เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองจ้าวหลิงเฟิงด้วยแววตาจริงจัง กำชับว่า “เจ้ารับคนไปอย่างไร ตอนเย็นพามาส่งอย่างนั้น”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้ต้องการไปส่งลู่เจียว เพราะจุดมุ่งหมายแท้จริงของคนบงการเบื้องหลังก็คือคิดสังหารเขา
หากเขาตามไปด้วย จะนำภัยมาสู่ลู่เจียวได้ง่าย ดังนั้นเขาจึงไม่ไป
แต่ในใจก็ยังคงไม่วางใจ จึงได้กำชับจ้าวหลิงเฟิงเช่นนี้
จ้าวหลิงเฟิงรีบรับรอง “เซี่ยซิ่วไฉวางใจ ข้ารับรองจะพาลู่เหนียงจื่อกลับมาคืนเจ้าอย่างปลอดภัย”
ลู่เจียวถูกจ้าวหลิงเฟิงเย้าแหย่จนรู้สึกเขินมาก รีบเอ่ยว่า “เอาละ ข้ากลับไปเรือนด้านหลังเตรียมตัวก่อน แล้วค่อยออกไปกับเจ้า”
ครั้งนี้ลู่เจียวไม่ได้พาเฝิงจือไป แต่พาหร่วนจู๋ไป หร่วนจู๋กับลู่เจียวแต่งกายเป็นชายเหมือนกัน
หร่วนจู๋แต่งกายเป็นชายครั้งแรกก็รู้สึกตื่นเต้นมาก หันหน้าไปมองลู่เจียวข้างๆ รู้สึกว่าแปลกมาก เพราะเหนียงจื่อไม่เพียงแต่แต่งกายเป็นชาย บนใบหน้ายังวาดแต่ง ปรากฏเหนียงจื่อหน้าตางดงาม พริบตาเดียวก็กลายเป็นชายปกติหน้าตาแสนจะธรรมดา
หร่วนจู๋รู้สึกว่าลู่เจียวร้ายกาจมาก นางอดเอ่ยชมไม่ได้ “เหนียงจื่อ ท่านร้ายกาจจริง”
ลู่เจียวยื่นมือไปขยี้ศีรษะนาง ยิ้มกล่าวว่า “นี่ร้ายกาจอะไร เจ้าสิร้ายกาจกว่า”
แม้ว่านางไม่รู้ว่าฝีมือหร่วนจู๋เป็นอย่างไร แต่ตระกูลเถียนมอบนางให้ ฝีมือนางน่าจะไม่เลว
หร่วนจู๋ยิ้มร่า ทั้งสองคนเพิ่งเดินถึงเรือนด้านหน้าก็เห็นหร่วนไคเดินเข้ามารอรับ
หร่วนไคกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “คุณชายให้บ่าวติดตามไปคุ้มกันเหนียงจื่อด้วย”
ลู่เจียวไม่ได้ห้าม เซี่ยอวิ๋นจิ่นรับปากให้นางไปได้ก็ไม่เลวแล้ว ให้หร่วนไคตามไปแล้วกัน อย่างไรพวกเขาอยู่บ้านก็คงไม่เกิดเรื่องอะไร
ทุกคนออกจากบ้านตระกูลเซี่ยตรงไปหอยาเป่าเหอทันที
ตลอดทางไม่ได้พบเจออันตรายอะไร
ในหอยาเป่าเหอมีคนมารอลู่เจียวอยู่ไม่น้อยจริงๆ พอเห็นนางมาก็รีบเข้ามารุมล้อม
“ท่านหมอลู่ช่วยดูอาการให้ข้าหน่อย ข้าเอาแต่ปวดหัวไม่หายสักที รบกวนท่านช่วยรักษาให้ข้าหน่อย”
“ท่านหมอลู่ ดูรอยแผลเป็นบนใบหน้าข้าหน่อย ว่าลบรอยทิ้งได้ไหม”
“ท่านหมอลู่ ข้าอยากขอให้ท่านตรวจดูหน่อยว่าข้าจะมีลูกได้ไหม”
ทุกคนต่างแย่งกันพูดชุลมุนไปหมด จ้าวหลิงเฟิงรีบส่งเสียงห้าม กล่าวว่า “เงียบหน่อย อย่าเพิ่งเอะอะวุ่นวาย ทีละคน วันนี้ท่านหมอลู่จะตรวจอยู่ที่หอยาเป่าเหอทั้งวัน ได้รักษาทุกคน ดังนั้นทุกคนอย่าได้ร้อนใจไป เข้าแถวดีๆ อย่าวุ่นวาย”
มีแถวยาวมาต่อคิวหน้าโต๊ะตรวจลู่เจียวอย่างรวดเร็ว ลู่เจียวจึงเริ่มรักษาผู้ป่วย
นางเพิ่งรักษาผู้ป่วยคนแรก นอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าพร้อมเสียงพูดดังก้องมา “ท่านหมอลู่ ท่านมาได้เสียที”
ลู่เจียวเงยหน้าขึ้นก็เห็นคหบดีหลิวที่นางรักษาโรคเท้าให้ก่อนหน้านี้ คหบดีหลิวเดินเข้ามาคิดคว้ามือลู่เจียวไปแสดงความซาบซึ้งใจอย่างตื่นเต้น
หร่วนจู๋รีบก้าวออกมากันมือเขาไว้
คหบดีหลิวมือคว้าเอาอากาศ เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกเก้กัง ยังกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านหมอลู่รู้ไหม เท้าข้าไม่คันแล้ว ไม่คันจริงๆ และเท้าที่เน่าเปื่อยก็ไม่เน่าแล้ว ตอนนี้ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด ฮาๆๆ เยี่ยมยอดจริงๆ เลย”
คหบดีหลิวพูดจนตื่นเต้นไปหมด วาดไม้วาดมือกล่าวว่า “เจ้าเป็นหมอเทวดาเก่งกาจโดยแท้”
พอเขากล่าวจบก็มองลู่เจียวพร้อมกับกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านหมอลู่ ข้าสั่งทำป้ายประกาศเกียรติคุณให้เจ้าด้วยนะ เจ้าจะต้องรับไว้”
คหบดีหลิวกล่าวจบ ก็หันเดินออกนอกประตูหอยาเป่าเหอไป เรียกกลุ่มคนด้านนอก “เร็ว ตีกลองๆ”
หน้าประตูหอยาเป่าเหอพลันมีเสียงตีกลองตีดังอึกทึกขึ้นมาในทันที ทำเอาแสบแก้วหูไปทั่วทั้งหอยาเป่าเหอ
ผู้ป่วยในหอยาเป่าเหอต่างพากันตกใจไปหมด
ลู่เจียวรีบให้จ้าวหลิงเฟิงเข้าไปหยุดการกระทำของคหบดีหลิวเอาไว้
ในหอยาล้วนเป็นผู้ป่วยที่ไม่อาจตกใจได้ เขามาทำเช่นนี้ ไม่แน่อาจทำให้ผู้ป่วยในหอยาเป็นลมกัน
จ้าวหลิงเฟิงออกไปบอกคหบดีหลิว เขาจึงได้สั่งให้คนหยุด แต่ยังคงนำป้ายประกาศเกียรติคุณเข้ามาอย่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก บนแผ่นป้ายเขียนอักษรตัวใหญ่ไว้ว่า ‘หมอเทวดาเก่งกาจ’
ลู่เจียวมองแล้วก็ปวดหัว นางไม่รับป้ายประกาศเกียรติคุณได้ไหม
สุดท้ายเป็นจ้าวหลิงเฟิงออกไปรับป้ายเอาไว้เอง เขาเอาไปแขวนไว้ในห้องโถงกลางหอยาเป่าเหอ
ลู่เจียวกลัวคหบดีหลิวจะก่อเรื่องอะไรอีก รีบให้เขานั่งลงตรวจให้เขาอีกรอบ จากนั้นก็กำชับเขาสองสามเรื่อง และเขียนเทียบยายาให้เขากลับไปกินอีกครึ่งเดือน
คหบดีหลิวพยักหน้าหงึกๆ แสดงท่าทีฟังคำลู่เจียว
กว่าลู่เจียวจะส่งคนผู้นี้กลับไปได้ก็แทบแย่ ทุกคนต่างโล่งอก
มีน้ำใจเกินไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก
แต่เพราะคหบดีหลิวประกาศเช่นนี้ ลู่เจียวจึงได้เริ่มมีชื่อในวงสังคมเล็กๆ นี้แล้ว ทุกคนบนละแวกถนนสายนี้ต่างรู้ว่าหอยาเป่าเหอมีหมอเก่งกาจคนหนึ่ง วิชาการแพทย์ร้ายกาจอย่างที่สุด ราวหมอเทวดา
แม้แต่คนแขนขาดก็ต่อได้ อะไรนะ พวกเจ้าไม่เชื่อหรือ คนแขนขาดนั่นตอนนี้ยังพักอยู่ที่หอยาเป่าเหอเลย
ในหอยาเป่าเหอ แขนขุนพลหวังที่บาดเจ็บหายดีแล้ว เขารู้สึกว่าตนเองไม่เป็นอะไรมากแล้ว ก็ตัดสินใจจะกลับไปรักษาตัวต่อที่เมืองหลวง
ก่อนกลับอยากจะพบลู่เจียวอีกครั้ง
นี่ก็คือสาเหตุที่วันนี้จ้าวหลิงเฟิงไปบ้านตระกูลเซี่ยรับตัวลู่เจียวมา
“ลู่เหนียงจื่อ วันหน้าหากเจ้ามาเมืองหลวง ต้องมาเป็นแขกจวนหวังข้านะ จวนหวังข้าจะต้องต้อนรับเจ้าดังแขกผู้มีเกียรติ”
ลู่เจียวยิ้มมองหวังขุย “ท่านอาหวัง ท่านเกรงใจไปแล้ว แต่วันหน้าหากมีโอกาสไปเมืองหลวง ต้องไปเยี่ยมคารวะที่จวนอย่างแน่นอน”
ลู่เจียวพูดไปอย่างนั้น นางไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจ
หวังขุยกล่าวกับลู่เจียวอย่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากว่า “ข้าขอขอบคุณในบุญคุณยิ่งใหญ่นี้ของลู่เหนียงจื่ออีกครั้ง บุญคุณดังขุนเขา หากลู่เหนียงจื่อวันหน้าต้องการให้ข้าช่วยอะไร ขอเพียงข้าช่วยได้ ย่อมไม่ทำให้ผิดหวัง”
“ขุนพลหวังเกรงใจไปแล้ว ครั้งนี้ท่านกลับไปก็พักผ่อนให้ดีๆ ไม่มีอะไรก็ออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่อย่าได้ร้อนใจเกินไป แขนท่านตอนนี้ฟื้นตัวได้ดีมาก หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายก็คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
หวังขุยยิ่งดีใจ ยิ้มกว้างกล่าวว่า “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนี้ แขนข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”
ทั้งสองคนพูดกันได้ครู่หนึ่ง หวังขุยกับม่อเป่ยจึงได้หันหลังจะจากไป
ตอนม่อเป่ยเดินผ่านลู่เจียวก็เขยิบเข้าไปใกล้นาง กระซิบเบาๆ ว่า “ครั้งหน้าข้าพาคนมาอีก เจ้าต้องรักษานะ”
ลู่เจียวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ขอเพียงเจ้ามอบเงิน ย่อมรักษา”
ม่อเป่ยแค่นเสียงฮึเยียบเย็นอารมณ์เสีย กล่าวว่า “เจ้าไม่ละโมบเงินทองจะตายไหม”
ลู่เจียวแค่นยิ้มเย็น ตอกกลับว่า “ตาย”
ทั้งสองคนแยกจากกันอย่างไม่ดีนัก ตอนบ่ายลู่เจียวอยู่รักษาผู้ป่วยต่อ
ทั้งวันนางรักษาผู้ป่วยไปสิบสามราย และทุกคนล้วนพึงพอใจ
ลู่เจียวรักษาผู้ป่วยละเอียดมาก ตั้งแต่อาการป่วยไปจนนิสัยชีวิตประจำวัน ถึงกระบวนการรักษาและวันหน้าจะใส่ใจดูแลอย่างไรต่อ
สรุปผู้ป่วยที่ผ่านการตรวจรักษาล้วนชมนาง คุณชายลู่เป็นหมอที่มีความอดทนจริงๆ ไม่เพียงแต่วิชาการแพทย์ร้ายกาจ ยังเป็นคนกิริยามารยาทดี ใส่ใจผู้ป่วยและไม่ดุ
ชื่อเสียงลู่เจียวนับได้ว่ายิ่งขจรไกลแล้ว