปราณของข้าได้จนข้านับถึงสิบ จะถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบนี้ และจะได้รับโอกาสเข้าไปยังสระโลหิตหมื่นวิญญาณ เพื่อสร้างเสริมร่างกายของเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้น!”

ผู้อาวุโสไม่ได้ให้โอกาสหวังเป่าเล่อตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอ หากแต่เมื่อพูดจบ เขาก็พลันยกมือขวาขึ้นและชี้มาที่ชายหนุ่ม ทันทีที่นิ้วนั้นนิ่งอยู่กลางอากาศ พลังรุนแรงราวพายุก็ระเบิดออกจากร่างของผู้อาวุโส กระแสพลังปราณโหมเข้าใส่หวังเป่าเล่อเหมือนคลื่นยักษ์ที่เกิดจากลมพายุร้าย หมายพัดพาให้ชายหนุ่มล้มลง

พลังนั้นรุนแรงมากเสียจนทำลายได้ทุกสิ่ง จนถึงกับทำให้โลกและผืนฟ้าสั่นสะท้าน และดวงตาของหวังเป่าเล่อพร่าเลือน เขากลายเป็นใบไม้ที่ปลิดปลิวท่ามกลางพายุพิโรธ ควบคุมไม่ได้แม้กระทั่งความคิดหรือหนึ่งลมหายใจของตนเอง ร่างของเขากรีดร้อง ก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของร่างจะหมดสติไปในทันที ร่างสั่นเทิ้มด้วยพลังน่าพรั่นพรึงที่กดทับ

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานเพียงใดก่อนที่จะกลับมาลืมตาตื่นอีกครั้ง เขานอนอยู่นอกวังท่ามกลางความเงียบสงัด ชายหนุ่มงุนงงอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรีบผุดลุกขึ้นนั่ง ความทรงจำที่เกิดขึ้นก่อนสลบไปไหลเข้ามาในจิตใจ หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไปชั่วขณะ หันขวับไปมองวังสีแดง เมื่อเห็นว่าประตูยังคงเปิดอยู่ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ

ดูเหมือนว่าต่อให้ทำพลาด บททดสอบนี้ก็จะยังไม่หายไป… ต่อให้ข้าสอบตกก็จะไม่มีอันตรายเกิดขึ้น เพียงแต่ถูกซัดออกมาเท่านั้น หวังเป่าเล่อนั่งคิดอยู่เงียบๆ เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะหมดสติไป พลางสรุปว่าต้องเป็นเพราะเขาไม่ได้เตรียมตั้งรับเป็นแน่

ลองดูอีกสักตั้งก็แล้วกัน! ความมุ่งมั่นแรงกล้าฉายเข้ามาในดวงตาของชายหนุ่ม เขาลุกขึ้นยืน หันตัวเปลี่ยนทิศ และมาหยุดอยู่หน้าทางเข้าวังอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นอย่างดี ชายหนุ่มปล่อยพลังปราณทั้งหมดของตนเองออกมาทันทีที่เข้าไปในวัง และร้องคำรามก้อง พยายามอย่างเต็มที่ที่จะยืนหยัดอยู่ที่เดิม แต่ก็ทนได้ไม่นานนัก พายุพลังปราณที่ผู้อาวุโสซัดออกมาหมุนวนอยู่ภายในโถงอีกครั้ง วินาทีต่อมาร่างของหวังเป่าเล่อก็พุ่งออกจากโถง ผ่านช่องประตูแคบๆ ออกไปกระแทกลงบนพื้นข้างนอก และหมดสติไปในทันที

หวังเป่าเล่อตื่นขึ้นอีกครั้งในหนึ่งชั่วโมงถัดไป เขาลุกขึ้นนั่ง มองไปที่วังตาไม่กะพริบ ฟันเฟืองในหัวทำงานอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มได้ข้อสรุปว่าตนเองคงจะผ่านบททดสอบนี้ไปไม่ได้ง่ายๆ

แต่กฎไม่ได้บอกนี่ว่าห้ามใช้สมบัติเวท! หวังเป่าเล่อตาเป็นประกายวาบ เขาก้มหน้าลงค้นกระเป๋าของตนเอง หลังจากผ่านไปสักพักก็หยิบอาวุธเวทออกมาสองสามชิ้น ชายหนุ่มติดอาวุธให้ตนเองและก้าวเข้าไปในวังอีกครั้ง คราวหน้าเขาทนได้ถึงนับสาม ในวินาทีที่สี่ ชายหนุ่มก็ล้มตึงไปข้างหลังและหมดสติ ร่างของเขาถูกซัดออกจากวังอีกรอบ

ไม่ใช่ว่าร่างกายของข้าทนแรงกดดันไม่ไหว แต่เป็นเพราะประสาทสัมผัสของข้าต่างหาก ประสารทสัมผัสของข้าไวเกินไป ทำให้ข้าได้รับผลกระทบจากแรงกดดันจำนวนมหาศาล หากข้าทำให้ประสาทสัมผัสของตนเองทื่อลงได้ ก็มีโอกาสที่จะผ่าน… เมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งหวังเป่าเล่อก็นิ่วหน้าและเริ่มคิดหาทางออก หลังจากที่คิดอยู่นาน ดวงตาของชายหนุ่มก็สว่างขึ้นอีกครา

หลังจากเข้าวังไปเรียบร้อย หากข้าตีให้ตัวเองหมดสติไปก่อน ก็แปลว่าข้าจะไม่รู้สึกถึงแรงกดดันแม้แต่น้อย ถ้าทำแบบนั้นข้าอาจจะผ่านก็เป็นได้ แต่ถ้าไม่ผ่านละก็…ข้าอาจต้องท่องบทสวด หวังเป่าเล่อเนื้อเต้นกับความคิดบรรเจิดของตนเอง ก่อนจะถอนใจออกมา เขาไม่อยากใช้บทสวดนอกเสียจากว่าจำเป็นถึงที่สุดจริงๆ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพลังลึกลับนั้นหลับไปแล้ว หลังจากที่ถูกปลุกขึ้นมาเมื่อครั้งก่อน หากเขาไปกระตุกหนวดเข้าอีกครั้ง อาจทำให้พลังลึกลับนั้นโกรธก็เป็นได้

“สงสัยจะไม่ชอบตื่นเช้า… แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คนอย่างข้า หวังเป่าเล่อ ต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเอง เพื่อที่จะได้ครอบครองโอกาสการบรรลุขั้นปราณนี้!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ก่อนจะกระโจนเข้าใส่รอยแยกประตูอีกครั้ง คราวนี้ก่อนที่ผู้อาวุโสจะซัดพลังออกมา เขาก็รีบตบหน้าผากตนเองอย่างแรงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เสียงแปะดังลั่นไปทั่ว เขาใช้พลังแรงพอตัวจนทำให้ตนเองหมดสติไป และเพื่อไม่ให้เสียแผน หวังเป่าเล่อยังปล่อยพลังปราณออกมาขณะตบด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองจะหมดสตินิ่งสนิทจริงจนเหมือนนอนตาย ร่างของเขาตกลงบนพื้นเสียงดังลั่น ร่างมายาของผู้อาวุโสตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเหตุการณ์ ร่างนั้นเป็นเพียงภาพมายาจึงไม่ได้มีปัญญามากนัก ดูเหมือนการทำร้ายตนเองจนหมดสภาพของหวังเป่าเล่อจะทำให้ผู้อาวุโสงุนงงเป็นอันมาก

กระแสพลังปราณที่ผู้อาวุโสปล่อยออกมาจางหายไป สีหน้าของเขาดูเหมือนกำลังไตร่ตรองพิจารณา ว่าหวังเป่าเล่อผ่านเกณฑ์ของบททดสอบหรือไม่

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ มีหลายคนที่หมดสติไปทันทีที่โดนซัดพลังปราณใส่ แต่อาการหมดสติของหวังเป่าเล่อเปรียบเสมือนการพยายามปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าของตนโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ตัวของชายหนุ่มไม่ต่างอะไรกับศพที่นอนตายอยู่บนพื้น ซึ่งแปลว่าเขาจะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังกดดันของผู้อาวุโสอีกต่อไป… สิบวินาทีผ่านไป ร่างมายาของผู้อาวุโสยังคงจมอยู่กับว่าสับสน

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ผู้อาวุโสที่งุนงงมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาประหลาด ก่อนหลับตาลง

“เจ้าผ่านการทดสอบ!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท